บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1487: ประกาศสงครามถึงแดนเหย้า
ตอนที่ 1487: ประกาศสงครามถึงแดนเหย้า
ซูอี้ชะงักมองสตรีผู้คุกเข่าลงโขกหัวจนหน้าผากแตกโลหิตไหลนอง และกล่าวว่า “ลุกขึ้น ข้าไม่ชอบให้ใครมาคุกเข่าวิงวอน”
สตรีผู้นั้นนิ่งไป แต่มิได้ลุกขึ้นมา
นางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก กล่าววาจาด้วยเสียงแหบแห้ง “ใต้เท้าซู ข้าไม่เหลือสิ่งใดนอกจากคุกเข่าลงขอร้องท่านแล้วเจ้าค่ะ และข้า… ก็จนปัญญาแล้ว…”
หยาดโลหิตหยดผ่านใบหน้าขาวซีดของนาง ดูน่าเวทนายิ่งนัก
ทว่านางหาสนใจตนไม่ ทำเพียงคุกเข่าเงยหน้ามองซูอี้ที่อยู่ตรงหน้า
ยามนั้นเอง ชายชราผู้โชกไปด้วยเลือดก้าวเข้ามากล่าวเสียงต่ำ “ใต้เท้าซู นามของนางคือจ่านอวิ้น ในราตรีจันทราสีเลือดไม่นานนี้ ศิษย์พี่ของนางเซี่ยกู้เป่ยถูกศัตรูร้ายจากจักรดาราซีหานสังหารลงเพื่อช่วยนางขอรับ”
กล่าวจบ ชายชราก็ถอนหายใจ
ซูอี้ยกมือชี้ไปยังอาภรณ์นักรบเปื้อนเลือดซึ่งสตรีผู้นั้นกอดไว้แน่นในอ้อมแขน “นี่ชุดของศิษย์พี่เจ้าหรือ?”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าพลางกล่าวตอบ “ศิษย์พี่ถูกเคล็ดวิชาขยี้ร่างวิถี ลบจิตวิญญาณจนเหลือเพียงชุดศึกขาด ๆ นี้ก็เพื่อช่วยข้าเจ้าค่ะ”
กล่าวจบ นางก็สะอึกสะอื้นอีกครั้ง “หากไม่ใช่เพราะข้า ศิษย์พี่ก็คงไม่ต้องตายอย่างอนาถเช่นนี้”
นางคือยอดคนจุติสรวงขอบเขตรวมวิถีผู้หนึ่ง ทว่าขณะนี้กลับต้องคุกเข่ากับพื้นและใจสลาย!
“แม่เจ้าโว้ย คนแซ่ซูที่พวกเจ้าว่ามาแล้วจริง ๆ หรือ?”
เสียงของชายหนุ่มในชุดม่วงดังมาจากนอกเมือง “พวกเจ้ากล้าให้เขาออกมาพบข้านอกเมืองหรือไม่?”
เสียงนั้นก้องไปทั่วทั้งเมือง
ยอดฝีมือทั้งหมดจากจักรดาราตงเสวียนเบนสายตามองไปยังซูอี้โดยมิได้นัดหมาย
ทว่าชายหนุ่มกลับดูไม่ได้ตระหนักรู้ ดวงตาของเขามองสตรีผู้คุกเข่าอยู่และกล่าวว่า “อันที่จริง ข้าหารู้สึกเมตตาใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าไม่”
สตรีผู้นั้นคุกเข่าสิ้นวจี
“หากเจ้าต้องการล้างแค้น ไฉนเจ้าต้องมาร่ำไห้ฟูมฟายเช่นนี้? ไฉนต้องมาคุกเข่าให้คนนอกเช่นข้าด้วย?”
น้ำเสียงของซูอี้เฉยชา “ไร้สันหลังสิ้นดี! หากข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า ข้าคงมิช่วยเจ้าแต่แรกหรอก!”
กล่าวจบ เขาก็ส่ายหน้าเดินต่อ
มิได้มองสตรีผู้นั้นอีก
ทุกผู้ตะลึงมองหน้ากัน
มีเพียงชายชราที่ดูเข้าใจ เขากระซิบต่อสตรีผู้คุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “จ่านอวิ้น ใต้เท้าซูพูดถูกนะ ไม่ว่าเจ้าจะเศร้าโศกจนหนทางเช่นไร เจ้าจะยอมลดศักดิ์ศรีผู้ฝึกตนเพื่อมันมิได้หรอก ลุกขึ้น!”
