บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 15 ไม่ชอบฉวยโอกาส
ตอนที่ 15 ไม่ชอบฉวยโอกาส
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงดังและหนักแน่นของการโขกศีรษะดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในห้องส่วนตัว
ฟู่ซ่านและเนี่ยเป่ยหู่ ผู้ซึ่งเคยผ่านศึกมามากมายและชินชากับการเห็นเลือดหลั่งริน ขณะนี้พวกเขาต่างอดไม่ได้ที่จะกายสั่นสะท้านกับภาพฉากตรงหน้า
สีหน้าของหวงอวิ๋นชงแสดงออกชัดถึงความเจ็บปวด มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่นกระทั่งเล็บจิกลงเนื้อ
ด้วยฐานะบิดา พบเห็นบุตรชายถูกบังคับให้โขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นปกติเขาหรือจะทนรับชมนิ่งเฉยได้?
แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เขาทำได้เพียงอดกลั้น!
สถานการณ์เช่นวันนี้ มันไม่มีทางที่เขาจะโต้แย้งได้เลย ไม่เช่นนั้น ทั้งตัวเขาและตระกูลหวงที่อยู่เบื้องหลัง อาจต้องเผชิญทุกข์ยากจากหายนะที่ไม่อาจคาดเดา!
“เรื่องนี้ ให้จบเพียงเท่านี้” ผ่านไปสักพัก ซูอี้พลันเอ่ยคำขึ้นด้วยสีหน้าราวกับผิดหวัง
ครั้นกลับจากภัตตาคารรวมเซียนเมื่อวานนี้ เขามีสังหรณ์ว่าหวงเฉียนจวินจะต้องล้างแค้นเป็นแน่
เพียงแต่ไม่นึกว่า… สุดท้ายแล้ว ตนเองจะมานั่งที่ตรงนี้ และยังไม่ทันขยับเคลื่อนไหวก็กลับมีคนเข้ามาช่วยคลี่คลายเสียแล้ว
อันที่จริงเรื่องราวที่กลับกลายเป็นเช่นนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกขัดใจเล็กน้อยซะด้วยซ้ำ เพราะในหัวของเขาวางแผนสังหารเอาไว้เรียบร้อย
ทางด้านฟู่ซานถอนหายใจโล่งอก เมื่อครู่เขาร้อนใจแทบตาย เพราะกังวลว่าหวงอวิ๋นชงจะเสียสติจนระเบิดอารมณ์ออกมา และกระทำในสิ่งที่ไม่อาจย้อนกลับ
โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องราวเช่นนั้น
“ขอบคุณ…ขอบคุณคุณชายซูที่เมตตา!” หวงอวิ๋นชงโค้งศีรษะ ปากกล่าวออกด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ข้าขอชี้แจงให้ชัดเจน ข้าไม่ใช่คนชอบฉวยโอกาสจากสถานการณ์ข่มเหงผู้อื่น ดังนั้น… ถือว่าวันนี้พวกเจ้าโชคดี”
ซูอี้สูดลมหายใจเข้าลึก สายตามองหวงอวิ๋นชง จากนั้นลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป
หากวันนี้กลายเป็นตัวเขาที่ลงมือ เช่นนั้นจะต้องมีศีรษะร่วงหล่น!
โชคร้าย หวงอวิ๋นชงและผู้อื่นหาได้ตระหนักรู้ความคิดของซูอี้ หากไม่เช่นนั้นพวกเขาคงได้ปลื้มปีติ ที่พวกตนยังมีลมหายใจอยู่รอดไปอีกวัน
“เฒ่าหวง ข้าแนะนำให้ท่านเก็บความคิดล้างแค้นในภายหน้าของเจ้าเอาไว้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าตัวเจ้าและตระกูลหวงคงสูญสิ้นแน่นอน!”
