บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1486: เมืองตงเสวียน
ตอนที่ 1486: เมืองตงเสวียน
สนามรบที่สอง
เมืองตงเสวียน
ท้องนภาปกคลุมด้วยหมอกมืดทะมึน
ยามนี้เพิ่งผ่านพายุพิรุณหนักหนา โลหิตทั่วแดนจึงถูกวารีชะล้าง ทว่ายังมีกลิ่นคาวโลหิตลอยคลุ้งเบาบาง
“ยามราตรีจันทราสีเลือดปรากฏขึ้นในอีกสามวัน เกรงว่าเราคงไม่อาจทนได้อีกต่อไป…”
ชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างถนนด้วยสีหน้าหมดอาลัย
ร่างของเขาโชกเลือด เส้นผมรุงรัง เต็มไปด้วยบาดแผล
“หากรู้แต่แรกว่าสนามรบที่สองโหดร้ายนองเลือดเพียงนี้ ข้าคงไม่มาหรอก!”
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งมองสมบัติที่แตกหักแล้วในมือพลางสบถเบา ๆ
“พูดตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด?”
นักพรตเต๋าแขนหักผู้หนึ่งกล่าวอย่างขมขื่น
……
สองเดือนก่อน เขตแดนสมรภูมิเริ่มเปิดฉาก
ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งในขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราตงเสวียนเข้าสู่เมืองตงเสวียนในสนามรบที่สองเป็นครั้งแรก
ยามนั้น ฝั่งจักรดาราตงเสวียนมียอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีอยู่สามร้อยกว่าคน!
ทว่าผ่านไปเพียงสองเดือน ในเมืองก็เหลือผู้คนราวยี่สิบคน
ส่วนคนอื่น ๆ นั้น หากไม่ได้ออกจากเมืองตงเสวียนไป ก็ล้วนถูกยอดฝีมือจากจักรดาราอื่นไล่ล่า
หรือสิ้นชีพอย่างรวดร้าวใน ‘ศึกคุ้มกันเมือง’ ณ ‘ราตรีจันทราสีเลือด’ ซึ่งบังเกิดขึ้นสองเดือนหน!
วันนี้ ยี่สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
“เทียบกับจำนวนของจักรดาราอีกสามแห่งแล้ว เราจักรดาราตงเสวียนก็อ่อนแอเกินไปจริง ๆ”
บางผู้รำพึง
ในหมู่สามจักรดารา จักรดาราเป่ยเยวียนนั้นทรงพลังสูงสุด มีผู้ทรงอำนาจมากมาย
รองลงมาคือจักรดาราซีหานซึ่งมียอดฝีมือมากมาย มิอาจประมาทได้
กระทั่งจักรดาราหนานหั่วผู้เคยรั้งท้ายอยู่กับจักรดาราตงเสวียนเมื่อกาลก่อนยังมีผู้ร้ายกาจทรงพลังในยามนี้มากมาย
ขณะเดียวกัน แทบทุกผู้ในฝั่งจักรดาราตงเสวียนล้วนแต่เป็นวิญญาณอาสัญ!
แม้เมื่อไม่นานนี้ อำนาจคำสาปบนร่างจะถูกลบล้าง จนกระทั่งฟื้นร่างวิถีกลับมาได้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังห่างไกลกว่ายามสมบูรณ์พร้อมมากโข
ไกลออกไป หนึ่งเสียงร่ำไห้โหยหวน
หนึ่งสตรีพันผ้าคลุมไหล่ทรุดลงกับพื้น กอดชุดคลุมเปื้อนเลือดชุดหนึ่งสะอื้นไห้เจียนขาดใจ เสียงของนางแหบแห้ง
เมื่อผู้อื่นเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ดูนิ่งสิ้นปฏิกิริยา
สองเดือนมานี้ พวกเขาเห็นความตายมามากมาย หัวใจเฉยชามานานแล้ว
“ว่ากันตามตรง หากไม่ใช่เพราะกาลก่อน คนแซ่ซูนั่นฆ่าสหายร่วมขอบเขตเราไปมากมาย เราหรือจะพ่ายแพ้ย่อยยับเพียงนี้?”
