บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1484: แสงแห่งวาสนาปรกนภาสามหมื่นจั้ง
ตอนที่ 1484: แสงแห่งวาสนาปรกนภาสามหมื่นจั้ง
ตู้ม!
ค่ายกลสังหารพลุ่งพล่านปกคลุม
เพียงพริบตาก็จมร่างซูอี้ลงไปสิ้น!
“แค่นี้หรือ?”
ดวงตาของเหลยคงเบิกกว้าง
ในความเห็นเขา ซูอี้อาจเหลิงอำนาจน่าหงุดหงิด ทว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายทรงพลังไร้กังขา
ดังนั้น เมื่อเขาเห็นซูอี้เป็นฝ่ายเข้าไปในค่ายกลสังหารเอง เหลยคงจึงคิดอยากเห็นว่าคนผู้นี้สามารถเพียงไร
แต่ใครเล่าจะคิดว่าเพียงพริบตา คนผู้นั้นจะถูกจมหายไปด้วยอำนาจของค่ายกล!
‘สรุปว่าก่อนหน้านี้ เขาเสแสร้งมาตลอดหรือ?’
ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นในใจเหลยคง
ไกลออกไป สั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยาง และพรรคพวกอดหัวเราะลั่นมิได้
นั่นคือแผนสังหารของพวกเขา!
เมื่อตัวตนนับร้อยในขอบเขตจิตทารกร่วมดำเนินค่ายกล การสังหารศัตรูในขอบเขตเดียวกันก็หวานหมู!
ทว่ายามนี้ หัวใจของเหลยคงสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนร้ายแรง สัมผัสได้ว่าบางอย่างผิดปกติ!
“ระวัง!
เหลยคงตะโกน
ทันทีที่วาจานั้นถูกกล่าว ก่อนที่ทุกผู้จะทันไหวตัว พวกเขาก็เห็นว่าค่ายกลสังหารสั่นไหวอย่างรุนแรง
จากนั้น หนึ่งปราณดาบก็กวาดออก
ปราณดาบนั้นเป็นเช่นแสงอันเจิดจรัสเหนือสิ่งใดในหล้า ทะยานสู่เก้าชั้นฟ้า ทะลวงหมู่เมฆาผ่าสวรรค์
ทุกผู้ล้วนพรั่นพรึง นี่มัน…
ตู้ม!!!
และบนปราณดาบทะลวงนั้น อำนาจดาบร้ายกาจก็เผยออกมาทันใด
เพียงพริบตาก็ดูราวท้องนภาแหลกสลาย
ค่ายกลสังหารอันปกคลุมทั่วแดนดินมิอาจทานทนอำนาจร้ายกาจของดาบนั้นได้ แหลกสลายไปเยี่ยงทำจากกระดาษ
ผู้ฝึกตนขอบเขตจิตทารกนับร้อยซึ่งอยู่รายล้อมค่ายกลสังหารมิทันตั้งตัว ร่างของพวกเขาก็ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ในพริบตาเยี่ยงหย่อมหญ้ากลางพายุ
มองปราดแรก ฟ้าดินอันเป็นที่ตั้งค่ายกลสังหารนั้นราวระเหยเป็นหมอกโลหิต ย้อมแดนดินแดงฉาน!
และร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากในหมอกโลหิตหนาทึบ
อาภรณ์เขียวพลิ้วไสว ละเอียดอ่อนสะอาดสะอ้านเยี่ยงเทพเซียนเหนือนภา!
เหลยคงตะลึงค้างกับที่
สั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยาง และสี่ตัวตนร้ายกาจอื่น ๆ ต่างก็สิ้นสติเยี่ยงต้องอสนีบาตกันถ้วนทั่ว
เพียงหนึ่งการโจมตี ค่ายกลสังหารที่พวกเขาแสนภาคภูมิก็สลายสิ้น!
และการโจมตีนี้ยังสังหารผู้ฝึกตนนับร้อยในขอบเขตจิตทารกจากห้าฝ่ายใหญ่ด้วย!
น่ากลัวเกินไปแล้ว
แม้เหลยคง สั่วอวิ๋นซาน และพรรคพวกต่างคุ้นชินกับสารพัดมรสุม พวกเขายังอดขวัญหนีดีฝ่อมิได้
ฝุ่นควันล่องลอยทั่วฟ้าดิน คลื่นทำลายล้างอบอวลทั่วแดนดิน
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้ผู้คนแทบสำลัก
และค่ายกลสังหารซึ่งถูกวางอย่างรัดกุมโดยเหล่ายอดฝีมือห้าฝ่ายขอบเขตจิตทารกก็พังทลายหายไปนับแต่เพิ่งเริ่มก่อ!