เมื่อเห็นซูอี้กลับไปแล้ว ฟู่ซานจึงเอ่ยคำเตือนต่อหวงอวิ๋นชงด้วยเสียงเย็นชา ก่อนจะเร่งรีบตามออกไป
“เป็นเจ้ากระทำตนเอง” เนี่ยเป่ยหู่ที่มองรับชมเรื่องสนุกก็หันเดินกลับไปเช่นกัน
ท้ายที่สุดเหลือคนเพียงสามคนในห้องส่วนตัว หวงอวิ๋นชง หวงเฉียนจวิน และหวงหยิน
ร่างของผู้นำตระกูลหวง หวงอวิ๋นชงโอนเอนไปมาราวกับสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ล้มกายนั่งลงไปบนเก้าอี้ ดวงตาหมองหม่น ใบหน้าหมองคล้ำราวกับแก่เฒ่าชราไปอีกเป็นสิบปี
“ท่านพ่อ…” หวงเฉียนจวินร้องเรียก หน้าผากยังคงแตก เลือดไหลอาบท่วมใบหน้าเจือปนคราบน้ำตา สภาพตอนนี้ทั้งชวนเวทนาและชวนสะพรึง
อีกฝั่ง หวงหยินกำลังเกาะกุมข้อมือตนเองที่บาดเจ็บหนักไว้แน่น สีหน้าซีดเผือดเพราะเสียเลือดไปอย่างมาก
“ก้าวผิดเพียงครั้ง กลับกลายเป็นหายนะมหาศาล…”
สักพักหนึ่ง หวงอวิ๋นชงค่อยฟื้นคืนเรี่ยวแรง เอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงแหบแห้ง “ลูกพ่อ จดจำเอาไว้ ภายหน้าหากไม่อาจได้เป็นปรมาจารย์ หรือองค์ชายแล้วล่ะก็ ลูกต้อง…ต้องไม่คิดหาทางล้างแค้น…”
น้ำเสียงช่วงท้าย ราวกล้ำกลืนความขื่นขมอันแรงกล้าเอาไว้
“ท่านผู้นำตระกูล สิ้นสุดแค่นี้เองหรือ?” สายตาของหวงหยินแสดงชัดว่าไม่ยินดี
หวงอวิ๋นชงพลันลุกขึ้นยืนตรง สีหน้าเย็นเยียบชวนสะพรึง กล่าวคำออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากเจ้ากล้าสร้างปัญหา …อย่าได้กล่าวโทษหากข้าสังหารเจ้าและญาติพี่น้องทั้งหมดของเจ้า!”
หวงหยินชะงักค้าง และเงียบเสียงไป
ช่วงเวลานี้ หวงเฉียนจวิน เด็กหนุ่มผู้มักสร้างเรื่อง ในที่สุดค่อยได้ตระหนักถึงความจริงอันโหดร้าย
กระทั่งตระกูลหวงของเขา ครั้งนี้ก็ยังต้องเผชิญช่วงเวลาที่ต้องกล้ำกลืน!
และเรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นเพราะบุตรเขยตระกูลเหวิน…
เพียงนึกคิด ในใจหวงเฉียนจวินมีแต่ความสับสน เหตุใดบุตรเขยที่ทั้งเมืองกว่างหลิงเหยียดหยาม เป็นเพียงเศษเดนที่ไร้ระดับการบ่มเพาะ จึงครอบครองอำนาจชวนสะพรึงเพียงนี้ได้?
ที่ชั้นแรกของภัตตาคารรวมเซียน
ขณะร่างของซูอี้ปรากฏที่ปากทางบันได ชายวัยกลางคนในชุดหรูหราที่รอคอยอยู่ พลันโค้งศีรษะจนถึงเอว พร้อมกล่าวคำอย่างนอบน้อม
“ข้าทราบดีว่าคุณชายซูสามารถรอดพ้นอันตรายวันนี้ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงขอให้ท่านเดินทางกลับโดยปลอดภัย!” อีกฝ่ายคือเยวี่ยเทียนเหอ ซึ่งเป็นเถ้าแก่ภัตตาคารรวมเซียน และถือว่าเป็นผู้มีมือและตาอยู่ทั่วเมืองกว่างหลิงคนหนึ่ง
ครั้งซูอี้มาถึงก่อนหน้านี้ เขาแสดงสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ทว่าครั้งนี้ ใบหน้ากลับเปื้อนยิ้มอันเด่นชัด
“ป้ายชื่อของภัตตาคารรวมเซียนแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ วันนี้มันยังคงไร้ซึ่งความเสียหาย” ซูอี้เอ่ยเสียงเย้ยหยัน
เยวี่ยเทียนเหอเผยความอับอาย ทว่าใบหน้าอีกฝ่ายหนาเตอะและไร้ยางอายมากพอ “คำชมของคุณชายซูทำเยวี่ยผู้นี้รู้สึกละอาย เพื่อแสดงถึงความละอายในใจของเยวี่ยผู้นี้ เมื่อใดคุณชายซูมาเป็นแขก ข้าน้อยยินดีไม่คิดค่าบริการ!”
