บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1494: สนามเต๋าแรกเยือน
ตอนที่ 1494: สนามเต๋าแรกเยือน
ซูอี้กำลังเดินทางกลับมาแล้ว
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองและคณะต่างรีบทักทายทันที
การวางตัวของพวกเขายามเผชิญหน้ากับชายหนุ่มต่างเปลี่ยนแปลงไป
“พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”
ซูอี้ขยับปลายนิ้ว แสงเงาสะท้อนเป็นรูปลักษณ์ของชายในอาภรณ์สีเลือด
มีผู้กล่าวขึ้นทันที “ข้ารู้จักเขา นั่นผู้อาวุโสเฉียนเสวี่ยเฟิงแห่ง ‘สำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์’ จากจักรดาราซีหาน!”
“คนจากจักรดาราซีหาน!”
ทันใดนั้น สีหน้าของพวกชายวัยกลางคนชุดเหลืองก็มืดหม่นลง
“เรื่องนี้ต้องมิปล่อยไว้เฉย ๆ!”
“ไอ้แก่นั่นผิดต่อกฎสนามรบแรก ต้องถูกลงทัณฑ์สถานหนัก!”
ทุกผู้ล้วนเดือดดาล
“ข้าฆ่าเขาไปแล้ว”
ซูอี้กล่าวเสียงเรียบ
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวขึ้น บรรยากาศพลันเงียบกริบ
ทุกผู้ล้วนตกตะลึง ฆ่าไปแล้วหรือ!?
“สหายเต๋า เมื่อผู้หนึ่งตกตาย การอธิบายเหตุผลนั้นยากนะ”
ชายวัยกลางคนชุดเหลืองดูกังวล “ตามกฎแล้ว ไม่ว่าความแค้นจะใหญ่หลวงเพียงใด ก็ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อนจะถูกลงโทษ”
ชายร่างผอมสูงในชุดดำเอ่ยเสริม “และหากผู้ใดกระทำผิดกฎ มีเพียงฝ่ายของพวกเขาเท่านั้นที่จัดการได้ การที่เจ้าทำเช่นนี้… เป็นเรื่องกลับกัน หากเรื่องเลยเถิด เจ้าก็อาจจะถูกรุมโจมตีจากฝ่ายของพวกเขาได้นะ”
ซูอี้กล่าวขึ้นทั้งที่ยังยิ้มอยู่ว่า “หมายความว่าข้าทำเรื่องผิดหรือ?”
ทุกผู้รีบส่ายหน้า
จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดสีเหลืองก็กล่าวขึ้น “สหายเต๋าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าจะเป็นพยานแก่เรื่องวันนี้ มิให้สหายเต๋าถูกใส่ความผิด ๆ อย่างแน่นอน!”
“ถูกต้อง หากคนจากจักรดาราซีหานคิดเล่นงานเจ้าจริง ๆ ข้าจะออกมาเป็นพยานแก้ต่างให้สหายเต๋าแน่นอน!”
คนอื่น ๆ ต่างก็ประกาศวาจา
วันนี้ การลงมือของซูอี้เป็นเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจากการลอบสังหาร มีหรือพวกเขาจะยืนดูอยู่เฉยได้?
“เอาล่ะ เรื่องนี้จบแล้ว ข้าควรไปได้แล้ว”
ซูอี้สาวเท้าจากไป
ทุกผู้ล้วนตะลึง ไปแล้วหรือ?
กว่าพวกเขาจะฟื้นสติ ร่างของซูอี้ก็หายไปนานแล้ว
บางผู้ทอดถอนใจ “สหายเต๋าผู้นั้นสุดยอดไปเลยจริง ๆ เขาฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โดยมิห่วงว่าถูกคิดบัญชีเลย”
“ความแข็งแกร่งของเขาก็ร้ายกาจน่าสะพรึง แม้จะมีการฝึกฝนในขอบเขตรวมวิถี แต่ก็แข็งแกร่งทรงพลังเหนือกว่าเราทั้งหลายในขอบเขตจุติมงคลมากนัก”
บางผู้มีสีหน้าชื่นชม
“จริงเช่นนั้น ข้าไม่คิดเลยว่าในศึกประชันครั้งนี้จะมีตัวตนท้าทายสวรรค์เช่นนี้ปรากฏขึ้นในจักรดาราตงเสวียนซึ่งรั้งท้ายอยู่เสมอ”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองเอ่ยขึ้น
ชายร่างผอมสูงในชุดดำตบหน้าผากฉาด กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “แย่ล่ะ จะว่าไป เราไม่รู้กระทั่งชื่อของสหายเต๋าผู้นั้นเลย”
ทุกผู้ชะงักไป ก่อนจะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนกันถ้วนหน้า
เขาคุ้มครองชีวิตของพวกตนมาตลอดการเดินทางนี้ ทว่าพวกเขากลับไม่รู้กระทั่งนามของอีกฝ่าย
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนได้หัวเราะจนตายแน่
“อย่าห่วงเลย ด้วยความแข็งแกร่งที่สหายเต๋าผู้นั้นแสดงออกมา อีกไม่นาน นามของเขาจะต้องกึกก้องอยู่ในสนามรบแรกนี้แน่นอน!”
