บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1497: ต้นตอแห่งหายนะ
ตอนที่ 1497: ต้นตอแห่งหายนะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตามิได้อยู่ในยอดเขาตงเสวียน
หาไม่ คงได้ยินข่าวนานแล้ว
ซูอี้อนุมานเช่นนั้น
“ใต้เท้าซู ในที่สุดท่านก็มา”
ตัวตนกลุ่มหนึ่งเดินมาหา
ผู้นำคือหลีจง!
จอมปีศาจคว่ำบรรพตผู้ซึ่งรับใช้ม่อชิงโฉว
เบื้องหลังเขามีจอมภูตมู่หลิง มารดาบตระกูลหวงและตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตจุติมงคลตามมา พวกเขาล้วนแต่เป็นสหายของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา
ซูอี้ยังเคยดื่มกับพวกเขาในวัดสรรพสุญตาที่เขาจันทร์กระจ่างมาก่อน
“ก่อนหน้านี้ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้เก็บตัวฝึกฝนอยู่ เป็นจอมภูตมู่หลิงที่บอกข้าว่าท่านมาแล้ว”
หลีจงคำนับด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเปี่ยมปรีดา
จอมภูตมู่หลิงและพรรคพวกล้วนก้าวเข้ามาคำนับตาม ๆ กัน
เทียบกับกาลก่อน การวางตัวของผู้เฒ่าเหล่านี้ต่อซูอี้ได้แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
เห็นได้จากคำเรียก
ในอดีต พวกเขาล้วนเรียกซูอี้เป็นสหายเต๋า
ทว่ายามนี้ มันแปรเปลี่ยนไปเป็น ‘ใต้เท้าซู’!
ซูอี้พยักหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปหาที่คุยกันเถอะ”
“ใต้เท้าซู เชิญ”
หลีจงเดินนำทาง และคนทุกผู้ก็มายังวิหารแห่งหนึ่ง ณ ไหล่เขาซึ่งเป็นที่พำนักของหลีจง
คนทุกผู้ล้วนนั่งลง ซูอี้ถามถึงที่อยู่ของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาทันที
จอมภูตมู่หลิงกล่าวอธิบาย “ใต้เท้าซูพลาดเรื่องบางอย่าง เมื่อสิบวันก่อน พวกเขาออกจากแดนแรกเยือนสู่ ‘แดนหวงห้ามวารีทมิฬ’ ด้วยกันเพื่อค้นหา ‘แก่นจิตจุติสรวง’ แล้วขอรับ”
แดนหวงห้ามวารีทมิฬคือเขตอันตรายอันเลื่องชื่อในสนามรบแรก
ทว่าก็มีโอกาสมากมายอยู่ในแดนหวงห้ามวารีทมิฬเช่นกัน
หนึ่งในนั้นคือ ‘แก่นจิตจุติสรวง’!
มันเป็นสมบัติอันประหลาด ก่อเกิดขึ้นในชีพจนลึกลงใต้พิภพ มีสรรพคุณเหลือเชื่อสำหรับฝึกฝนสำหรับตัวตนขอบเขตจุติมงคล
กล่าวกันว่าการหลอมรวมแก่นจิตจุติสรวงจะสามารถพัฒนาโอกาสสำเร็จยามบรรลุเซียนได้มหาศาล!
และสมบัติอันหาได้เพียงในสนามรบแรกนี้ก็คือสมบัติอันล้ำค่าสูงสุดในสายตาตัวตนขอบเขตจุติมงคลทั้งหลาย!
ซูอี้เองก็เคยได้ยินถึง ‘แก่นจิตจุติสรวง’ มาบ้างเช่นกัน
สมบัติเช่นนี้เทียบได้กับที่มาแห่งจิตทารกในสนามรบที่สาม และหยกลี้ลับมหาวิถีกับศิลาเบญจขันธ์ในสนามรบที่สอง
ต่อมา คนทุกผู้กินดื่มฉลองกันอย่างชื่นมื่น
และซูอี้ก็ได้เรียนรู้สถานการณ์ในสนามรบแรกมากมาย
ไม่นานนัก ประเด็นสนทนาก็มาถึงเหล่าผู้นำสามจักรดาราอื่น ๆ
“ต้องบอกว่าในหมู่สามผู้นำ อวี่เฉินจากจักรดาราเป่ยเยวียนลึกลับเก็บตัวเงียบที่สุด ไม่มีผู้ใดเห็นเขาลงมือมาก่อนเลย”
หลีจงรำพึง “แต่แค่ความแข็งแกร่งของศิษย์น้องหญิงของเขาเวินซิวจู่ก็ไร้เทียมทานในขอบเขตเดียวกันแล้ว ร้ายกาจน่ากลัวยิ่งนัก นางชนะในการประลองบนสนามเต๋ามาสามสิบเก้ารอบติดต่อกัน มิเคยปราชัยมาก่อน”
“และเวินซิวจู่ผู้นั้นก็กล่าวว่าความแข็งแกร่งของนางต้อยต่ำ มิอาจเทียบกับศิษย์พี่อวี่เฉินของนางได้เลย!”