ทว่าซูอี้เพียงแค่นเสียงตอบรับ ไม่กล่าวตอบคำใด และมุ่งตรงออกจากภัตตาคารรวมเซียนไปทั้งแบบนั้น
เจ้าเมืองฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่ต่างตามติด
“นายท่านฟู่ นายท่านเนี่ย” เยวี่ยเทียนเหอเร่งรีบแสดงความเคารพ
“โชคดีที่ครั้งนี้คุณชายซูไม่เป็นไร หากไม่เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าคงต้องทุบทำลายภัตตาคารรวมเซียนของเจ้าก่อน!” ฟู่ซานแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะกลับไปโดยไม่หันมอง
จนกระทั่งร่างของซูอี้ ฟู่ซาน และเนี่ยเป่ยหู่เลือนหายจากประตูใหญ่ เยวี่ยเทียนเหอค่อยยืนตรง พร้อมปาดเช็ดเหงื่อกาฬบนหน้าผาก
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ใจเขายังคงเต้นรัวเร็วด้วยความหวาดกลัว
“หากทราบว่าซูอี้มีความสามารถสูงส่งเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ตัวเราคงไม่กล้า…” เยวี่ยเทียนเหอทำได้เพียงพึมพำกับตัวเอง
เขายังคงนึกสงสัยอย่างรุนแรง เหตุใดตัวตนไร้ค่าเช่นซูอี้ถึงสามารถเดินทัดเทียมเสมอฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่ได้กัน?
เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ผิดจากที่เขาคาดคิดไว้มาก!
…
ภายนอกภัตตาคารรวมเซียน
“นายท่านฟู่ คุณชายซู หากไม่มีเรื่องราวใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” เนี่ยเป่ยหู่กล่าวคำจริงจัง
ฟู่ซานพยักหน้าตอบรับ “เรื่องวันนี้ต้องไม่แพร่งพรายออกไป”
แต่แล้วชั่วขณะที่เนี่ยเป่ยหู่หันกายกลับไป ซูอี้ค่อยนึกอะไรขึ้นได้ ถ้อยคำพลันเอ่ยขึ้น “ท่านเนี่ย บุตรชายท่านไม่เลวเลย”
เนี่ยเป่ยหู่ชะงักฝีเท้า ไม่หันกลับมา ทว่าก้าวเดินต่อ แต่ที่หว่างคิ้วนั้นปรากฏร่องรอยความยินดี
ในใจของผู้เป็นบิดา การที่บุตรชายอย่างเนี่ยเถิงสามารถแยกแยะเรื่องราวบุญคุณความแค้น และตอบแทนผู้มีบุญคุณได้เช่นนี้นับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ!
‘เมืองกว่างหลิงต่างเข้าใจซูอี้ผิดเพี้ยน ผู้ใดกันจะคาดคิด ว่าเขาจะเป็นถึงสหายของท่านเจ้าแห่งเขตปกครองหลิงเหยา?’
‘โชคดีจริง ๆ ที่เถิงเอ๋อร์ได้รับการชื่นชมจากซูอี้ บางทีภายหน้า พวกเราอาจสานสัมพันธ์กันได้มากกว่านี้…’
เนี่ยเป่ยหู่เริ่มครุ่นคิดอยู่ภายใน
“จริงสิ คุณชายซูได้ตระหนักทราบหรือไม่ว่าเป็นคำสั่งของท่านเจ้าแห่งเขตปกครองหลิงเหยาที่ส่งข้ามาคลี่คลายปัญหานี้?”
