บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1498: ขานชื่อให้มาหา
………………..
ตอนที่ 1498: ขานชื่อให้มาหา
ดาบพุทธะสรรพสุญตานำประทีปทองแดงดวงหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “สหายเต๋าซู เสี้ยววิญญาณของสรรพสุญตาอยู่ในนี้”
ซูอี้รับประทีปทองแดงไป
ประทีปทองแดงดวงนี้มีรอยร้าว ปรากฏพุทธรัศมีวูบไหวที่ไส้ตะเคียง
และเสี้ยววิญญาณของดาบพุทธะสรรพสุญตาก็อาบอยู่ในพุทธรัศมีนี้
เขาดูจะกำลังหลับลึก นั่งคุกเข่านิ่งมิไหวติง
ซูอี้จ้องอยู่สักพัก คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าร่างของดาบพุทธะสรรพสุญตาถูกทำลาย ส่วนวิญญาณก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน
ซึ่งหมายความว่าหากดาบพุทธะสรรพสุญตาคิดฟื้นตัวในชั่วกาลสั้น ๆ …ก็ช่างยากเย็นมิต่างกับการยกนภา!
นี่โหดร้ายเกินไปสำหรับดาบพุทธะสรรพสุญตา
เมื่อหันมองเซียนดาบชิงซื่ออีกหน อาการบาดเจ็บของเขาก็หนักหนายิ่ง พลังปราณทั่วกายรวนเร เผยให้เห็นว่ารากฐานของเขาเสียหายหนัก
เมื่อรากฐานแห่งมหาวิถีไม่อาจซ่อมแซมได้ ผลกระทบก็จะเกิดแก่วิถีเต๋าอย่างร้ายแรง!
ยามนี้ หัวใจของซูอี้พลุ่งพล่านไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
หลังกลับสู่จักรวาลพร่างดาว เขาก็ตั้งรกรากในวัดสรรพสุญตา ผูกมิตรกับเซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา สนทนากินดื่มด้วยกันบ่อยครั้งจนเป็นสหายสนิทกันไปแล้ว
ทว่ายามนี้ พวกเขาทั้งสองคนกลับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ มีหรือชายหนุ่มจะระงับโทสะได้?
เขาอาจเมินเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งมวลในโลกหล้าได้ แต่ชายหนุ่มใส่ใจบุคคลรอบข้างเสมอ!
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ซูอี้ถามขึ้นเบา ๆ
“ขณะกำลังค้นหาแก่นจิตจุติสรวงในแดนหวงห้ามวารีทมิฬอยู่นั้น เราก็ถูกลอบโจมตี”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง สีหน้าปรากฏความแค้นเคืองเกินซุกซ่อน ร่างของเขาสั่นสะท้านด้วยโทสะ
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เข้าใจเรื่องทุกอย่างอย่างกระจ่างแจ้ง
ไม่กี่วันก่อน เซียนดาบชิงซื่อกับดาบพุทธะสรรพสุญตาค้นพบชีพจรสายแร่ซึ่งฝังอยู่ใต้พิภพในแดนหวงห้ามวารีทมิฬ สายแร่นี้มีแก่นจิตจุติสรวงขนาดมหึมาชิ้นหนึ่งอยู่
ทั้งสองแสนปรีดา แต่ขณะกำลังขุดแก่นจิตจุติสรวงชิ้นนี้อยู่นั้นเอง อุบัติเหตุพลันบังเกิด
กลุ่มยอดฝีมือจากจักรดาราเป่ยเยวียนโจมตีเข้ามา ข่มขู่จะชิงโอกาสนี้ และความขัดแย้งก็เกิดขึ้น
“อีกฝ่ายมียอดฝีมือที่ทรงอำนาจอยู่มากมาย เดิมข้าและสรรพสุญตาตกลงว่าจะมอบแก่นจิตจุติสรวงให้อีกฝ่ายครึ่งหนึ่ง”
ใบหน้าของเซียนดาบสรรพสุญตาแสนเคืองแค้น กัดฟันกล่าวว่า “แต่อีกฝ่ายต้องการครอบครองมันเพียงผู้เดียวและยังคงได้คืบเอาศอก อยากให้ข้าและสรรพสุญตาส่งสมบัติทั้งหมดที่มีให้ด้วย!”
“พวกเราย่อมไม่ยอมอยู่แล้ว!”