บนพื้น ชายชุดสีเงินผู้หนึ่งกัดฟันพูดด้วยดวงตาเปี่ยมความแค้น
หลายผู้มีสีหน้ามิอาจคาดเดา
“ว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก เพราะพวกเราเองก็อ่อนแอเกินไป”
บางผู้รำพึง
ทันใดนั้น เสียงเย้ยเยาะหนึ่งก็ดังออกมาจากนอกประตูเมือง
“เหยื่อทั้งหลายเอ๋ย พวกเจ้าไม่มีทางรอดราตรีจันทราสีเลือดถัดไปได้หรอก แทนที่จะมุดหัวรอวันตายอยู่ในเมือง มิออกมาสู้กันหน่อยปะไร?”
ข้างนอกเมืองมีกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานกลุ่มหนึ่งยืนอยู่สิบกว่าคน
ผู้กล่าวเย้ยเยาะเช่นนั้นคือชายหนุ่มในชุดม่วงผู้หนึ่ง
เขายืนเฉย ๆ สองมือกอดอก กล่าวด้วยวาจาดังสนั่น “ไหนล่ะความกล้า? ใครเล่าหาญห้าว? ข้ามาขวางประตูเมืองขนาดนี้ ยังมิกล้าแม้แต่จะตอบโต้เลยหรือไร?”
คำเย้ยเยาะดูแคลนเหล่านั้นลอยข้ามกำแพงสู่ตัวเมือง ทำให้สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนบิดเบี้ยว
“ไม่เห็นสนุกเลย แค่ฝูงเหยื่อแตกตื่นฝูงหนึ่ง หากมิใช่ต้องล่าพวกเขาเพื่อสั่งสมเกียรติประวัติล่ะก็ ข้าคงมิคิดทำอันใดพวกเจ้าหรอก!”
ชายหนุ่มชุดม่วงส่ายหน้า เคลื่อนกายจากกลางอากาศกลับสู่ค่ายของตน
บรรยากาศในเมืองตงเสวียนหดหู่ขึ้นทุกขณะ
กดดันเงียบขรึม
“ทุกท่าน เรา… ทำได้เพียงรอความตายเช่นนี้หรือ?”
นักพรตเต๋าแขนหักกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
ในสนามรบที่สอง ยอดฝีมือจากแต่ละจักรดาราจะมีหนึ่งเมืองของตนเพื่อคุ้มกันจากมรสุม
มีเมืองตงเสวียน เมืองเป่ยเยวียน เมืองหนานหั่วและเมืองซีหาน
ทุกเมืองถูกปกคลุมด้วยอำนาจกฎเกณฑ์ ปกติแล้ว ขอเพียงซ่อนอยู่ในเมือง ศัตรูจากภายนอกจะมิอาจเข้าไปได้
ทว่าทุก ๆ สองเดือน จะมีหนึ่งค่ำคืนที่ดวงจันทราสีเลือดปรากฏขึ้นกลางเวหา และถึงยามนั้น อำนาจกฎเกณฑ์เหนือเมืองทั้งสี่แห่งจะจางหาย ไม่อาจปกป้องยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองไว้ได้อีกต่อไป
และทุกคราที่ ‘ราตรีจันทราสีเลือด’ ปรากฏขึ้น ก็มักจะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการโจมตีเมืองของศัตรู!
สองเดือนมานี้ เหตุที่เมืองตงเสวียนเสียหายย่อยยับก็เป็นเพราะยอดฝีมือจากจักรดาราอื่น ๆ บุกโจมตีเข้ามาในราตรีจันทราสีเลือด!
และยามนี้ ยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนก็เหลือเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
ทุกผู้รู้ดีว่ายามราตรีจันทราสีเลือดปรากฏขึ้นในครั้งต่อไป ชะตากรรมของพวกเขาก็ริบหรี่แล้ว!
“ทำเช่นไรได้? เรายังทำสิ่งอื่นนอกจากรอวันตายได้อยู่หรือ?”
ชายร่างกำยำดูหม่นหมอง
นอกเมืองถูกขวางกั้นไว้แล้ว ขอเพียงหนีออกไป ศัตรูก็จะไล่ล่าเขาทันที!
“บางทีเราอาจยังมีโอกาสรอด!”
ทันใดนั้น ชายชราโชกเลือดก็กล่าวขึ้น
“โอกาสใดหรือ?”
ชายร่างกำยำสงสัย
ชายชราสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “รอสหายเต๋าซูมาที่นี่!”
หนึ่งวาจานั้นมิต้องอธิบายมากความ แต่ทุกผู้ก็เข้าใจความหมายวาจาของชายชราทันที
ทันใดนั้น รอบข้างก็เกิดความวุ่นวาย สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป
ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าซูอี้จะเข้ามาในสนามรบที่สองได้หรือไม่!