ฟู่ซานเผยยิ้มอบอุ่น และเอ่ยคำถามอย่างนอบน้อม
ซูอี้พยักหน้าตอบรับ “ข้าพอจะเดาได้ เพียงแต่ไม่นึกคิดว่านางจะส่งคนติดตามข้าทุกวี่วัน หากไม่แล้วท่านฟู่คงไม่มาถึงภัตตาคารรวมเซียนรวดเร็วเพียงนั้น”
ฟู่ซานเผยยิ้มแข็งค้าง กระทั่งรีบอธิบาย “คุณชายซูอย่าเพิ่งได้เข้าใจผิดไป ท่านเจ้าครองเขตเพียงแค่…”
“ท่านฟู่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย ไม่ว่าด้วยอะไร วันนี้ท่านฟู่ได้ให้ความช่วยเหลือ และข้าย่อมไม่ใช่คนไม่รู้ความ หากภายหน้าท่านฟู่พบเจอเรื่องราวที่ไม่อาจคลี่คลาย เช่นนั้นก็มาพบซูผู้นี้ได้” สิ้นคำ ซูอี้พลันหันกลับไป
หลังจากพูดจบ ซูอี้จึงเดินกลืนหายไปกับฝูงชน ทิ้งไว้เพียงฝุ่น
“น่าหวาดเกรงนัก ซูอี้ผู้นี้จะต้องมีความลับที่ไม่ทราบอีกมากเป็นแน่…” ฟู่ซานรับชมซูอี้หายลับไป ก่อนจะหันสายตากลับ
ในใจเขาบังเกิดข้อสงสัยหลายข้อ กระนั้นก็ทราบว่าเรื่องนี้ไม่อาจผลีผลามสอบถามออกไป
สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้ คือกลับไปให้คำตอบแก่องค์หญิงแห่งเขตปกครองหลิงเหยา
…
จวนเจ้าเมือง ลานสวนเล็ก
ภายใต้ต้นมะเดื่อใบใหญ่ จื่อจิ่นนั่งรับฟังรายงานจากฟู่ซานอย่างเงียบงัน
ขาอันขาวงดงามเพรียวบางและเรียบเนียนของนาง รับกับส่วนสูง เส้นผมสีเขียวเข้มมวยผมไว้ เผยชัดซึ่งใบหน้ารูปไข่อันขาวกระจ่าง คิ้วที่เรียวประหนึ่งใบหลิว ริมฝีปากชมพูอวบอิ่ม พร้อมดวงตาอันสว่างและกระจ่างชัดราววสันตฤดู แม้ว่าสวมใส่เพียงชุดราบเรียบแขนกว้าง แต่ก็ยังถือเป็นเรื่องยากที่จะปิดบังกลิ่นอายอันสูงศักดิ์จากตัวนาง
“กล่าวคือ คุณชายซูไปพบโดยลำพัง ทั้งยังสงบนับตั้งแต่ต้นจนถึงจบเรื่อง?”
หลังรับฟังเรื่องราวจากฟู่ซาน ดวงตาเป็นประกายของจื่อจิ่นพลันเผยแววครุ่นคิด
“เป็นเช่นนั้น กล่าวไปแล้ว ก่อนจะกลับ เขายังกล่าวอะไรแปลก ๆ”
ฟู่ซานนึกสงสัย
“กล่าวให้ข้าฟัง” จื่อจิ่นเผยความสนใจ
ส่วนฟู่ซานเองก็ตอบรับอย่างนอบน้อม ก้มหน้าลงปากกล่าวคำ “เขากล่าวว่าไม่ชื่นชอบการฉกฉวยสถานการณ์ข่มเหงผู้อื่น เรื่องราววันนี้ถือว่าเป็นโชคดีของหวงอวิ๋นชง”
“โชคดี…”
ดวงตาของจื่อจิ่นทอประกาย “เหมือนว่าต่อให้เจ้าไม่ไป คุณชายซูก็มีหนทางรับมือแล้ว ว่าแต่เขาคาดเดาได้ถึงตัวตนของข้าหรือไม่?”
ฟู่ซานพยักหน้ารับ
“แล้วท่าทีของเขา?” จื่อจิ่นเอ่ยถาม
“เรื่องนี้…”
ฟู่ซานลังเลไปครู่ แต่ก็ยังกล่าวคำออก “ท่านเจ้าครองเขต เขาคาดเดาได้ว่าผู้ใต้บัญชาของข้านั้นลอบติดตามรับชมเขาอยู่ตลอดช่วงหลายวัน”
จื่อจิ่นรู้สึกหัวใจบีบรัดในฉับพลัน “คุณชายซูโกรธหรือ?”