“ใช่ แค่นี้แหละ”
ซูอี้กล่าวกับเหลยคงอย่างเฉยเมย
และยามนี้ คำตอบนี้ก็เป็นดุจฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง
เหลยคงร่างสั่น ตะโกนราวเสียสติ “เจ้า… อยู่ในขอบเขตจิตทารกได้เช่นไร? ไฉนโลกนี้จึงมีตัวตนในขอบเขตจิตทารกเช่นเจ้าอยู่?!”
วาจานั้นแผ่ทั่วแดนดิน เปี่ยมด้วยความพรั่นพรึง มิอยากเชื่อและยากยอมรับ
ช่างน่าหวาดหวั่น
เพียงหนึ่งดาบเยียบเย็น ก็สังหารศัตรูทั่วทิศได้!
ตัวตนนับร้อยในขอบเขตจิตทารกถูกสังหารโหดเยี่ยงผักหญ้า!
ใครเล่าจะรับไหว?
เหลยคงอดนึกถึงยามโต้วาทีกับซูอี้เมื่อครู่นี้ขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
“อันที่จริง สตรีผู้นั้นไม่เห็นต้องบอกเลย แผนสังหารของพวกเจ้าหาต่างจากความว่างเปล่าในความคิดข้าไม่”
“กล่าวตามตรง หากพวกเจ้ากักขังข้าได้ ข้าจะแสนปรีดานัก”
“อย่าพูดให้เสียอรรถรสสิ การล้อมสังหารนี่น่าเบื่อพอแล้วสำหรับข้า หากยังเผยลูกไม้ออกมาหมดอีก มันต่างอันใดกับเผาฉินต้มกระเรียนกัน?”
…กาลก่อน เขาแทบหัวเราะอย่างเดือดดาล รู้สึกน่าขำยิ่งนัก กระทั่งคิดว่าซูอี้บ้าไปแล้วด้วย
ทว่ายามนี้ ประโยคนั้นกลับเป็นเช่นค้อนฟาดหัวใจเขาอย่างหนักหน่วง ทำให้สภาพจิตใจเหลยคงแทบมลายสิ้น!
“เป็นไปมิได้ เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!”
สั่วอวิ๋นซานแผดเสียงอย่างเดือดดาล ใบหน้าคล้ำเขียว
มิเพียงเขา แต่เว่ยฮั่วหยาง มู่ชิงฉี่และเผิงหมิงเฉียวเองก็ตะลึงเสียอาการโดยสมบูรณ์
“ไฉนจึงเป็นไปมิได้เล่า?”
สายตาของซูอี้กวาดมองเหล่าผู้ที่ว่าไร้เทียมทานจากสามจักรดาราอื่น ๆ อดเผยความเดียวดายในแววตามิได้
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นไปตามวาจาของหวังเย่ ยามเขาก้าวสู่ขอบเขตแปรสามัญ เขาก็เท่ากับก้าวเดินบนวิถีจุติสรวงอันมิเคยปรากฏตลอดกาลนาน!
แม้เขาจะเทียบขอบเขตได้กับคนเหล่านี้
แต่ในด้านความแข็งแกร่ง ตัวตนไร้ผู้เทียบเหล่านี้ทำได้เพียงแหงนมอง มิอาจเอื้อมถึงเขา!
ชีวิตเดียวดายเป็นเช่นนี้
ซูอี้นำหนึ่งไหสุราออกมากระดกดื่ม รสสุรานั้นแสบร้อนเยี่ยงคมมีด ปลอบใจซูอี้ได้เล็กน้อย
เขาหันหลังเดินกลับสันเขามังกรครามโดยมิโอ้เอ้
และยามเขาก้าวเดิน
ปราณดาบสายแล้วสายเล่าก็ทะยานออกมาจากใต้ฝ่าเท้า
และเหลยคง สั่วอวิ๋นซาน เว่ยฮั่วหยาง มู่ชิงฉี่ เผิงหมิงเฉียว ห้าตัวตนไร้ผู้เทียบในขอบเขตจิตทารกที่กระจัดกระจายคนละทิศล้วนถูกฆ่าทันที!