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองกล่าวราวสาบาน
ชายวัยกลางคนในชุดเหลืองกล่าวอย่างจริงจัง “ดังนั้น ไม่ว่าเช่นใด ข้าก็ต้องเป็นพยานแก่เขา ต้องมิให้สหายเต๋าผู้นั้นถูกใส่ความ!”
ทุกผู้พยักหน้า
……
ซูอี้หาคิดมากไม่
ผู้ที่ตั้งกฎที่ว่านั้นขึ้นมาก็เป็นคนเช่นกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการโจมตีของเขาครานี้ใช้คุณธรรมเป็นที่ตั้ง เป็นการฆ่าผู้กระทำผิดต่อกฎอีกด้วย
ด้วยประการนี้ หากเขาถูกใส่ความคิดบัญชี เขาก็มิคิดมากหากจะตั้งกฎใหม่ในสนามรบแรกนี้!
“ไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับดาบพุทธะสรรพสุญตาและเซียนดาบชิงซื่อบ้าง”
ชายหนุ่มครุ่นคิด
เขตแดนสมรภูมิเปิดออกเกือบสามเดือนแล้ว
โชคดีที่ในสนามรบแรกนี้ไม่เหมือนกับสนามรบที่สองและสาม ยอดฝีมือที่นี่ตั้งกฎมิเข่นฆ่ากัน
สิ่งนี้ทำให้โอกาสการตกตายของคนทุกผู้ในขอบเขตจุติมงคลลดลงไปอย่างมหาศาล
แน่นอน สรรพสิ่งล้วนมิเที่ยง
การสำรวจหาโอกาสตามสถานที่ต่าง ๆ ในสนามรบแรกก็มีโอกาสพบการเข่นฆ่าอยู่เหมือนกัน
เหมือนที่เฉียนเสวี่ยเฟิงจากสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ณ จักรดาราซีหานบงการสัตว์ร้ายไล่ฆ่าคนอื่นอยู่เบื้องหลัง ขอเพียงทุกสิ่งราบรื่น คนจากจักรดาราหนานหั่วเหล่านั้นตกตาย ผู้คนก็จะคิดว่าพวกเขาตายด้วยฝีมือสัตว์ร้าย
ท้ายที่สุด กฎก็ไม่ถูกเรียกใช้
ขอเพียงมีเจตนาจะฆ่าคน ก็จะพบสารพัดวิธีการให้ใช้เสมอ
ครึ่งวันต่อมา
ซูอี้ได้มาถึงแดนแรกเยือน
สี่ยอดเขา ตงเสวียน ซีหาน หนานหั่วและเป่ยเยวียนตั้งประจำทิศทั้งสี่รอบแดนแรกเยือน
ใจกลางแห่งแดนนี้มีสนามเต๋าแห่งหนึ่ง
ยามนี้ที่สนามเต๋าเกิดศึกอย่างดุเดือดขึ้นหนึ่งศึก
ฝั่งหนึ่งเป็นยอดฝีมือจากจักรดาราเป่ยเยวียนในอาภรณ์สีทอง ร่างสูงใหญ่ อำนาจร้ายกาจยิ่ง
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียน เขาเป็นชายชราร่างผอม สวมมงกุฎสูง ฝึกฝนถึงขอบเขตจุติมงคลขั้นปลาย
ผู้ชมในบริเวณใกล้เคียงแน่นขนัด มีเสียงร้องปลุกใจดังขึ้นเป็นระยะ เป็นภาพตระการตาพอตัว
ซูอี้ปะปนอยู่ในฝูงชนอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ดวงตามองไปยังสนามเต๋า
อ้อมแขนของเขาอุ้มฉยงฉีซึ่งหดจนมีขนาดเหลือเพียงลูกแมวอยู่
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานตนนี้กล่าวได้ว่าเชื่องสนิท มันก้มหน้าก้มตาขดตัวสั่นเทิ้ม มิกล้าดิ้นรนขัดขืน
เมื่อผู้อื่นมองมา พวกเขาก็จะเผลอคิดไปว่านี่คือ… สัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่ง
“น่าเบื่อ”
หลังดูอยู่เพียงครู่เดียว ซูอี้ก็ส่ายหัว
ศึกปิดฉากนี้อาจชวนตื่นตา ทว่าสำหรับเขา มันหามีเสน่ห์ใดไม่
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจากไป ศึกที่สนามเต๋าก็จบลงพอดี
ชายชราร่างผอมจากจักรดาราตงเสวียนถูกฟาดกระเด็นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส กลิ้งหลุน ๆ กับพื้น
“ดูเหมือนว่าจักรดาราตงเสวียนจะไร้ผู้มีฝีมือจริง ๆ สินะ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดสู้ได้สักคน!”
