บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1495: กลัวจนฉี่ราด
ตอนที่ 1495: กลัวจนฉี่ราด
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาชาชินต่อการเป็นจุดสนใจมาแสนนาน
ทว่าเขามิชอบยามมีผู้ชี้นิ้วพูดถึงเขา
“ใต้เท้าซู ท่านไม่รู้อันใด ตลอดกาลนานมา เราผู้ฝึกตนจากจักรดาราตงเสวียนล้วนรวดร้าวแสนสาหัส”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งก้าวเข้ามากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “เราทั้งหลายล้วนแสนเดือดดาลในใจ แต่ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนไร้หนทาง เพราะเราจักรดาราตงเสวียนนั้นอ่อนแอเกินไปจริง ๆ ขอรับ…”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แสนโชคดีที่ท่านมา ในที่สุดคนทุกผู้ก็ได้พบที่พึ่ง!”
“ถูกต้อง! ข้ารอใต้เท้าซูมาเสมอ ขอเพียงท่านเอ่ยปาก ข้าก็ยินดีรับคำสั่งขอรับ!”
บางผู้กล่าวขึ้น
ราวกับราชันปรากฎ
เพราะมีเพียงผู้ฝึกตนจากจักรดาราตงเสวียนเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าซูอี้เป็นตัวตนน่าสะพรึงเพียงไร!
มิใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าในสายตาตัวตนขอบเขตจุติมงคลทั้งหลายจากจักรดาราตงเสวียน ทั่วทุกจักรดารามิอาจหาผู้ใดเทียบซูอี้ได้สักคน!
ซูอี้นวดหว่างคิ้วขณะกล่าว “ข้าเข้าใจความหมายที่พวกเจ้าจะสื่อแล้ว ทว่าข้ามิสนใจการดวลเช่นนี้เลยสักนิด”
คนทุกผู้ผงะไป ขณะที่ความตื่นเต้นปรีดาบนใบหน้าแข็งทื่อไปมาก
“ใต้เท้าซู ความอับอายที่เราทั้งหลายเผชิญอาจไม่ควรค่าให้พูดถึง แต่ไม่ว่าเช่นไร ท่านเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกจากจักรดาราตงเสวียน และท่านก็ต้องทราบนะขอรับว่าในอดีต คู่แข่งเหล่านั้นล้วนมิมีจักรดาราตงเสวียนเราในสายตามานานแล้ว!”
บางผู้อดกล่าวมิได้ “นี่… ไฉนมิให้พวกเขามีท่านในสายตาล่ะขอรับ?”
หลายคนอดพยักหน้าไม่ได้
ซูอี้กวาดสายตามองคนทุกผู้ และกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าจะช่วยพวกเจ้าให้เชิดหน้าชูตาน่ะได้ แต่เคยคิดบ้างหรือไม่ว่ายามวิถีแรกเยือนปรากฏ พวกเจ้าจะนำสิ่งใดไปสู้กับผู้อื่น?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนทุกผู้ก็เงียบไป หัวใจจมดิ่ง สีหน้ามิอาจซ่อนความจนปัญญาหดหู่ได้
จริงดังซูอี้ว่า พวกเขาทั้งหลายล้วนมาเพื่อจุติสรวงบรรลุเซียน
ทว่า ด้วยความแข็งแกร่งของพวกตน ความหวังก็แสนริบหรี่!
ซูอี้ใช้หนึ่งมือลูบขนฉยงฉีอย่างแผ่วเบา ขณะกล่าวว่า “ศึกที่วัดเพียงแพ้ชนะนั้นช่างไร้ค่า สิ่งที่ต้องทำคือพยายามให้ตนเองแข็งแกร่งเพื่อกาลหน้า แทนที่จะมาห่วงเกียรติภูมิอัปยศส่วนตนเหล่านี้”
นี่คือวาจาจากใจของเขา
ในฐานะผู้ฝึกตน แทนที่จะมัวอับอาย กล้า ๆ เข้าไว้ดีกว่า!
“สิ่งที่ใต้เท้าซูว่าได้สั่งสอนตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้แล้วขอรับ”
ชายชราผมขาวก้มหัวคำนับด้วยสีหน้าละอาย
ทว่าหลายผู้เงียบวาจาไป
เห็นได้ชัดว่ามิอาจยอมรับเรื่องที่ซูอี้มิยอมลุกขึ้นสู้ไปชั่วขณะ
ทว่ามีหรือซูอี้จะสนใจ?
เขาหันหลังจากไป
“พูดตั้งยืดยาว สุดท้ายก็แค่กลัว หากมีฝีมือจริง กล้ามาสู้กับข้าหรือไม่?”