ทุกผู้พยักหน้าด้วยสีหน้าแสนซับซ้อน
แม้พวกเขาจะเป็นคู่แข่งกับจักรดาราเป่ยเยวียน พวกเขายังต้องยอมรับว่าอวี่เฉินผู้นั้นเป็นตัวตนร้ายกาจที่ทำให้ผู้คนหน้าถอดสี
จอมภูตมู่หลิงพลันกล่าวขึ้น “ฉินซู่ซินจากจักรดาราซีหานก็มิได้ด้อยไปกว่ากัน สตรีผู้นี้ปกครองเด็ดขาด ไร้ผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง ล้ำเลิศเทียบสวรรค์ ถูกถือเป็นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งจักรดาราซีหานในขอบเขตจุติสรวง”
“ไม่นานนี้ ฉินซู่ซินเดินทางไปยัง ‘มหาบรรพตอัสนีพร่าง’ และกล่าวกันว่ามี ‘จิตมารปฐมสวรรค์’ เป็นร้อยที่ตายตกด้วยมือนางลำพัง!”
จิตมารปฐมสวรรค์นั้นมิใช่ทั้งคนและผี เกิดจากปราณปฐมสวรรค์อันโสมม มีความแข็งแกร่งเพียงพอเป็นภัยถึงชีวิตต่อตัวตนในขอบเขตจุติมงคล! ทว่าฉินซู่ซินลำพังกลับเข้าไปเข่นฆ่าจิตมารปฐมสวรรค์มากมายในมหาบรรพตอัสนีพร่างได้ ทันทีที่ข่าวนี่ถูกแพร่ ทุกฝ่ายล้วนเซ็งแซ่ฮือฮา
“เริ่นฉางชิงจากจักรดาราหนานหั่ว…”
เมื่อเห็นว่ายังมีผู้พูดต่อเกี่ยวกับผู้นำทั้งหลายที่ว่านี้ หลีจงก็กล่าวขัด “อย่าพูดถึงคนอื่นอีกเลย มาดื่มกันเถอะ”
เขายกจอกฉลองด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริง หลีจงสังเกตเห็นว่าซูอี้หาสนใจประเด็นนี้สักนิดไม่ เขาจึงตระหนักทันทีว่าการพูดเรื่องนี้มิเหมาะสมและเปลี่ยนประเด็น
ไม่นานนัก ทุกผู้เองก็ล้วนตระหนัก
ถูกต้อง ในสายตาพวกเขา เหล่าผู้นำจักรดาราต่าง ๆ เป็นตัวตนอันเลิศล้ำเหลือเชื่อ
ทว่าในสายตาซูอี้ เกรงว่าคงมิเข้าตาเลยสักนิด!
ต่อมา เมื่อผู้คนพูดถึงสถานที่บังเกิดวาสนาต่าง ๆ ทั่วสนามรบแรก ซูอี้พลันเผยความสนใจ
ยามนี้ สิ่งที่ทำให้ซูอี้จนปัญญาที่สุดคือทรัพยากรฝึกฝนในวิถีจุติสรวงนั้นมิอาจสนองความต้องการฝึกตนของเขาได้เลย
และทรัพยากรวิถีเซียนก็แสนหายากในแดนมนุษย์ พบได้แต่มิอาจเสาะหา
โชคดีที่ในเขตแดนสมรภูมินี้มีสมบัติบางอย่างอันมิอาจหาพบในโลกภายนอกอยู่
เช่นที่มาแห่งจิตทารก หยกลี้ลับมหาวิถี และศิลาเบญจขันธ์
และยามนี้ ซูอี้กำลังหมายตา ‘แก่นจิตจุติสรวง’ อยู่!