ไร้ผู้ใดอยู่เฉย
ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเช่นไร จะเข้าปะทะตรง ๆ หลบเลี่ยงหรือใช้วิชาหลบหนีก็หาช่วยไม่
ปราณดาบนั้นร้ายกาจเกินไป เคยกระทั่งสังหารเซียนแท้ในแดนมนุษย์มาแล้ว
ยามนี้ การสังหารตัวตนขอบเขตจิตทารกเหล่านี้หาต่างจากการเชือดไก่ฆ่าวานรไม่
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ซูอี้รู้สึกเบื่อ
เขากระทั่ง… รู้สึกละอายเล็กน้อย!
เพราะถึงอย่างไร เมื่อรังแกคู่ต่อสู้เหล่านี้ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา หากสุนัขพื้นเมืองซิงเชวียมาเห็นเข้า มันคงหัวเราะเขาไม่หยุด
‘ข้าควรไปยังสนามรบแรกโดยเร็วที่สุด’
ซูอี้ลอบคิดในใจ
ร่างของเขาค่อย ๆ หายลับสู่ส่วนลึกสันเขามังกรคราม
ทิ้งไว้เพียงโลหิตสาดกระเซ็นทั่วแดน!
เนิ่นนานจากนั้น
คนกลุ่มหนึ่งทะยานมาไกล ๆ
พวกเขาคือกลุ่มของเซียนปี้หนิง
“นี่…”
เมื่อเห็นแดนดินพังทลายเปรอะโลหิตสุดตา คนทุกผู้ก็อดเปลี่ยนสีหน้ามิได้
“ท่านเซียน จากร่องรอยของศึก ดูเหมือนคนจากห้าขุมกำลังจะเป็นฝ่ายพ่ายขอรับ…”
ชายผู้มากประสบการณ์ผู้หนึ่งพินิจร่องรอย ก่อนจะสรุปสัจธรรมจากสนามรบได้มากมาย!
เขาสูดหายใจเฮือกพลางพึมพำ “มีความเป็นไปได้ด้วยว่ายอดฝีมือห้าฝ่ายนั้นถูกกวาดราบคาบสิ้นผู้รอดชีวิต!”
คำอนุมานนี้ทำให้ทุกผู้หนาวเยือกหวาดผวา
“เช่นนั้น หากเราร่วมมือกับห้าฝ่ายโจมตีก่อนหน้านี้ มิใช่ว่าเรา…”
บางผู้กล่าวเสียงสั่น และท้ายที่สุดก็สิ้นวาจามิอาจกล่าวต่อ
ทว่าความหมายของวาจานั้นเผยออกมาชัดเจน!
ใบหน้างามของเซียนปี้หนิงชะงักค้างยากตีความ
ครู่ต่อมา นางก็เหมือนตื่นจากภวังค์ ถอนหายใจยาวและกล่าวว่า “ข้า… เดิมพันถูก!”
กล่าวจบ นางก็กัดฟันทะยานสู่ส่วนลึกแห่งสันเขามังกรคราม
คนอื่น ๆ มองหน้ากัน
ทว่ายามนี้ พวกเขาก็พอเข้าใจแล้วว่าไฉนเซียนปี้หนิงจึงเลือกมิพาตนไปยุ่งปลักโคลนนี้!
“เพียงหนึ่งความคิด ลิขิตเป็นตายจริงแท้!”
บางผู้พึมพำ สีหน้าแต่ละคนซับซ้อน บ้างปรีดา บ้างหวาดกลัว
……
นอกหุบเหว
เซียนปี้หนิงมองเข้าไป
เหมือนยามแรกพบก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มชุดเขียวนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ส่วนลึกสุดของหุบเหว ปกคลุมด้วยหมอกฮุ่นตุ้น ทำให้บรรยากาศยิ่งดูลึกลับ
ความแตกต่างของมันคือ เมื่อพบชายหนุ่มชุดเขียวจากจักรดาราตงเสวียนผู้นี้อีกครา ความคิดของเซียนปี้หนิงได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสะเทือนแดนดิน!
“ข้ามาที่นี่ มิขอสิ่งใดอื่น เพียงเพื่อขอบคุณสหายเต๋าที่เมตตาเท่านั้น!”
เซียนปี้หนิงกุมกำปั้นโค้งคำนับ
เดิมที เหตุที่นางเผยข้อมูลภายใน แผนร่วมมือของฝ่ายต่าง ๆ นั้นมิใช่ใดอื่นนอกจากนางต้องการสร้างหนี้บุญคุณกับซูอี้เพื่อแลกโอกาสเข้ารับที่มาแห่งจิตทารกในหุบเหวนี้
ทว่ายามนี้ นางยอมจำนนโดยสมบูรณ์
ไม่ต้องคิด นางก็รู้ว่านางมิจำเป็นต้องแพร่งพรายข้อมูลภายในเหล่านี้ออกมาเลย เพียงความแข็งแกร่งของซูอี้ จะฆ่าศัตรูทุกผู้ก็ย่อมได้!