ชายชุดทองบนสนามเต๋าซึ่งอ้างว่าตนชื่อลวี่เมิ่งพลันกล่าวขึ้น
เขาใช้มือกอดอก หรี่ตามองซูอี้จากไกล ๆ สีหน้ามิซุกซ่อนความโอหัง
รอบข้างพลันเกิดเสียงฮือฮา
คนมากมายที่ชมความสนุกอยู่กลัวสถานการณ์มิชุลมุน กล่าวออกมาทันที
“เจ้าน่ะ พวกคนจากจักรดาราตงเสวียนล้วนเอ่ยโอ่ตั้งมากตั้งมายเกี่ยวกับเจ้า บอกว่าเจ้าเป็นตำนานอันหาได้แสนยากในจักรดาราตงเสวียน แต่ไฉนเจ้าจึงมิกล้าสู้กัน?”
บางผู้กล่าวขึ้นตามอำเภอใจ “หรือจะเป็นชื่อเสียงจอมปลอมกันล่ะ?”
“ก็แค่มีแซ่ซูแค่นั้น”
บางผู้ส่ายหน้า
บางผู้ดูเหยียดเยาะ
“คนแซ่ซู เร็วเข้า กล้าสู้หรือไม่?”
บางผู้ตะโกนลั่นทันที
ชั่วขณะนั้น สารพัดวจีดังเซ็งแซ่ มุ่งหัวหอกไปทางซูอี้พร้อมเพรียง
นี่ย่อมเป็นกลยุทธ์ยั่วยุ
ในฐานะตัวตนขอบเขตจุติมงคล น้อยคนนักจะโง่เง่า
พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อบีบให้ซูอี้ต้องสู้ พวกเขาจะได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นความหวังของจักรดาราตงเสวียนมีฝีมือมากน้อยเพียงไร
และยามนี้ก็คือโอกาสงาม!
ทุกผู้ในจักรดาราตงเสวียนเองก็มองมายังซูอี้
ภายใต้สถานการณ์การถูกยั่วยุจากสามจักรดาราใหญ่เช่นนี้… จะทนได้หรือ?
ทว่าพวกเขาหารู้ไม่ว่าสำหรับซูอี้ คำยั่วยุเช่นนี้หามีประโยชน์ไม่
มันเร้าโทสะในใจเขายังมิได้ ไฉนเขาต้องทนด้วย?
กลุ่มตัวตนดุจเห็นหมัดแยกเขี้ยวกางเล็บ หากเขามีโทสะแค่เพราะเรื่องนี้คงเป็นการดูถูกตัวตนตนเอง
ซูอี้หันหลังจากไป
เขาเมินทุกเสียงครหา หาสนใจสายตาตะลึงผิดหวังจากคนทุกผู้ในจักรดาราตงเสวียนไม่
บนสนามเต๋า ชายชุดทองลวี่เมิ่งเองก็ตกตะลึง ก่อนจะอดส่ายหน้าหัวเราะลั่นมิได้ “ทุกท่านมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว! คนแซ่ซูผู้นั้นไร้ค่า! ความอับอายของจักรดาราตงเสวียน! ตัวตลกแห่งสนามรบแรก!”
ทุกถ้อยคำสะท้อนทั่วฟ้าดิน
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะเฮฮาก็ลั่นขึ้นเยี่ยงอสนีบาต
คนทุกผู้ในจักรดาราตงเสวียนช่างแสนอับอาย
ซูอี้ผู้ที่ตนฝากความหวังสูงส่งถูกดูแคลนล้อเลียนเช่นนี้ ทว่ากลับมิใส่ใจแยแส ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองโดยไร้ที่ระบาย
เสียงเสสรวลของลวี่เมิ่งในสนามเต๋าทวีความลำพองขึ้นตามกาล
“ไม่ใช่ว่าข้าจงใจเหยียดหยามเขาหรอกนะ เพราะถึงอย่างไร ต่อให้ผู้อื่นพ่าย อย่างน้อยพวกเขาก็ยังกล้าสู้ แต่คนแซ่ซูผู้นี้ไร้กระทั่งความกล้าประชัน!”