ขอเพียงเข้าใจความแข็งแกร่งของซูอี้ ทุกผู้ก็รู้ว่าต่อให้ไปเข่นฆ่าในสนามรบแรก สำหรับซูอี้ก็สบายมาก!
บางผู้กล่าวอย่างลังเล “แต่ว่า… เรายังมีเวลารอสหายเต๋าซูปรากฏตัวอีกหรือ?”
ยามนี้ เหลือเพียงสามวันก่อนราตรีจันทราสีเลือดหนต่อไปปรากฏ!
“เรื่องนี้เป็นเพียงโอกาสที่มิแน่นอนเท่านั้นแหละ”
ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“ผิดแล้ว ในความคิดข้า ต่อให้คนแซ่ซูมา ก็ไม่มีทางช่วยเรา!”
ชายชุดสีเงินกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “อย่าลืมว่า ขุมกำลังเบื้องหลังเราทั้งหลายล้วนมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับคนผู้นั้น! มีหรือเขาจะช่วยเรา?”
วาจานั้นทำให้สีหน้าของทุกผู้บิดเบี้ยวเล็กน้อย
จริงดังว่า กลุ่มเต๋าโบราณและขุมกำลังเซียนทั้งหลายล้วนถือซูอี้เป็นศัตรูร่วมมาตลอด!
“อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นหรอก”
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “เมื่อไม่นานนี้ กลุ่มเต๋าโบราณทั้งหลายในโลกหล้าเลือกจำนนต่อสหายเต๋าซูแล้ว เพื่อแลกกับโอกาสทำลายคำสาปในร่างเราทั้งหลาย”
“ไม่ต้องพูดถึงว่า ทันทีที่สหายเต๋าซูมาถึงสนามรบที่สอง เขาก็จะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเมืองตงเสวียน มีหรือจะอยู่เฉยเพียงเพราะความแค้นเก่าก่อน?”
“ข้าว่านะ สหายเต๋าซูไม่ใช่คนเช่นนั้นหรอก!”
เมื่อชายชรากล่าวถึงตอนท้าย น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นขึ้น
“เหลือเพียงสามวัน สหายเต๋าซูจะมาหรือไม่… ข้าไม่คิดว่าจะฝากความหวังกับเรื่องนี้ได้…”
บางผู้พึมพำด้วยใบหน้าซีดขาว
ผู้อื่นเองก็ระส่ำระสาย
บรรยากาศพลันหดหู่เป็นเท่าทวี
ไม่ไกลไปนัก เสียงร่ำไห้ของสตรีสวมผ้าคลุมไหล่ดังสะท้อนทั่ว ทำให้อารมณ์ของทุกผู้ยิ่งตกต่ำ
ทว่าทุกผู้มิทันสังเกตว่าใต้ชายคาหนึ่งบนถนนไกล ๆ มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ
เขาคือซูอี้ผู้เพิ่งมาถึงสนามรบที่สอง
เขาได้ยินทุกการสนทนาชัดเจน
หลังมองเหล่าตัวตนขอบเขตรวมวิถีผู้อยู่ในสภาพน่าเวทนาเหล่านี้ ซูอี้ก็อดรำพึงในใจมิได้
“ดูเหมือนหายนะกวาดทั่วโลกหล้าจะปรากฏขึ้นเพียงในจักรดาราตงเสวียน มิได้ส่งผลใด ๆ ต่ออีกสามจักรดารา”
ซูอี้ครุ่นคิด “หาไม่ จักรดาราตงเสวียนคงมิพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้”
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มชุดม่วงก็ดังขึ้นที่นอกเมืองตงเสวียนอีกครั้ง
“สหายเต๋าซูอะไรนั่นจะมาเมื่อไร เจ้ายังหวังให้ผู้อื่นมาช่วยอยู่อีกหรือ?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้ชายหนุ่มชุดม่วงจะอยู่นอกเมือง แต่เขาก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวภายในเมือง และได้ยินทุกบทสนทนาของเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนอย่างชัดเจน
“ฟังคำแนะข้านะ ล้างคอรอไว้ดี ๆ และออกมาจากเมืองเถอะ ข้าเป็นคนใจดีเสมอ และจะให้เจ้าจากไปอย่างไม่เจ็บปวด จะได้มิต้องทุกข์ทรมานอีก”
ชายหนุ่มชุดม่วงกล่าวขึ้นจากนอกเมือง
เขาทอดกายสบายใจอยู่บนเก้าอี้ น้ำเสียงเย้ยเยาะเย้าแหย่สะท้อนก้องทั่วทั้งฟ้าดิน
“หากไม่ยอมฟังคำแนะ ข้ารับปากว่าสามวันต่อจากนี้ ในราตรีจันทราสีชาด ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าแขวนประจานบนกำแพงเมืองทีละคน!”