ดวงตาของซูอี้ปิดสนิทอยู่ในหุบเหว เขานั่งนิ่งมิได้ตอบสนอง
เซียนปี้หนิงหัวเราะเยาะตนเองพลางหันหลังกลับ
ทว่ามิทันไร เสียงเฉยชาของซูอี้ก็ดังในโสตนาง
“ในสองเดือน ข้าจะไปยังสนามรบที่สอง หากเจ้าคิดขอบคุณ เช่นนั้นก็ทิ้งโอกาสรับที่มาแห่งจิตทารกไว้ให้ผู้ฝึกตนจากจักรดาราตงเสวียนบ้างแล้วกัน”
เซียนปี้หนิงตะลึงงัน ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้าหุบเหว ตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “สหายเต๋าโปรดวางใจ! สองเดือนต่อจากนี้ ข้าจะเฝ้าหน้าสันเขามังกรคราม มิให้ผู้ใดมารบกวนการฝึกของสหายเต๋า”
วาจานั้นกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
ไร้เหตุผลอื่นใด ด้วยความแข็งแกร่งของซูอี้ การสังหารตัวตนจากฝ่ายอริเพื่อสั่งสมเกียรติประวัตินั้นทำได้ง่ายดาย
แต่เขาไม่ทำ!
เขาหาสนใจเผชิญหน้าฝ่ายอื่น ๆ อย่างผู้คนทั่วไปไม่ แต่กลับทิ้งโอกาสไว้ให้ผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในขอบเขตจิตทารกทั่วจักรดาราตงเสวียน
ความคิดใจกว้างเช่นนี้ ผู้ใดจะเปรียบได้?
ไม่นานนัก เซียนปี้หนิงก็จากไป
ซูอี้นั่งนิ่งทำสมาธิ ณ ส่วนลึกแห่งหุบเหว
จากวันนี้ไป เมื่อพวกเซียนปี้หนิงพิทักษ์สันเขามังกรคราม ก็ไร้ผู้ใดมารบกวนการฝึกฝนของซูอี้อีกอย่างจริงแท้
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน หนึ่งเดือนผ่านไปเยี่ยงประกายแสง
ระหว่างชั่วกาลนี้ ภายใต้เจตนารมณ์ของเซียนปี้หนิง ในที่สุดก็เป็นที่แน่ชัดว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้ฝึกฝนเดียวดายในหุบเหวมีนามว่าซูอี้!
และเมื่อนางได้รู้เกี่ยวกับวีรกรรมเก่าก่อนของซูอี้ เซียนปี้หนิงก็รู้สึกราวได้ฟังเรื่องเล่าตำนาน
สังหารเซียนในแดนมนุษย์!
และเขายังเคยสังหารทูตสวรรค์ในโลกหล้าอีกด้วย!
หนึ่งคนหนึ่งดาบ ลือนามเป็นหนึ่งในจักรดาราตงเสวียน!
“จักรดาราตงเสวียนช่างโชคดีที่มีนายเช่นนี้”
เซียนปี้หนิงรำพึง
นางแน่ใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของซูอี้ อย่าว่าแต่เข้าสู่สนามรบแรก การเข้าโลกเซียนยังง่ายดาย!
วันคืนผ่านไปเร่งเร็ว
วันนี้ ซูอี้ตื่นจากภวังค์
เขายืนขึ้นและมายังใจกลางหุบเหว
ที่แห่งนั้นมีแท่นหินทำเนียบศึกมหาวิถีสูงร้อยจั้งตั้งอยู่
“ขอลองดูหน่อย ก่อนข้าข้ามผ่านบททดสอบ ข้าจะมีลำดับใดบนแท่นศิลานี้”
ซูอี้ยกมือทาบลงบนแท่นศิลา
ทันใดนั้น แท่นหินทำเนียบศึกมหาวิถีซึ่งเงียบงันเสมอมาพลันคำราม
รัศมีเซียนเจิดจรัสไร้ใดเทียบระเบิดออกจากแท่นศิลา ทะยานสูงจรดฟ้า
แดนดินในรัศมีสามหมื่นจั้งบนสันเขามังกรครามล้วนสั่นสะเทือน
แสงมหาวิถีเจิดจรัสทอประกายสาดลงจากท้องนภาเก้าสวรรค์เยี่ยงน้ำตก
ยิ่งใหญ่ตระการเกินคณานับ!