“ตามกฎของสนามรบแรกแล้ว หากเกิดข้อพิพาทยามชิงสมบัติ เราไม่อาจฆ่ากันได้ แต่ใครเล่าจะคิดว่าเราทั้งสองจะคิดผิด มิคาดเลยว่าอีกฝ่ายจะต่ำตมไร้ยางอายเช่นนั้น!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เซียนดาบชิงซื่อก็ขบเขี้ยวฟันด้วยความแค้นสุมอก “จริงอยู่ที่พวกเขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่พวกนั้นทำลายร่างวิถีของสรรพสุญตาและสลายจิตวิญญาณของเขา”
“พวกนั้นกระทั่งอยากทำลายวิถีเต๋าของข้าให้สิ้น!”
เสียงนั้นดังกึกก้องทั่วทั้งโถง มันเปี่ยมไปด้วยความแค้นอันมิอาจสะสาง
“ข้าจึงใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม และสามารถหนีรอดมาได้”
“ระหว่างทาง ข้ากลัวว่าจะถูกคนเหล่านั้นไล่ล่า”
“โชคดีที่เราหนีกลับมาได้ในที่สุด…”
หน้าอกของเซียนดาบชิงซื่อหอบกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ก่อนที่เขาจะกระอักไออย่างรุนแรงอีกหน โลหิตเปรอะบนอาภรณ์จนกลายเป็นสีแดงฉาน
สีหน้าของซูอี้ยังคงดูไร้อารมณ์ ทว่าแววตาคู่นั้นปรากฏจิตสังหารเดือดพล่านขึ้นจาง ๆ
“ว่าแล้วเชียว ข้ารู้อยู่แล้วว่าหากคิดร้ายกันจริง ๆ กฎที่ว่ามานี้ช่างไร้ค่าสิ้นดี”
เขากระซิบกับตนเอง
ยอดฝีมือจากจักรดาราเป่ยเยวียนเหล่านั้นฆ่าคนหรือ?
ทว่ายามพวกเขาแย่งโอกาส กลับเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณให้ดาบพุทธะสรรพสุญตา!
พวกเขาเกือบทำลายการฝึกฝนของเซียนดาบชิงซื่อด้วยซ้ำ!
วิธีการนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโหดเหี้ยมยิ่งนัก!
เซียนดาบชิงซื่อรำพึงอย่างขมขื่น “อันที่จริง ในสนามรบแรกนี้ ยอดฝีมือส่วนใหญ่จากสามจักรดาราล้วนดูแคลนคนจากจักรดาราตงเสวียนยิ่ง”
“ยามชิงโอกาส ขอเพียงพบยอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียน พวกเขาจะลงมือโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย”
“ตามที่พวกเขาว่า หากมิใช่เพราะกฎเกณฑ์ เราทั้งหลายคงถูกฆ่าเยี่ยงเหยื่อ เป็นเกียรติประวัติให้พวกเขาไปแล้ว”
ซูอี้หยิบขวดโอสถเซียนส่งให้เซียนดาบชิงซื่อขวดหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าวางใจได้เลย เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “เจ้ามิต้องห่วงเรื่องสรรพสุญตา หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ข้าจะช่วยเขาฟื้นร่างวิถี และเยียวยาบาดแผลให้เอง”
เซียนดาบชิงซื่อผงะไป ก่อนจะกล่าวอย่างเป็นกังวล “สหายเต๋าซู หากฆ่าคนเข้า เกรงว่าเจ้าจะถูกมองเป็นศัตรูร่วมได้นะ…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ดูจะตระหนักถึงบางสิ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “นั่นสินะ คิดเสียว่าข้ามิได้พูดอันใดแล้วกัน”
เขาเข้าใจอุปนิสัยของชายหนุ่มดีว่า อีกฝ่ายหากลัวเรื่องเหล่านี้สักนิดไม่!
ความกังวลของเขาเสียเปล่า
ซูอี้ยกไหสุราขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เจ้ายังคงเข้าใจข้าดี วางใจเถิด ความแค้นมีผู้ก่อ หนี้สินมีเจ้านาย ข้าจะมิป่วนไปทั่วหรอก บอกข้ามาก็พอว่าศัตรูเหล่านั้นคือใคร”
เซียนดาบชิงซื่อพยักหน้า แล้วขานนามออกมาทันที “ลี่เซี่ยวหลิน ไอ้แก่จากลัทธิเพลิงเมฆาแห่งจักรดาราเป่ยเยวียน เขาคือผู้นำกลุ่มยอดฝีมือในยามนั้น”
“ได้ ข้าจำไว้แล้ว”
จากนั้นซูอี้ก็เดินออกจากห้องโถงไป
ท้องนภาสว่างไสว เรืองระยับเกินกังขา
ทว่ายามซูอี้ก้าวออกมา ทุกผู้ซึ่งรออยู่นอกโถงต่างหยีตาลงโดยมิรู้ตน หัวใจสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บสุดขั้ว
สีหน้าของชายหนุ่มในยามนี้ปราศจากไร้อารมณ์ใด ทว่าด้วยเหตุผลบางประการ ทุกผู้กลับรู้สึกหดหู่เกินบรรยาย
“ช่วยข้าดูแลสหายเต๋าชิงซื่อหน่อยนะ”
ซูอี้กล่าวกับหลีจง
“ได้!”