ชายสวมชุดสีทองบนสนามเต๋าส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างดูแคลน
ในบริเวณนั้นเกิดเสียงหัวเราะระเบิดขึ้น
พวกเขาคือผู้ชมจากจักรดาราเป่ยเยวียน หนานหั่วและซีหาน สีหน้าของพวกเขาหากมิขบขัน เย้าหยอก ก็ล้อเลียน และอื่น ๆ อีกมากมาย
ขณะเดียวกัน ผู้ชมจากจักรดาราตงเสวียนล้วนอับอายไร้วาจา บางผู้รำพึงอยู่เนิ่นนาน บ้างถลึงตามองอย่างโกรธแค้น บางถอนหายใจอย่างขมขื่น
หัวใจของทุกผู้ล้วนมิได้ยินดี
จริงดังว่า จวบกาลก่อนจนยามนี้ ยากนักจะพบยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนกำชัย
ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะถูกปราบลงอย่างเหี้ยมโหดโดยคู่ต่อสู้จากจักรดาราทั้งสามแห่งมากกว่า!
หากมองตามความสำเร็จโดยรวมที่เกิดขึ้น ในหมู่สี่จักรดาราใหญ่ ตัวตนขอบเขตจุติมงคลฝั่งจักรดาราตงเสวียนรั้งท้ายที่สุด!
ยิ่งกว่านั้น ผลลัพธ์ของสามจักรดาราที่เหลือยังแตกต่างกันอย่างยิ่ง!
โดยเฉพาะเดือนที่ผ่านมานี้ ยอดฝีมือทั้งหมดจากจักรดาราตงเสวียนซึ่งขึ้นไปต่อสู้บนสนามเต๋าล้วนพ่ายแพ้
นี่ยังทำให้ยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนถูกมองว่าขลาดเขลา ตกเป็นเป้าล้อเลียนราวกับเป็นตัวตลกในสนามรบ!
เมื่อชายสวมชุดสีทองที่อยู่บนสนามเต๋าได้ยินเสียงหัวเราะของทุกผู้ เขาก็อดยิ้มตามมิได้
จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ หาเหล่าคนจากจักรดาราตงเสวียน “พวกเจ้าจากจักรดาราตงเสวียนจงฟังให้ดี จากนี้ไป ยามข้าลวี่เมิ่งจะขึ้นประลองบนสนามเต๋า พวกเจ้าก็อย่ามาทำให้ตัวเองขายหน้าเลย!”
เสียงนั้นดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ
มันคือการหมิ่นเกียรติฝ่ายจักรดาราตงเสวียนอย่างร้ายแรง ไม่ต่างกับการดูถูกซึ่ง ๆ หน้า!
ชั่วขณะนั้น สีหน้าของคนทุกผู้จากจักรดาราตงเสวียนล้วนบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้
และเสียงหัวเราะของเหล่าผู้ชมก็ยิ่งดังลั่น
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้าน้อย ๆ
ศึกประลองเช่นนี้หาตัดสินเป็นตายไม่ มีเพียงวัดแพ้ชนะ มิต่างกับสนามมวยแต่อย่างใด
สำหรับซูอี้ การประลองเช่นนี้น่าเบื่อที่สุด ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็ล้วนน่าเบื่อยิ่ง
ซูอี้กำลังจะจากไป โดยตั้งใจว่าจะไปที่ยอดเขาตงเสวียนสักหน่อย
ยอดเขาตงเสวียนเป็นค่ายพำนักของจักรดาราตงเสวียน และดาบพุทธะสรรพสุญตากับเซียนดาบชิงซื่อก็อาจจะอยู่ที่นั่นด้วย
ทว่า ซูอี้เพิ่งหันหลัง ยังมิทันได้ไปไหน จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใต้เท้าซู! เป็นท่านจริง ๆ!”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
และเสียงของเขายังดึงความสนใจของยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนในละแวกเดียวกัน ชั่วขณะนั้น พวกเขาล้วนเผยความตื่นเต้น
“ใต้เท้าซู ในที่สุดท่านก็มา”
“ฮ่า ๆๆ รอบนี้ จักรดาราตงเสวียนของเรา ในที่สุดก็จะพ้นการถูกเหยียบย่ำดูแคลนเสียที!”