สตรีผู้นั้นยกร่างสั่น ๆ ของนางลุกจากพื้นอย่างแช่มช้า พลางกล่าวอย่างขมขื่น “พี่ชายร่วมวิถี สามวันจากนี้จะเป็นราตรีจันทราสีเลือด และเจ้าก็รู้ว่าถึงยามนั้น… เราสิ้นโอกาสรอดชีวิต จะพูดเรื่องแก้แค้นได้เช่นไร ข้าจึงขอร้องให้ใต้เท้าซูช่วยเรา แต่มิคาดเลยว่าจะทำให้ใต้เท้าซูนึกเดียดฉันท์เอาเสียได้…”
สีหน้าของนางซีดขาวหมดอาลัย บรรยากาศรอบกายดูสิ้นวิญญาณ
ชายชรากล่าวเบา ๆ “อย่าห่วงเลย ใต้เท้าซูมาถึงแล้ว หากเจ้าเชื่อในความสามารถของเขา ก็อย่าทำตนเองเช่นนี้เลย”
สตรีผู้นั้นพยักหน้า
นางเงยหน้าขึ้น และพบว่าร่างสูงใหญ่ของซูอี้กำลังเดินไปทางประตูเมือง
“ไฉนไม่ตอบกลับเล่า? หรือคนแซ่ซูนั่นก็กลัวเหมือนกัน?”
เสียงของชายหนุ่มชุดม่วงดังขึ้นอีกหนอย่างเหยียดหยาม “ฮ่า ๆ นี่หรือผู้ช่วยที่พวกเจ้าเฝ้ารอ?”
“#¥ บรรพชนเอ็งดิ พอได้หรือยัง!?”
ชายในอาภรณ์สีเงินในเมืองอดตวาดอย่างเคืองแค้นเหลือทนมิได้
คนอื่น ๆ เองก็มีสีหน้าถมึงทึง
ชายหนุ่มชุดม่วงจากจักรดาราซีหานก่อกวนอยู่นอกเมืองตลอดหลายวันมานี้ พยายามยั่วยุให้พวกเขานำตัวเองเข้าไปติดร่างแห
แม้พวกเขาจะไม่หลงกล แต่ก็ต้องทนถูกล้อเลียนเช่นนี้ทุกวัน ย่อมไร้ผู้ใดรู้สึกดี
ที่นอกเมือง ชายหนุ่มชุดม่วงนั่งเอกเขนกเหยียดแข้งขาอยู่บนเก้าอี้
เมื่อได้ยินวาจาก่นด่าของชายในอาภรณ์สีเงิน เขาก็เสสรวลก่อนจะกล่าวขึ้น “โอ้ กล้าต่อปากต่อคำหรือ? ข้าจำเสียงเจ้าไว้แล้ว สามวันจากนี้ในราตรีจันทราสีเลือด ข้าจะบั่นหัวเจ้าก่อนเลย!”
ทันทีที่เขากล่าวเช่นนี้ ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย มองไปยังประตูอันโอ่โถงของเมืองตงเสวียนที่อยู่ห่างออกไป
อาภรณ์สีเขียวโบกไสวตามลม
ชายหนุ่มชุดม่วงนั้นแสนปรีดา ไร้ความตกใจ กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าคือคนแซ่ซูสินะ? กล้าออกมารับความตายหรือไม่?”
ยอดฝีมือในขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังชายหนุ่มชุดม่วงเองก็ตะลึงหันมองเป็นตาเดียว
แต่ละผู้ล้วนไม่เป็นมิตร!
ยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนในรั้วเมืองล้วนเฝ้ามองอย่างกระวนกระวาย
ซูอี้ทะยานจากเหนือประตูเมืองสู่นอกเมือง
ตู้ม!
ยามนี้ ชายหนุ่มชุดม่วงทะยานขึ้นโจมตีทันที!
เขาดูเรียบเรื่อยลอยชาย ทว่ายามโจมตีกลับดุร้ายป่าเถื่อนยิ่ง ปราณของเขาร้ายกาจดุดัน จิตสังหารทะยานสู่เวหา!
“ตาย!”
ร่างของชายหนุ่มในชุดม่วงยังทะยานไม่ถึงจุดหมาย มือขวาที่เกร็งเยี่ยงกรงเล็บมังกรก็เรืองประกายแสงสีทองฟาดเข้าใส่ซูอี้
ท่าทางของเขาดูกลัวว่าซูอี้จะหนีกลับเข้าเมืองไป
แน่นอนว่าซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่
เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่แม้แต่จะมอง
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ถูกฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรงราวแมลงวันถูกตบ กระดูกแหลกร้าวไม่อาจทราบจำนวน ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ในขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานพลันสะดุ้ง ใบหน้าถึงกับเปลี่ยนสี
“ฆ่า!”