“โชคร้ายที่มีกฎผูกมัดในสนามรบแรก หาไม่ หากฆ่าศัตรูให้ราบก็คงกวาดแก่นจิตจุติสรวงมาได้มากมาย”
ซูอี้รำพึงในใจอย่างเสียดายเล็กน้อย
อาชาไร้หญ้ายามวิกาลย่อมไม่อ้วน
แทนที่จะทุ่มเทสืบเสาะหาโอกาส การฆ่าศัตรูชิงสมบัตินั้นง่ายดายและรวดเร็วกว่าโดยไร้ข้อกังขา
แม้ตัวซูอี้เองจะมิถือตัวตามกฎ
แต่เมื่อกฎนี้ให้ผลดีต่อยอดฝีมือทุกฝ่าย เขาจะทำลายมันเสียเองก็ไม่ดี
“ต่อจากนี้ก็ใช้เวลาไปเขตหวงห้ามอันตรายซึ่งมีแก่นจิตจุติสรวงเหล่านั้นกระจายอยู่ รวบรวมมาให้ได้มากที่สุด จะได้มิต้องกังวลเกี่ยวกับการฝึกฝนภายหน้า”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขามีทรัพยากรฝึกฝนน้อยนักจะสนองความต้องการฝึกตนของเขาได้
อย่างมากก็อยู่ได้อีกราวหนึ่งเดือน
ท้ายที่สุดแล้ว รากฐานของเขาเองที่ไพศาลเกินไป มันเป็นประหนึ่งหุบเหวอันไร้ก้นบึ้ง
และเมื่อการฝึกฝนของเขาพัฒนา ทรัพยากรฝึกฝนที่ต้องการก็ยิ่งเข้มงวดมากเงื่อนไข
“ใต้เท้าซู ท่านสยบฉยงฉีตนนี้เป็นข้ารับใช้หรือ?”
ทันใดนั้น หลีจงก็กล่าวถาม
เขาสังเกตแล้วว่าฉยงฉีนั้นขดตัวแทบเท้าซูอี้เยี่ยงลูกแมวมาตลอด
“มันยังมิควรค่า”
ซูอี้ส่ายหน้า
ฉยงฉี “…”
มันก้มหัวต่ำ หัวใจอับเฉา รู้สึกว่าเกียรติของมันถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ปรานี
แต่มันหากล้าประท้วงใด ๆ ไม่
“เมื่อเขตแดนสนามรบจบลง หากพวกเจ้าคนใดกลับสู่จักรดาราตงเสวียน ช่วยข้าพามันกับเจ้าสัตว์ขนเรียบนี่กลับไปด้วยที”
ซูอี้กล่าว เพียงพลิกฝ่ามือ ร่างของวิหคผีปีกโลหิตก็ปรากฏขึ้น
สัตว์ร้ายไร้เทียมทานตัวนี้ก็กำลังสั่นเทิ้ม ดวงตาเปี่ยมความหวาดกลัว แสนอ่อนแอน่าสงสาร
“สองตัวนี้น่าจะพอพิทักษ์ประตูวัดสรรพสุญตาได้”
ซูอี้กล่าว
ทุกผู้ล้วนตะลึง
ปรากฏว่าซูอี้ปราบสัตว์ร้ายไร้เทียมทานทั้งสองเพื่อพิทักษ์หน้าประตูวัดสรรพสุญตา…
ซูอี้กล่าวเสริม “แน่นอน ในช่วงกาลต่อจากนี้ หากข้าพบสัตว์ร้ายอันทรงพลังกว่านี้ ข้าจะมิปล่อยมันไป”
คนทุกผู้มองหน้ากัน
ในสนามรบแรก สัตว์ร้ายไร้เทียมทานเหล่านั้นเรียกได้ว่าเป็นนักล่าสูงสุด เพียงพอให้ตัวตนใด ๆ ในขอบเขตจุติมงคลเผ่นป่าราบ
ทว่าเห็นได้ชัดว่าในสายตาซูอี้ สัตว์ร้ายไร้เทียมทานเหล่านี้ล้วนไร้ค่า…
‘กาลต่อจากนี้ สัตว์ร้ายไร้เทียมทานเหล่านั้นควรภาวนาว่าอย่ามาเผชิญหน้าใต้เท้าซู หาไม่พวกมันซวยแน่!’
คนทุกผู้ลอบคิดในใจ
หลังงานเลี้ยงจบลง ซูอี้ก็พำนัก ณ ยอดเขาตงเสวียนภายใต้การติดตามของคนทุกผู้
มันเป็นราชวังที่อยู่ริมผา จากหน้าต่างจะสามารถมองเห็นสนามเต๋าแรกเยือนได้จากไกล ๆ
ราชวังนี้เดิมที ตัวตนสูงสุดผู้หนึ่งจากจักรดาราตงเสวียนครอบครองอยู่
ทว่าเมื่อซูอี้มาเยือน คนผู้นี้ก็ยินดียกให้ และกระทั่งทำความสะอาดราชวังนี้ให้ซูอี้เป็นการพิเศษ
ซูอี้รับมันมาอย่างสุขุม หาเกี่ยงเว้นไม่
เพื่อแสดงความขอบคุณ ซูอี้จึงเป็นฝ่ายถามนามของอีกฝ่าย
นี่ทำให้ผู้ฝึกตนนาม ‘ฟ่านซู่อิ๋ว’ สุดแสนปรีดา ตระหนักแล้วว่านี่เทียบได้กับการสร้างสัมพันธไมตรีกับซูอี้!