“หากนี่มิใช่ขี้ขลาด…”
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เสียงของลวี่เมิ่งก็หยุดลงกะทันหัน
ในคลองจักษุของเขาพลันปรากฏสัตว์ร้ายสีดำรูปร่างคล้ายลูกแมวบนสนามเต๋า
ไกลออกไป ไม่รู้ว่าซูอี้หันกลับมาแค่ยามใด เขากล่าวกับสัตว์ร้ายตัวน้อยว่า “เล่นกับเขาหน่อย อย่าฆ่านะ แล้วจะทำอันใดก็เชิญ”
สัตว์ร้ายสีดำพยักหน้าทั้งตัวสั่น ๆ
ภาพนี้ส่งให้เกิดเสียงหัวเราะมากมาย
ลวี่เมิ่งรู้สึกถูกเหยียดหยามอย่างมาก ใบหน้ามืดหมอง ชี้สัตว์ร้ายสีดำที่ดูมิต่างจากลูกแมวแล้วพูดเสียงเย็น “เจ้า… ให้สัตว์ร้ายตัวน้อยนี่มาสู้กับข้าผู้นี้หรือ?!”
ทุกผู้ล้วนฟังออกว่าลวี่เมิ่งกำลังเดือดดาล
ซูอี้เมินไปมองสัตว์ร้ายสีดำ “เร็วเข้า”
สัตว์ร้ายสีดำหันขวับ นัยน์ตาสีครามจ้องมองมายังลวี่เมิ่ง
ลวี่เมิ่งหัวเราะอย่างเดือดดาล ขณะที่เขากำลังจะกล่าวอันใดนั้นเอง
“โฮกกก!”
เสียงคำรามสะเทือนโลกาพลันดังสนั่น
ดุจพยัคฆ์คำรนในหุบเหว เยี่ยงมังกรกู่ร้องจากเหนือสรวง
หัวใจของเหล่ายอดฝีมือซึ่งมองอยู่จากนอกสนามเต๋าสั่นสะท้าน ตะลึงกับเสียงคำรามนั้น
สีหน้าของทุกผู้แปรเปลี่ยนชั่วขณะ
ในสนามเต๋า สัตว์ร้ายสีดำขนาดเท่าลูกแมวเดินเข้าหาลวี่เมิ่ง
ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นทุกย่างก้าว ขนสีดำของมันเรืองรองด้วยเพลิงทิพย์ดำทมิฬ
ปราณอันดุร้ายน่าสะพรึงกลัวเองก็พุ่งทะยาน
จนเมื่อมันอยู่ห่างจากลวี่เมิ่งเพียงสิบจั้ง สัตว์ร้ายสีดำก็มีขนาดราวขุนเขาย่อม ๆ และปราณบนร่างของมันก็กดให้แดนดินสั่นสะท้าน
“ฉยงฉี!?”
บางผู้อุทาน
เหล่าตัวตนขอบเขตจุติมงคลนอกสนามเต๋าล้วนตะลึงงัน หัวใจสั่นสะท้าน
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานนี้กล่าวได้ว่าดุร้ายเป็นหนึ่งในสนามรบแรกนี้ มันสามารถฉีกกระชากตัวตนในขอบเขตจุติมงคลได้โดยง่าย!
สีหน้าของลวี่เมิ่งพลันแปรเปลี่ยน ดวงตาเบิกกว้าง
เขามิคาดเลยว่าเพียงพริบตา สัตว์ร้ายตัวเท่าลูกแมวจะพลันแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายไร้เทียมทาน!
ลวี่เมิ่งไร้จังหวะให้ครุ่นคิด ปราณอันแผ่จากร่างฉยงฉีร้ายกาจเกินไป กดดันเสียจนหัวใจมิอาจครุ่นคิด ผิวกายตึงเจ็บแปลบไปหมด
แทบจะด้วยสัญชาตญาณ ลวี่เมิ่งใช้กระบี่ศึกโจมตีสุดกำลังทันที
ตู้ม!
ปราณกระบี่หลั่งไหลเยี่ยงสายธาร วูบไหวทะลวงกฎเกณฑ์มหาวิถี
ดวงตาสีครามเยี่ยงประทีปของฉยงฉีปรากฏเค้าความเย้ยเยาะและดูแคลนอย่างลึกล้ำ
มันตบหนึ่งอุ้งเท้าออกไปตรง ๆ
เคร้ง!!
กระบี่กระเด็นออกไป
ร่างของลวี่เมิ่งก็ถูกอุ้งเท้าตบออกไป
อาภรณ์ศึกบนร่างของเขาถูกฉีกออก กระดูกอกยุบเกิดเสียงเปรี๊ยะเป๊าะดังสนั่น โลหิตพรั่งพรูจากจมูกและปาก
เพียงหนึ่งอุ้งเท้าก็เหวี่ยงร่างของลวี่เมิ่ง ยอดฝีมือขั้นปลายขอบเขตจุติมงคลได้!