พวกเขาร่วมมือกันโดยไม่ลังเล
สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมย ขณะกดฝ่ามือลงบนอากาศอย่างไร้วาจา
ตู้ม!
ปราณดาบไหลหลากเยี่ยงน้ำตกจากท้องนภา แสงสว่างเจิดจ้าทะยานตัดห้วงฟ้ายามราตรี เจิดจรัสสาดแสงทั่วทั้งแดนดิน
และสิบสามตัวตนขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานก็ล้วนถูกสังหารลงเยี่ยงผักหญ้าด้วยปราณดาบหนาแน่นจรัสแสงนั้น
โลหิตกระเซ็น เสียงกรีดร้องสนั่นนภา
เพียงชั่วพริบตา ทุกผู้นอกจากชายหนุ่มชุดม่วงก็ตายลง
และซูอี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนสีหน้าตั้งแต่ต้นจนจบราวกับสิ่งที่ทำเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยทั่วไป
เขาปัดฝุ่นบนอาภรณ์ ขณะเอ่ยสั่งโดยมิหันมอง “อย่าฆ่าคนผู้นี้ แต่แขวนประจานไว้เหนือประตูเมืองซะ”
“ข้าจะไปเยือนเมืองซีหานเสียหน่อย”
น้ำเสียงราบเรียบยังมิทันสิ้นคำ ซูอี้ก็ถือไหสุราด้วยหนึ่งมือ ใช้อีกมือไพล่หลังเดินจากไปบนอากาศ
หายวับไปในพริบตา
ทุกผู้ในเมืองตงเสวียนตะลึงค้าง
ตัวตนสูงสุดในขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานถูกฆ่าเรียบในการโจมตีเดียว!?
ไม่สิ
ชายหนุ่มชุดม่วงยังไม่ตาย แต่เขาเองก็สิ้นกำลังต่อสู้ เป็นอัมพาตไม่ต่างกับศพสุนัข
“ใต้เท้าซูช่างควรค่าเป็นตำนานสังหารเซียนในโลกหล้าจริงแท้!”
ชายชราพึมพำ
“ในสายตาเรา คนเหล่านั้นเป็นศัตรูที่ร้ายกาจยิ่ง ทว่าในสายตาใต้เท้าซู พวกเขาช่างเหลาะแหละเยี่ยงแมลงเม่าเผชิญกองไฟ”
บางผู้ดูคลุมเครือ
ยิ่งเทียบกัน ยิ่งเผยให้เห็นว่าตำนานอภินิหารของซูอี้อันโด่งดังทั่วนภาจักรดาราตงเสวียนนั้นร้ายกาจเลิศล้ำเพียงไร!
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเอาแต่เห่าเรียกเยี่ยงสุนัขหรือ?”
บางผู้พุ่งออกจากประตูเมือง คว้าตัวชายหนุ่มชุดม่วงไว้แล้วยกมือตบหน้าหลายสิบฉาดติด ๆ กัน ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายบวมแดงเยี่ยงหัวหมู ฟันหลายซี่กระเด็นออก
“ใต้เท้าซูไปเมืองซีหานแล้ว…”
ในประตูเมือง ดวงตาเลื่อนลอยของหญิงสาวที่มีนามว่าจ่านอวิ้นค่อย ๆ ทอประกาย “ศิษย์พี่เจ้าคะ! มีใต้เท้าซูอยู่ ศัตรูที่ฆ่าท่านต้องตายแน่เจ้าค่ะ!!”
……
‘ในเมื่อมาล้างบางกันถึงหน้าเมืองตงเสวียนเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป’
ซูอี้กระซิบในใจ
ตลอดชีวิตของเขา ถือครรลองมิล่วงเกินผู้ใด และมิให้ผู้ใดล่วงเกินเสมอ
หากมิล่วงเกินเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกตนจากจักรดาราใด เขาก็ย่อมคร้านจะสนใจ
ทว่าครานี้ เขาตัดสินใจกระทำการเพื่อจักรดาราตงเสวียนสักหน่อย
หากไม่ทำ จะเกิดเป็นปมแค้น!
นอกจากนี้ ซูอี้ยังปฏิเสธมิได้ด้วยว่าความคิดของเขาได้รับอิทธิพลมาจากอารมณ์ของหวังเย่
เมื่อเห็นสภาพน่าเวทนาของฝ่ายจักรดาราตงเสวียน ซูอี้เองก็มีโทสะในใจเช่นกัน
ทว่าครานี้ ชายหนุ่มหาปฏิเสธโทสะนี้ไม่
ในเมื่อเขาเป็นสมาชิกเมืองตงเสวียนในสนามรบที่สองนี้ ชะตากรรมย่อมถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะมีสัมพันธ์เชิงปรปักษ์กับจักรดาราอื่น ๆ!
