บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 149 ประกาศิตพันธนาการวิญญาณ
สีหน้าของฉาจิ่นพลันมืดหม่น ถ้อยคำกล่าวออกอย่างสับสน “เหตุใดเจ้าไม่ปลิดชีพข้าเสีย?”
ซูอี้เก็บดาบบงการฟ้าดิน และพูดว่า “เมื่อใดที่ศิษย์พี่ของเจ้ารู้ว่าเจ้าถูกจับโดยข้า เขาย่อมจะมาช่วยเจ้าไม่ใช่หรือไร?”
ฉาจิ่นสะดุ้งทันทีเมื่อเข้าใจเจตนาของซูอี้ นางกัดฟันกรอดก่อนจะกล่าวด้วยอาการขุ่นเคือง
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคิดใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อให้ศิษย์พี่ปรากฏตัว!”
“นับว่ายังฉลาดอยู่บ้าง”
หลังสิ้นคำเย้ยหยัน ซูอี้คว้าคอขาวประหนึ่งหิมะของฉาจิ่น ก่อนจะใช้กำลังพลิกร่างของนางให้หันหลังให้ตัวเขา
ฉาจิ่นสีหน้าแปรเปลี่ยนในทันที ก่อนจะกล่าวอย่างร้อนรน “เจ้าคิดจะทำสิ่งใดกัน!?”
มือใหญ่ของซูอี้บีบคอของนางแรงยิ่งขึ้น ทำให้ทั้งตัวนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืนและหายใจลำบาก ด้วยท่าทางและระยะห่างอันใกล้ชิดนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกทั้งโกรธและอับอายอย่างสุดจะพรรณนา
ซูอี้เพิกเฉยต่อความขมขื่นของอีกฝ่าย เขาเหยียดนิ้วชี้ขวาออกก่อนจะกดลงบนผิวใต้คอระหงของฉาจิ่น จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วประหนึ่งพู่กัน ขีดเขียนลวดลายลึกลับอย่างตั้งใจ
ความรู้สึกขนลุกขนพองอย่างฉับพลันนี้ทำให้ร่างกายของฉาจิ่นแข็งทื่อ ลมหายใจของนางถี่รัว อีกทั้งยังครางโดยไม่รู้ตัว
บนผิวสีขาวและเนียนนุ่มของนาง มันปรากฏรอยแผลเป็นสีเลือดตามที่นิ้วชี้ของซูอี้ขีดลาก รอยแผลเป็นนั้นยิ่งนานยิ่งชัดเจนและยิ่งเห็นเป็นโครงร่างอักขระอักษร ซึ่งแลดูลึกลับน่าดึงดูด ทว่าแฝงด้วยความอันตรายอย่างยิ่งยวด
ในระหว่างกระบวนการนี้ ร่างกายที่บอบบางของฉาจิ่นสั่นสะท้านราวกับลูกนก ใบหน้าที่บอบบางของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาคู่งดงามประหนึ่งหยดน้ำค้างยามสารทฤดูเผยซึ่งทั้งความอับอาย ความแค้น และความเจ็บปวด
ทว่า ยิ่งนานอาการเจ็บปวดยิ่งรุนแรง ส่งผลให้ริมฝีปากแดงของนางหุบอ้าไม่หยุดหย่อน เสียงหอบหายใจถี่รัวทำลายความเงียบสงัดของห้องโถง แม้เสียงนี้จะมาจากความเจ็บปวด แต่มันกลับส่งกลิ่นอายอันมีเสน่ห์ ซึ่งอาจทำให้เลือดลมของใครก็ตามที่รับฟังนั้นเดือดพล่านได้โดยง่าย
ทันใดนั้น ปลายนิ้วของซูอี้ทิ่มกระแทกอย่างรุนแรง
หากมองจากมุมสูง จะแลเห็นว่าบนแผ่นหลังใต้คอขาวประหนึ่งหิมะของฉาจิ่น ปรากฏตัวอักษรขนาดเท่าฝ่ามือสีแดงสดซึ่งขยับไปมาอยู่เล็กน้อยราวกับมันมีชีวิตก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไปอย่างเงียบงันใต้ผิวหนัง