“ใต้เท้าซู ท่านมาถึงแต่ยามใดกันเจ้าคะ? ข้ารอท่านมาอยู่เสมอเลย!”
…เกิดเสียงดังเซ็งแซ่
สีหน้าของพวกเขาทั้งชายหญิงล้วนเปี่ยมปรีดา ราวกับได้พบที่พึ่งทางใจในที่สุด
ซูอี้ “…”
เขาพูดไม่ออกเล็กน้อย
ว่ากันตามตรง ยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนเหล่านี้เป็นเพียงคนคุ้นหน้าสำหรับเขา ไม่รู้กระทั่งชื่อและตัวตนของพวกเขาด้วยซ้ำไป
จำได้คลับคล้ายคลับคลาเพียงว่าเคยช่วยปลดอำนาจคำสาปให้คนเหล่านี้มาก่อน นอกเหนือจากนั้นก็หามีการติดต่อกันไม่
ทว่ายามนี้ คนเหล่านี้กลับ… ระริกระรี้เหลือเกิน!
แน่นอนว่าซูอี้เข้าใจความรู้สึกของทุกคนดี การถูกยอดฝีมือจากสามจักรดารารังแกเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็อยากจะหาที่พึ่งทางใจให้พวกตนยังพอหายใจได้ทั้งสิ้น
โชคร้ายที่ซูอี้หาสนใจการประลองนี้ไม่
ดังนั้นสถานการณ์นี้จึงมิได้ทำให้ซูอี้เปลี่ยนใจ
การเคลื่อนไหวของยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนดึงความสนใจจากยอดฝีมือจากสามจักรดาราอื่น ๆ ที่นี่ และยังทำให้ซูอี้กลายเป็นจุดสนใจของทุกผู้โดยพลัน
“ใต้เท้าซู? หรือจะเป็นซูอี้ที่คนจากจักรดาราตงเสวียนพูดถึงบ่อย ๆ?”
“น่าจะเป็นเขากระมัง”
“กล่าวกันว่าเขาเพิ่งก้าวสู่วิถีจุติสรวงไม่ถึงครึ่งปี เป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตทารก แต่ความแข็งแกร่งกลับท้าทายสวรรค์ยิ่ง จึงได้รับยกย่องว่าเป็นตำนานอันเจิดจรัสในยุคปัจจุบันแห่งจักรดาราตงเสวียน”
“จริงหรือลวง?”
“ไม่มีทางเป็นเรื่องลวงได้แน่นอน เพราะถึงอย่างไร การที่หนึ่งตัวตนขอบเขตจิตทารกจะทะลวงจากสนามรบที่สามสู่สนามรบแรกได้นั้น มีหรือจะเป็นตัวตนธรรมดา?”
“ดี ๆ ในที่สุดเรื่องก็น่าสนุก!”
…เสียงหารือเซ็งแซ่ดังขึ้นเรื่อย ๆ เหล่ายอดฝีมือจากสามจักรดาราล้วนเบนสายตามามองซูอี้อย่างเย้าหยอก
เมื่อไม่นานนี้ พวกเขาล้วนเคยได้ยินยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนกล่าวว่ามีตัวตนท้าทายสวรรค์เช่นซูอี้อยู่ในจักรดาราตงเสวียน
ยามยอดฝีมือบางผู้จากจักรดาราตงเสวียนแพ้ในสนามเต๋าก่อนหน้านี้ ถึงกับกล่าวอย่างเดือดดาลว่าเมื่อซูอี้มา เขาจะช่วยพวกตนล้างอายแก่จักรดาราตงเสวียนได้แน่นอน!
หากผู้พูดมีเพียงหนึ่ง คงไม่มีผู้ใดถือสาจริงจัง
ทว่าเมื่อได้ยินหลายคนพูดเป็นเสียงเดียว มันก็ยากที่จะไม่สนใจ
และยามนี้ ในที่สุดชายหนุ่มที่มีนามว่าซูอี้ผู้นั้นก็มาถึง!
มันยังดึงความสนใจของเหล่าผู้ชมไปเช่นกัน
………………..