หลีจงตอบกลับโดยมิต้องคิด ก่อนจะถามทันทีอย่างลังเล “ใต้เท้าซู ท่านจะไป…”
“ใช่”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาก็กำลังจะก้าวจากไป
ทันใดนั้นเอง จอมภูตมู่หลิงก็กล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ใต้เท้าซู เกิดเรื่องผิดปกติขอรับ ฉินซู่ซิน ผู้นำจักรดาราซีหานเรียกให้ท่านไปหา และยามนี้นางรออยู่นอกสนามเต๋าแรกเยือนแล้วขอรับ”
ทุกผู้ล้วนผงะ
ฉินซู่ซินคิดจะทำอะไร?
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย พอตระหนักแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น จึงอดกล่าวกับตนเองมิได้
“ยุ่งยากจริง ๆ ไม่เป็นไร ข้าจะให้พวกเขาประจักษ์ในวันนี้แหละว่าซูผู้นี้สามารถเพียงไร!”
จิตสังหารภายในใจของเขาทวีความรุนแรงขึ้นสามส่วน
ทุกผู้ล้วนพลันสัมผัสได้ว่าบรรยากาศเยียบเย็นเสียดแทงถึงกระดูก!
……
ณ สนามเต๋าแรกเยือน
ผู้คนคับคั่ง ยอดฝีมือรวมตัว
ยอดฝีมือแทบทั้งหมดจากสามจักรดารา ทั้งเป่ยเยวียน ซีหานและหนานหั่วซึ่งอยู่ในบริเวณสนามเต๋าแรกเยือนล้วนพร้อมพรั่ง
มีเหตุผลเดียวเท่านั้นคือฉินซู่ซิน ผู้นำจักรดาราซีหานปรากฏขึ้นในสนามเต๋าแรกเยือน และขานนามเรียกซูอี้!
สิ่งนี้ทำให้เสียงฮือฮาอย่างใหญ่หลวงในหมู่คน พวกเขาตระหนักได้ว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว!
ฉินซู่ซินยืนอยู่เพียงลำพังอย่างเงียบงัน แต่กลับดูเป็นจุดรวมความสนใจทั้งมวล
ผิวพรรณของนางใสกระจ่างไร้มลทิน ท่าทางไร้เทียมทาน เรือนผมถูกรวบลวก ๆ บรรยากาศรอบกายโดดเด่น
ฉินซู่ซินคือตำนานอันมิอาจกังขาในจักรดาราซีหาน!
นับแต่ยามอยู่ในขอบเขตจิตทารก นางก็ไร้เทียมทานอย่างมาก จนเหล่าผู้เฒ่าทั่วโลกหล้าทำได้เพียงก้มหัวให้
จนเมื่อบรรลุสู่ขอบเขตจุติมงคล ความแข็งแกร่งอันน่าหวาดหวั่นของนางก็ทะยานสูงจนมิอาจคาดเดา
มีกระทั่งข่าวลือว่าอำนาจสั่งสมของฉินซู่ซินในวิถีจุติสรวงนั้นสามารถเผชิญหน้ากับเซียนในขอบเขตจักรวาลได้!
ด้วยเหตุนี้ การที่ผู้นำจะลงมือโดยไม่เป็นที่สนใจจึงเป็นเรื่องยาก
และไม่ห่างจากฉินซู่ซินนัก เนี่ยอวิ๋นเหวิน ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่พร้อมกับยอดฝีมือขอบเขตจุติสรวงจากสำนักเดียวกันกลุ่มหนึ่ง
‘ศิษย์น้องเฉียน วันนี้ผู้ฆ่าเจ้าจะถูกคิดบัญชี หากเจ้ารู้ เจ้าจะมิต้องเสียใจแล้ว!’