“อ่า~”
ฉาจิ่นเปล่งเสียงอุทานออกมา คิ้วของนางขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าแดงก่ำประหนึ่งผลแอปเปิ้ล นางกัดริมฝีปากของนางด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้นเมื่อซูอี้ปล่อยมือซ้ายที่บีบคอของนาง ทั้งร่างนางก็ทรุดลงราวกับไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างสั่นงันงกและยังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
ศีรษะของนางมึนงง นางรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของนางถูกฉีกทึ้ง มันเจ็บปวดแทบไม่อาจต้านจนแม้แต่ดวงตายังแข็งค้าง ขณะนี้มีเพียงเสียงหายใจถี่รัวของนางดังขึ้นในห้องเท่านั้น
ซูอี้ถอนหายใจยาวเช่นกันยามจบขั้นตอน
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินให้ตัวเองหนึ่งจอกแล้วดื่มหมดในรวดเดียว
“เจ้าทำสิ่งใดกับข้ากัน!”
หลังจากนั้นไม่นาน ฉาจิ่นก็กลับมารู้สึกตัว เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจระงับความกลัวในหัวใจได้อีกต่อไป ทั้งร่างยังสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
นางสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันรุกล้ำเข้าไปในจิตวิญญาณของนางโดยที่นางไม่อาจต้านได้แม้แต่น้อย
สิ่งที่ไม่รู้จักนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉาจิ่นนั้นไม่กลัวตาย แต่สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือชีวิตยังคงอยู่แต่ต้องอยู่อย่างตรอมตรมยิ่งกว่าตาย
“นามของมันคือ ‘ประกาศิตพันธนาการวิญญาณ’ มันเป็นเพียงกลเม็ดเล็กจ้อยซึ่งไม่แพร่หลายนัก เมื่อใดที่เจ้ามีพลังถึงขั้นวิถีต้นกำเนิด เมื่อนั้นเจ้าจึงจะสามารถลบล้างมันออกด้วยตัวเองได้”
ฉาจิ่นตกตะลึง
วิถีต้นกำเนิด?
นั่นคือระดับแห่งเทพเซียนเดินดินไม่ใช่หรือ!?
“ม… มันทำอะไรได้?” ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “อำนาจของมันนั้นเรียบง่าย แม้มีชีวิตอยู่แต่ไม่อาจสุขสบาย ทว่าอยากตายกลับไม่มีทางจะสมหวัง ทุก ๆ สามเดือนนับจากนี้ไป อำนาจของคาถาลับนี้จะปะทุขึ้นหนึ่งครั้ง ทุก ๆ ครั้งมันเปรียบดั่งถูกลอกหนังเฉือนเนื้อ ที่หัวใจราวกับถูกดาบนับพันทิ่มแทง ความทรมานที่บังเกิด คนธรรมดาย่อมไม่อาจจะทานทน”
“หากเจ้าแก้คาถาลับนี้ไม่ได้ภายในครึ่งปี วิญญาณของเจ้าจะถูกกัดเซาะจนหมดสิ้น และทั้งตัวของเจ้าจะกลายเป็นเหมือนศพที่เดินได้ ต่อมาเจ้าจะได้เห็นผิวหนังของเจ้าค่อย ๆ เน่าเปื่อย ท้ายที่สุด ทั้งร่างจะละลายกลายเป็นโคลนตม…”
แม้น้ำเสียงของซูอี้จะสงบนิ่ง แต่ฉาจิ่นกลับสั่นสะท้านไม่อาจควบคุม
“เจ้ามันปีศาจ!!”