ภาพอันน่าหวาดหวั่นนั้นทำให้ทุกผู้ตัวสั่นสะท้าน
ลวี่เมิ่งเดือดดาล เขาเผชิญศึกมานับร้อยพัน แม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ไม่เคยพ่าย
เมื่อร่างของเขาตั้งหลักหยัดยืนได้ เขาก็ยกมือใช้หอคอยสีม่วงทองหลังหนึ่ง มันแปรเปลี่ยนขนาดเป็นสูงร้อยจั้ง ก่อนจะฟาดลงมา
แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองเจิดจรัสแยงตาคนทุกผู้
นี่คือสมบัติวิถีระดับสูงสุด ทรงพลังร้ายกาจไร้กังขา
ทว่า เมื่อฉยงฉีกระโจนเข้าหา อุ้งเท้ายักษ์ของมันทะยานขึ้นเยี่ยงขุนเขาทมิฬ ตบหอคอยม่วงทองกระเด็นไปทันใด
แย่แล้ว!!
ลวี่เมิ่งพลันเปลี่ยนสีหน้า ตระหนักแล้วว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาหันหลังเผ่นหนีทันที
ทว่าก็สายไปแล้วก้าวหนึ่ง
เปรี้ยง!
ร่างของฉยงฉีราวเคลื่อนย้ายพริบตา มันใช้เพียงหนึ่งอุ้งเท้ากดร่างลวี่เมิ่งไว้กับพื้น ร่างมโหฬารเยี่ยงขุนเขาเหยียบบนร่างของลวี่เมิ่งตรง ๆ
ชั่วพริบตานั้น ร่างของลวี่เมิ่งแทบถูกบดขยี้ โลหิตสาดกระเซ็นทุกทิศทาง ริมฝีปากกรีดร้องดังสนั่น
คนทุกผู้ตกตะลึง หนังหัวชายิบ
ฉยงฉีตนนี้ร้ายกาจเกินไป มันบดขยี้ร่างลวี่เมิ่งอย่างที่มิอาจขัดขืนตอบโต้! ไร้สิ่งใดให้ลุ้น!
ยามนี้ ฉยงฉีก้มหัวลงมา ดวงตาสีครามมองลวี่เมิ่งผู้ที่มันเหยียบไว้ใต้เท้าด้วยแววตาดุร้ายกระหายเลือด
เมื่อถูกจ้องมองจากสัตว์ร้ายไร้เทียมทานในระยะประชิดเพียงนี้ ลวี่เมิ่งก็หวาดผวาเสียจนร้องลั่น “ข้ายอมแพ้!”
“โฮก!”
ฉยงฉีกู่คำราม หัวของมันฟาดลง
ชั่วขณะนั้น คนทุกผู้ล้วนสะดุ้งตกใจ ภาพสยดสยองยามลวี่เมิ่งถูกกัดกินดูจะปรากฏขึ้นในใจ
“ไม่นะ!”
วิญญาณของลวี่เมิ่งหลุดลอย กรีดร้องลั่น เนื่องด้วยความหวาดผวาถึงขีดสุด ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง ดวงตาเหลือกกลับเสียสติไป
เขาถูกทำให้กลัวจนเป็นลม!
มิได้สังเกตเลยว่าหัวของฉยงฉีหยุดลงครึ่งจั้งก่อนถึงหน้าเขา
ฉยงฉีมองลวี่เมิ่งผู้ตระหนกตกใจด้วยแววตาสีครามอันปรากฏความดูแคลน
ก่อนที่ฉยงฉีจะทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะยกอุ้งเท้าถอยออกไปจากลวี่เมิ่งทันที
และเหล่าผู้มีสายตาเฉียบคมก็เห็นได้ชัดเจน
ทว่าบนพื้นที่ลวี่เมิ่งทอดกายหมดสติอยู่มีรอยปัสสาวะเพิ่มมา…
กลัวจนฉี่ราด!!
เหล่าผู้ชมเงียบกริบ
คนทุกผู้ล้วนรู้สึกเย็นยะเยือกราวตกสู้ถ้ำน้ำแข็ง ตะลึงงันโดยสมบูรณ์
สัตว์ร้ายฉยงฉีตัวใหญ่เยี่ยงขุนเขาย่อม ๆ ผู้อาบเพลิงศักดิ์สิทธิ์อยู่บนสนามเต๋าเองก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทุกผู้เช่นกัน
ในขณะที่ฉยงฉีนั้นชำเลืองตามองซูอี้ซึ่งยืนเงียบ ๆ อยู่ไกล ๆ อย่างหวาด ๆ
มันดูจะกังวลว่าสิ่งที่มันทำจะเป็นเหตุให้มนุษย์ร้ายกาจผู้นั้นมิพอใจ…
………………..