สำหรับเขา การใช้ที่พำนักแปรเปลี่ยนเป็นวาสนานี้ช่างคุ้มค่า!
จากนี้ไป ซูอี้ก็พำนักบนยอดเขาตงเสวียน เก็บตัวฝึกฝน
กาลเวลาเร่งผ่านไป
แม้การมาของซูอี้จะดึงความสนใจจากฝ่ายต่าง ๆ มากมาย แต่เมื่อกาลผ่าน ทุกสิ่งก็คืนสู่สามัญ
สนามเต๋ายังคงครึกครื้นมาก มีการดวลจัดขึ้นสารพัดครั้งทุกวันไป
คนส่วนใหญ่ในการดวลล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากฝ่ายอื่น
ยอดฝีมือฝั่งจักรดาราตงเสวียนนั้นมิโง่พอจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน รู้แก่ใจว่าตนสู้ไม่ได้ จึงย่อมมีน้อยคนยินดีเข้าร่วมการดวลเช่นนี้
คนจากฝ่ายต่าง ๆ ออกกระจายค้นหาโอกาสและสมบัติตามพื้นที่ทั่วสนามรบแรกเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเองมากกว่า
เพื่อต่อสู้แย่งชิงโอกาสจุติสรวงสู่โลกเซียนยามวิถีแรกเยือนปรากฏ!
วันนี้
ขณะที่ซูอี้กำลังพิจารณาว่าจะออกไปรวบรวมแก่นจิตจุติสรวงในโลกภายนอกหรือไม่อยู่นั้นเอง หลีจงก็รีบร้อนมาหา
“ใต้เท้าซู สหายเต๋าชิงซื่อและสหายเต๋าสรรพสุญตากลับมาแล้วขอรับ แต่ว่า…”
หลีจงขมวดคิ้ว กล่าวด้วยเสียงต่ำ “พวกเขาล้วนบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะสหายเต๋าสรรพสุญตา ร่างวิถีของเขาถูกทำลาย เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณหลงเหลือ สถานการณ์ย่ำแย่มิสู้ดีขอรับ…”
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบ มีเพียงส่วนลึกในดวงตาที่เผยประกายเย็นเยียบ
เขายืนขึ้นกล่าว “พาข้าไปหาพวกเขา”
หลีจงรีบร้อนนำทาง
ไม่นานนัก ทั้งสองก็มายังไหล่เขา
ที่พำนักของเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตาคือวิหารหลังหนึ่งที่นี่
ยามนี้ จอมภูตมู่หลิง มารดาบตระกูลหวง และพรรคพวกต่างได้ข่าว พากันมารวมตัวรอบกายเซียนดาบชิงซื่อด้วยสีหน้าเปี่ยมกังวล
“ขอทางหน่อย ใต้เท้าซูมาแล้ว!”
หลีจงกล่าว
ทันใดนั้น ทุกผู้ก็ผละเปิดทางเยี่ยงธาราแหวก สร้างหนึ่งทางเดินขึ้น
และซูอี้ก็ได้พบเซียนดาบชิงซื่อ
เซียนดาบชิงซื่อกำลังนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ
เขาโชกเลือดทั้งตัว ใบหน้าซีดขาว จิตวิญญาณหม่นหมอง ปราณแปรปรวนทั่วกาย บาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเขาพบซูอี้ ใบหน้าของเขาก็เผยความปรีดา ก่อนจะกระอักหลั่งโลหิตออกจากปากในทันใด
เขายิ้มเจื่อนๆ ขณะปาดเลือดออกจากปาก ก่อนจะกล่าวเสียงแหบ “สหายเต๋าซู อภัยให้ข้าด้วยที่มิอาจลุกขึ้นคารวะได้”
ซูอี้ก้าวเข้าไป มองพินิจเซียนดาบชิงซื่อหัวจรดเท้า ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าว “ไฉนจึงบาดเจ็บร้ายแรงเพียงนี้?”
เซียนดาบชิงซื่อส่ายหน้ากล่าว “อาการบาดเจ็บของข้า เทียบกับดาบพุทธะสรรพสุญตาแล้วช่างเล็กจ้อย”
ซูอี้ถาม “เขาล่ะ?”
เซียนดาบชิงซื่อกวาดตามองคนทุกผู้ และกล่าวว่า “โปรดออกไปเถิด”
ทุกผู้พากันถอยออกไปพร้อมเพรียง
เหลือเพียงซูอี้และเซียนดาบชิงซื่อในโถงแห่งนั้น
………………..