นางกรีดร้องใจสลาย ใบหน้าของนางซีดเผือด การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยทั้งความกลัวและความโกรธ
มีเพียงผู้กล้าแท้จริงเท่านั้นที่สามารถยิ้มเย้ยต่อชีวิตและความตายได้อย่างไม่ยี่หระ
แต่กระนั้นฉาจิ่นนางไม่ใช่ผู้กล้า ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นางเผชิญอยู่ไม่ใช่ชีวิตและความตาย แต่เป็นสถานการณ์ที่โหดร้ายซึ่งนางไม่สามารถตายหรืออยู่อย่างสงบได้
ซูอี้เหลือบมอง “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าลืมกล่าวบอก ผู้ใดที่ถูกสะกดด้วยคาถานี้ เพียงความคิดเดียวจากผู้ร่ายจะทำให้ผู้ถูกสะกดได้รับความเจ็บปวดอย่างสุดแสนทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ ราวกับถูกเฆี่ยนตีด้วยหวายนับพันเส้น”
เพียงสิ้นประโยค
“ไม่!!!”
ฉาจิ่นส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด มือทั้งสองกุมหัวแน่นก่อนจะกลิ้งไปบนพื้นอย่างควบคุมไม่ได้
ในที่สุดนางก็ได้รู้ว่าความเจ็บปวดในส่วนลึกของจิตวิญญาณนางเป็นอย่างไร ความตายย่อมดีกว่าชีวิตเช่นนี้อย่างไม่อาจเทียบเปรียบ!
ในโลกของผู้บ่มเพาะ การฆ่านั้นไร้ความหมาย หลายคนต่างมองว่าชีวิตและความตายเป็นเรื่องปกติ
แต่วิธีการเฉกเช่นแบบซูอี้ การร่ายคาถาลับเพื่อควบคุมชีวิตและความตายของผู้อื่นนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่ผู้ใดจะทานทน
ในเวลานี้เองที่ฉาจิ่นเข้าใจถึงความน่าสะพรึงกลัวของบุรุษหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวที่นางล่วงเกินอย่างลึกซึ้ง ความหฤโหดเช่นนี้ไม่อาจเป็นของมนุษย์ได้ มีเพียงปีศาจในตำนานเท่านั้นที่พึงมี!
เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่
ฉาจิ่นรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงหายไป แต่ความทรมานที่ผ่านมาทำให้สภาพของนางขณะนี้น่าอับอายอย่างยิ่งยวด
เมื่อมองไปที่ซูอี้อีกครั้ง ดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยความกลัวอย่างล้ำลึก
“นับจากนี้ไป ชีวิตของเจ้าจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าอีกต่อไป เมื่อใดที่โทสะของข้าสงบลง ข้าอาจให้โอกาสเจ้าเป็นอิสระ แต่ก่อนหน้านั้น หากเจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า จงจำไว้ข้ายินดีทุกคราที่จะเห็นเจ้าต้องทุกข์ตรม!”
ซูอี้เอ่ยคำอย่างเฉยชา
“เจ้าค่ะ”
ฉาจิ่นสะกดข่มความโกรธและความทุกข์ในใจของนางอย่างสุดฤทธิ์ ก้มศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หาได้มีสักครั้งไม่ที่นางต้องเผชิญกับการทรมานที่โหดร้ายเช่นตอนนี้
สิ่งที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ โลกนี้กลับมีคาถาลับที่สามารถสะกดข่มดวงวิญญาณ ซึ่งทำให้นางไม่อาจต่อต้านได้เลย
…
นอกตำหนักวิจิตรบรรเลง
โจวจือหลียืนไพล่มือที่หลัง ดวงตาพลางมองขึ้นไปที่หน้าต่างบนชั้นสองด้วยความซับซ้อน
จางตั้ว และคนอื่นรอบตัวเขาต่างก็แสดงท่าทีแปลกประหลาดแต่ยังคงนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดแม้เพียงครึ่งคำ
ถัดมา มีเสียงกระทบกระทั่งอาวุธลอดออกจากหน้าต่าง ทุกคนที่อยู่ด้านนอกต่างตกตะลึง ผู้ใดจะไม่รู้บ้างว่าขณะนี้ซูอี้และฉาจิ่นกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด?