สีหน้าของเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนในเมืองมืดหม่นลงทุกขณะ
ขณะนี้ หนึ่งเสียงฝีเท้าพลันดังจากถนนห่างไกล
แม้จะแผ่วเบา แต่กลับฟังดูชัดเจนเหนือธรรมดาในบรรยากาศเงียบกริบนี้
เหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนพากันหันมองโดยไม่รู้ตัว
และพบว่าในโลกหล้ามืดหมองสีเทานี้ ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินมาจากไกล ๆ
อาภรณ์สีเขียวเยี่ยงหยก ใบหน้าหล่อเหลาไร้มลทิน
เขาคือซูอี้!
ทุกผู้อดตะลึงมิได้ แทบไม่อาจเชื่อสายตา
“ซู… ใต้เท้าซู!?”
บางผู้กล่าวเสียงสั่น
จากนั้นเหล่ายอดฝีมือผู้ได้รับบาดเจ็บจากจักรดาราตงเสวียนล้วนยืนขึ้นทันที สีหน้าของพวกเขาต่างแสดงความปรีดาที่สุดราวกับคนใกล้จมน้ำพบกับเส้นฟางช่วยชีวิต
“ใต้เท้าซู ที่แท้ก็เป็นท่านจริง ๆ!”
ชายชราโชกเลือดกล่าวอย่างตื่นเต้น
ยามนี้ กระทั่งชายชุดสีเงินซึ่งเพิ่งบ่นเรื่องของชายหนุ่มไปยังแสดงความยินดี ก่อนจะก้มหัวลงอย่างละอายทันที
เพราะวาจาก่อนหน้านี้ของเขาเป็นการสบประมาทซูอี้!
สีหน้าของซูอี้นิ่งเฉย ทว่าในหัวใจของเขากำลังแปรปรวน
ภาพนี้ทำให้อารมณ์ของชาติที่หกหวังเย่คุกรุ่นในอกเขา
ตั้งแต่หวังเย่ยังเยาว์ เขาประจำการอยู่ในด่านสวรรค์ชั้นหก ณ ทวีปเซียนธารอุดรในโลกเซียน ร่วมเป็นร่วมตายในศึกละเลงเลือดกับสหายร่วมรบทั้งมวล!
เพราะเหตุนี้ ตลอดวิถีฝึกฝนชั่วชีวิตของหวังเย่ จึงให้ความสำคัญกับความรักในหมู่พวกพ้องเสมอมา
ไม่ว่าการฝึกฝนจะสูงส่งหรือต่ำต้อยเพียงใด ไม่ว่าฐานะจะสูงต่ำ มีความแค้นอันใดกันมา ขอเพียงอยู่ฝ่ายเดียวกับหวังเย่ เขาจะถือคนเหล่านั้นเป็นคนของตนเสมอ
หากผู้ใดตกตายในศึก หวังเย่จะทำทุกสิ่งเพื่อแบกร่างคนผู้นั้นกลับ จัดพิธีศพ และใช้ความสามารถของเขาคุ้มครองญาติสนิทบุตรหลานให้
เพราะเหตุนี้เอง หวังเย่ผู้ถูกศัตรูร้ายมากมายขนานนามเป็น ‘ทรราช’ ในโลกเซียนจึงมีลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ และสหายรักร่วมเป็นร่วมตายมากมาย!
ยามนี้ เมื่อเขามายังเมืองตงเสวียนและเห็นยอดฝีมือฝั่งเดียวกันอยู่ในสภาพน่าเวทนา
หัวใจของซูอี้ก็ไม่อาจระงับโทสะอันลุกโหมได้
นี่คืออารมณ์ของหวังเย่!
ตุ้บ!
หนึ่งสตรีสวมผ้าคลุมไหล่คุกเข่าลงตรงหน้าซูอี้พลางฟูมฟายรวดร้าว “ใต้เท้าซู โปรดช่วยแก้แค้นศิษย์พี่ของข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
“ข้า… ข้าไร้หนทางแล้วจริง ได้โปรด ได้โปรดเถิด!”
นางโขกหัวซ้ำ ๆ
หน้าผากของนางปริร้าว โลหิตเจิ่งนอง