ต่อให้ชายหนุ่มไม่ออกล่าสังหาร อีกฝ่ายก็จะถือเขาเป็นเหยื่อ มาเข่นฆ่าสั่งสมเกียรติประวัติตนอยู่ดี!
และซูอี้มิพิสมัยการต้องรับมือฝั่งเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อคิดลงมือ เขาก็จะล้างรังศัตรูซึ่งหน้าไปเลย
“หือ คนจากเมืองตงเสวียนหรือ? ไม่ใช่ว่าเหยื่อจากเมืองตงเสวียนใกล้ตายกันแล้วหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาไกล ๆ
ยอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีกลุ่มหนึ่งจากจักรดาราหนานหั่วกำลังค้นหาวาสนาอยู่ภายในแดนดิน
และยามนี้ พวกเขาล้วนสังเกตเห็นซูอี้เคลื่อนเข้ามาจากท้องนภาที่ห่างไกล
“ฮี่ ๆ มิใช่ว่านี่คือโอกาสงามสำหรับเราหรือ? อย่าแย่งนะ เหยื่อนี่ข้าขอ!”
ชายชุดดำผู้หนึ่งทะยานขึ้น
ทว่าก่อนที่เขาจะทันลงมือ หนึ่งปราณดาบก็ปรากฏขึ้น สังหารเขาลงทันที
โลหิตหลั่งรินเยี่ยงน้ำตก
จากนั้นชายหนุ่มก็ประทับฝ่ามือบนอากาศทันใด
ตู้ม!!
แดนดินแถบนั้น รวมถึงเหล่ายอดฝีมือขอบเขตรวมวิถีจากจักรดาราซีหานทั้งหลายล้วนถูกลบหายสิ้น
ขณะที่ร่างของซูอี้ได้หายลับไปไกลแล้ว
“หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตแปรสัจธรรม ศัตรูเช่นนี้ก็ยิ่งปวกเปียกเกินทน…”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ต่อให้การฝึกฝนของเขาจะไม่เลื่อนขอบเขต ด้วยความแข็งแกร่งเมื่อกาลก่อนก็สามารถบดขยี้ตัวตนในขอบเขตรวมวิถีเหล่านั้นได้สบายมาก
ณ เมืองซีหาน
ที่ประตูเมืองคลาคล่ำด้วยผู้ฝึกตน เป็นภาพเปี่ยมชีวิตชีวา
นี่คือสถานที่ประจำการของทุกตัวตนในจักรดาราซีหาน
“ผีหลอกหรือไร ไฉนคนจากเมืองตงเสวียนจึงโผล่มาในถิ่นเรากัน?”
บางผู้ร้องอย่างตกตะลึง
ทันใดนั้น บริเวณใกล้กับประตูเมือง ยอดฝีมือมากมายจากจักรดาราซีหานล้วนชะงักมองขึ้นไป และพบว่าใต้ท้องนภา มีหนึ่งร่างสูงใหญ่กำลังเดินมา
นั่นเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งจากเมืองตงเสวียน!
ภาพนี้ยังทำให้ทุกผู้สงสัยว่าตนตาฝาด
ในสนามรบที่สองทุกวันนี้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่ายอดฝีมือฝั่งเมืองตงเสวียนใกล้ถูกฆ่าสิ้นแล้ว?
แม้กระทั่งที่หน้าประตูเมืองยังมีกำลังพลจากเมืองซีหานขวางไว้อยู่เลย!
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งจากเมืองตงเสวียนกลับปรากฏกายขึ้น และกำลังมายังเมืองซีหานของพวกเขา
ใครเล่าจะไม่ประหลาดใจ?
บนพื้นมีเสียงเสสรวลลั่นดังขึ้น “ไม่ดีหรือ? เหยื่อส่งตัวเองมาถึงเหย้าเลยเชียวนา”
“งั้นก็ลองดูว่าผู้ใดจะฆ่าเจ้าเหยื่อนี่ได้!”
“ได้เลย! ลองก็ลอง!”
“ฆ่า!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ตัวตนสารพัดต่างทะยานเข้าโจมตีชายหนุ่มที่อยู่บนอากาศ
แต่ละผู้ล้วนเร่งรีบ สีหน้ามาดร้ายดุจผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงล่าสัตว์หมายตาเหยื่อซึ่งปรากฏตัวขึ้นมาเอง!
………………..