ทว่าเสียงอาวุธดังอยู่ไม่นานนักก่อนจะเงียบลง และถัดมามันถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องอันเจ็บปวดของหญิงสาว แต่ด้วยเพราะชั้นสองนั้นอยู่ห่างไกล คนอื่น ๆ จึงได้ยินเป็นเสียงคร่ำครวญแผ่วเบาซึ่งชวนให้จินตนาการของเหล่าบุรุษโลดแล่นอย่างไม่อาจควบคุม…
บุรุษผู้ใดจะไม่อาจจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนนั้น?
จางตั้วและคนอื่นต่างก็พากันครุ่นคิด ซูอี้คงไม่เก่งแต่เรื่องดาบเพียงอย่างเดียวใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นเสียงร้องคงไม่ดังระงมลงมาถึงชั้นล่างเป็นแน่แท้
อย่างไรก็ตาม คล้ายว่าองค์ชายหกกำลังขุ่นมัว
จางตั้วและคนอื่นต่างเห็นได้ด้วยดวงตาทั้งสองของพวกเขา ขณะนี้โจวจือหลีทั้งถอนหายใจทั้งขมวดคิ้ว บางคราราวกับอยากจะเอ่ยถ้อยคำสักอย่างแต่แล้วกลับหยุดยั้งตัวเองทุกครั้งไป
อันที่จริง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้แม้ไม่ต้องถามก็รู้กัน
สตรีงามที่ตนหมายปองมาโดยตลอด ขณะนี้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของบุรุษอื่น ผู้ใดบ้างจะยังมีความสุขได้?
ทันใดนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกับตัวเอง จู่ ๆ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นมาแต่ไกล
“ยังเล่นไม่พออีกงั้นหรือ?” เป็นชิงจินที่เดินมา เสียงของนางยังคงก็เกียจคร้านดังเช่นเคย
ขณะนี้นางปลอมตัวสวมเสื้อผ้าเยี่ยงบรุษด้วยสวมเสื้อคลุมยาว ในมือข้างหนึ่งถือเหยือกสุรา ทว่าดวงตาที่เปล่งประกายประหนึ่งคมมีดกลับบ่งบอกถึงความมึนเมาเล็กน้อย
“ท่านอาหญิงเข้าใจผิดแล้ว คืนนี้ข้าหาได้สุขสำราญไม่!”
โจวจือหลีถอนหายใจ รู้สึกหดหู่จนไม่อยากจะเอ่ยถ้อยคำ
ชิงจินตากะพริบปริบ ๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
โจวจือหลีส่ายหัวไม่อยู่ในอารมณ์จะเอ่ยอธิบายเรื่องราว
จางตั้วที่อยู่ด้านข้างซึ่งยังมีไหวพริบ กระแอมไอแผ่วเบา จากนั้นจึงเริ่มอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หลังจากรับฟังจนจบสิ้น ชิงจินเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า “เช่นนั้นขณะนี้พวกเขายังสู้กันอยู่หรือ?”
“เอ่อ…”
ยามได้ยินประโยคคำถามนี้ จางตั้วก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ทางด้านโจวจือหลียิ่งดูอึดอัดมากกว่าเก่า
ดวงตาคมกริบของชิงจินเหลือบมองพวกเขา ไม่นานนักนางเริ่มเข้าใจบางอย่างที่คลุมเครือ ใบหน้าที่งดงามแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ถ้อยคำกล่าวออกอย่างฉงน “ไม่มีทางแน่ ซูอี้ผู้นั้นแข็งกระด้างราวกับแผ่นศิลา เขาจะมีอารมณ์ราคะได้อย่างไร?”