เนี่ยอวิ๋นเหวินพึมพำในใจ
เขาและทุกผู้รอบกายล้วนดูคาดหวัง
“ซูอี้จากจักรดาราตงเสวียนมาแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงโพล่งก็ดังขึ้นรอบข้างอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็หันมามองเป็นตาเดียว และพบว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาจากทางยอดเขาตงเสวียน
ผู้นำหน้ามานั้นสวมอาภรณ์สีเขียวเยี่ยงหยก และมีรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งก็คือซูอี้
หนึ่งมือของเขาถือไหสุรา เยื้องย่างทอดน่อง ไร้พลังปราณแผ่ออกมา
ทว่าเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างเป็นเยี่ยงดาราล้อมจันทร์ ทำให้ตัวตนของเขาดูสูงส่งยิ่ง
“คนผู้นั้นคือตำนานที่เจิดจรัสที่สุดในจักรดาราตงเสวียนหรือ?”
หลายคนในหมู่ผู้ชมเพิ่งพบกับซูอี้ครั้งแรก และอดแสดงความอยากรู้อยากเห็นมิได้
“เขานั่นแหละ ไม่กี่วันก่อน เขาใช้สัตว์ร้ายไร้เทียมทานฉยงฉีโจมตีลวี่เมิ่งจนฉี่ราด”
“ฮ่า ๆๆ ลวี่เมิ่งนั่นน่าอายจริง ๆ!”
ผู้คนสนทนาอย่างครื้นเครง
ลวี่เมิ่ง “ไอ้ #¥%!!”
เรื่องที่เกิดเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้เขาเสียหน้า วันนี้เขาจึงไม่กล้าปรากฏตัวเลยสักนิด ทำได้เพียงหลบมองจากบนยอดเขาเป่ยเยวียนที่อยู่ไกล ๆ
ทว่ามิคาดเลยว่าแม้จะซ่อนตัว ก็ยังมีผู้กล่าวถึงเรื่องอันดำมืดของเขาอยู่ดี!
ทว่าตัวเอกในวันนี้หาใช่เขาไม่
เมื่อซูอี้เข้ามาใกล้สนามเต๋า เนี่ยอวิ๋นเหวินจากสำนักเซียนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ตะโกนออกมาทันที
“ซูอี้ เจ้าเพิกเฉยต่อกฎ ฆ่าผู้อาวุโสเฉียนเสวี่ยเฟิงของสำนักข้าที่หนองน้ำอสูรโลหิต ความผิดนี้อภัยมิได้ จงคุกเข่าลงรับโทษโดยดีเสีย!”
เสียงนั้นดังสนั่นเยี่ยงสายฟ้า สะท้อนก้องทั่วทั้งฟ้าดิน
นี่คือการชิงโจมตีก่อน!
รอบข้างบังเกิดเสียงฮือฮา
ยามนั้นเอง ทุกผู้จึงเข้าใจว่าเหตุใดฉินซู่ซินจึงขานนามซูอี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะชายหนุ่มฆ่ายอดฝีมือผู้หนึ่งจากฝ่ายจักรดาราซีหานนั่นเอง!
กระทั่งคนจากฝ่ายจักรดาราตงเสวียนยังอดอ้าปากค้างมิได้ ใต้เท้าซู… ดุดันเพียงนั้นเลยหรือ!?
ซูอี้เมินเสียงตะโกนของเนี่ยอวิ๋นเหวินราวกับหูบอด ก่อนจะกล่าวกับฉินซู่ซินด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อยากช่วยพวกเขาหรือ?”
สีหน้าของฉินซู่ซินเย็นยะเยือกเยี่ยงน้ำแข็ง สบกับสายตาของชายหนุ่มหาหลบเลี่ยงไม่ และกล่าวว่า “เจ้าฆ่าคนหรือไม่?”
“ใช่”
ซูอี้พยักหน้าอย่างสุขุม
คร้านเกินกว่าจะอธิบาย
ทว่าการยอมรับอย่างง่ายดายเช่นนี้ของเขากลับทำให้ทุกผู้อดแสดงสีหน้าตะลึงเกินเชื่อลงมิได้
คนผู้นี้ทรงพลังจนคิดท้าทายกฎของสามผู้นำหรือ!?
เนี่ยอวิ๋นเหวินกล่าวอย่างเดือดดาล “ท่านเซียนซู่ซิน ท่านก็เห็นแล้วว่าคนผู้นี้ยอมรับความผิดเอง!”
อันที่จริง หัวใจของเขาแสนปรีดา เดิมทีเขาครุ่นคิดวางแผนมากมายเพื่อเผยความผิดของซูอี้
แต่ไม่คิดว่าซูอี้จะโง่เสียจนยอมรับออกมาเอง!
ต้องบอกว่าความสุขุมของซูอี้ทำให้ฉินซู่ซินรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นทันที “งั้นข้าก็อยู่เฉยเรื่องนี้มิได้!”
วาจานั้นเย็นชาสนั่นชัด
………………..