“ท่านหญิงชิงจิน ท่านอาจจะไม่เอ่ยคำนี้หากได้เห็นในสิ่งที่เราทุกคนเห็น”
จางตั้วอธิบายอย่างรวดเร็ว
ชิงจินพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ถ้อยคำตวาดออกอย่างหงุดหงิด “เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้น อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าถูกเขาไล่ออกมา?”
นางเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ซูอี้และฉาจิ่นอาจจะกำลังทำสิ่งที่น่าละอายอยู่ด้านใน ไม่เช่นนั้นซูอี้จะไล่คนเหล่านี้ออกมาทำไม?
“ไม่คิดเลยจริง ๆ ไม่คิดเลย น่าเสียดายที่ข้าเคยถือว่าเขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะเช่นเดียวกับตัวข้า เป็นผู้บ่มเพาะซึ่งมุ่งเน้นมรรคาแห่งเต๋าสวรรค์ โดยไม่คาดคิด… เขากลับไม่ต่างอะไรจากบุรุษทั่วไปในโลกนี้…”
ชิงจินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ความรู้สึกผิดหวังในใจก่อเกิดอย่างน่าแปลก
โจวจือหลีและจางตั้ว ต่างอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น คำพูดว่าไม่ต่างจากบุรุษผู้อื่นนั้นกระทบพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ทันใดนั้น ร่างสองร่างเดินออกจากประตู
คนทั้งสองไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาคือซูอี้และฉาจิ่น
สายตาของทุกคนแลมองเป็นจุดเดียว
ซูอี้ยังคงเป็นเช่นเดิม ระหว่างเดินยังคงเอามือไพล่หลัง ดวงตาสีหน้ายังคงเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน
แต่ยามเห็นฉาจิ่นปรากฏตัว โจวจือหลีรู้สึกเจ็บปวดในใจอย่างไม่อาจควบคุม
ขณะนี้ใบหน้าสตรีที่ตนเคยหมายปองแลดูซีดเผือด ทั้งผมเผ้าและเสื้อผ้ายังยุ่งรุงรังเล็กน้อยไม่เหมือนตอนที่เขาเห็นล่าสุดก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้ฉาจิ่นจะจัดการตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่โจวจือหลียังคงเห็นร่องรอยของเหงื่อที่เปียกโชกได้
และสิ่งที่เขารับไม่ได้ยิ่งกว่าเรื่องต่าง ๆ ก็คือขณะนี้นางก้มศีรษะและเดินตามด้านข้างของซูอี้อย่างเชื่อฟัง โดยปราศจากรอยยิ้ม และความสดใสที่เขาเคยเห็นมาโดยตลอด
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าร่างกายของนางยังคงสั่นเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ อีกทั้งบางครั้งยามนางแอบเหลือบมองไปยังซูอี้ ร่องรอยของความหวาดกลัวจะปรากฏขึ้นชัดเจนในแววตา
เมื่อเห็นฉากนี้ จางตั้วรู้แจ้งได้ทันที คุณชายซูสยบสตรีงามเลิศล้ำผู้นี้ได้แล้วเป็นแน่แท้
ทางด้านชิงจินเมื่อนางเห็นฉาจิ่นเดินเคียงข้างซูอี้ด้วยท่าทียอมสยบโดยสมบูรณ์ ในใจของนางพลันเกิดความรู้แปลกประหลาด มันทั้งพลุ่งพล่านด้วยความไม่พอใจ รู้สึกผิดหวังและพ่ายแพ้อย่างไม่อาจอธิบายได้
“ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้!” ชิงจินอดไม่ได้ที่จะตวาดออกเสียงดัง
แต่กระนั้น ทันทีที่คำพูดหลุดออกไป นางพลันรู้สึกว่าตนเองนั้นหยาบคายอย่างไม่น่าเชื่อ กระทั่งแม้แต่ตัวนางเองยังอดไม่ได้ที่จะตะลึง
นี่ตัวข้า… เกิดอะไรขึ้น?