ฟู่ซานเร่งรีบส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เช่นนั้น เขาเพียงกล่าวว่าผู้ใต้บัญชาของท่านมีบุญคุณต่อเขา หากภายหน้าพบเจอเรื่องราวใด ข้าสามารถไปขอให้เขาช่วยเหลือได้”
จื่อจิ่นพยักหน้ารับ “ลุงฟู่ ไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับ” ฟู่ซานหันและกลับไป
จื่อจิ่นมุ่งตรงไปยังเรือนที่สวนอีกแห่งหนึ่ง
ภายในเรือน เซียวเทียนเชวี่ยผู้ร่างกายผอมบาง กำลังชงน้ำชา ท่าทีผ่อนคลาย ใบหน้าเผยสีแดงระเรื่อ
เมื่อพบเห็นจื่อจิ่นก้าวเดินเข้ามา เซียวเทียนเชวี่ยจึงเอ่ยคำรับ “ได้ยินบทสนทนาของเจ้าเมื่อครู่แล้ว คงกล่าวได้เพียงว่าฟู่ซานไปภัตตาคารรวมเซียนครั้งนี้เป็นเสมือนการช่วยหวงอวิ๋นชงเสียมากกว่า หากไม่แล้ว ตามคำของคุณชายซู พวกนั้นจะรอดชีวิตหรือไม่ยังเป็นสิ่งยากจะกล่าว”
จื่อจิ่นลังเล
“กล่าวสิ่งที่เจ้าต้องการมาเถอะ ที่นี่หาได้มีผู้อื่นไม่” เซียวเทียนเชวี่ยยิ้มรับก่อนจะส่ายศีรษะ
จื่อจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้อยคำจริงจังเอ่ยออก “ท่านปู่ ข้อมูลทั้งหมดที่พวกเรามีล้วนพิสูจน์ว่า… คุณชายซูนั้นไม่ใช่บุคคลอันเลิศล้ำ รวมทั้งไม่ใช่ตัวตนเทพเซียนอันยากหยั่งถึง แต่เป็นเพียงบุตรเขยแห่งตระกูลเหวิน เหตุใดท่านถึงให้ค่าเขาไว้สูงล้ำเพียงนี้?”
เซียวเทียนเชวี่ยหัวเราะรับราวกับยินดี “เมื่อใดเจ้าอายุเท่าข้า เจ้าจะได้ทราบเองว่าสิ่งที่เรียกว่าตัวตน สถานะ และอำนาจหาได้สำคัญไม่ แต่เป็นเรื่องของจิตใจ สติปัญญา และวิถีทาง!”
“ด้วยวิถีทางและสายตาที่คุณชายซูแสดงให้เห็นวันนี้ หากกล่าวว่าเขาคือเจ้าผู้ครองโลก ข้าก็ไม่คิดประหลาดใจ แต่กระนั้นเขากลับเป็นศิษย์ที่สำนักดาบชิงเหอทอดทิ้ง ตระกูลเหวินก็ไม่เห็นค่าบุตรเขยเช่นเขา มันคือความแปลกอย่างถึงที่สุด!”
ดวงตาเซียวเทียนเชวี่ยลุ่มลึกมากขึ้นพลางกล่าวต่อ “เรื่องนี้แน่ใจได้ว่า คุณชายซูสมควรมีความลับที่พวกเรายังไม่ทราบ และนั่นคือส่วนอันชวนสะพรึงที่สุดของคุณชายซู!”
เซียวเทียนเชวี่ยเงยสายตาขึ้น มองไปยังจื่อจิ่นผู้กำลังตั้งคำถามในใจ เขาอดไม่ได้จนหัวเราะเบา “เด็กน้อย อย่าได้คิดมาก และอย่าได้ลืมเลือน นับตั้งแต่ข้าได้รับตำรับยาจากคุณชายซู อาการบาดเจ็บในร่างกายยามนี้ฟื้นคืนแล้วเจ็ดถึงแปดในสิบ เพียงการฟื้นคืนเช่นนี้ ก็มากพอที่จะยืนยันถึงความน่าทึ่งของคุณชายซูแล้ว!”
จื่อจิ่นพยักหน้ารับอีกครั้ง “เป็นตำรับยาอันน่าทึ่งโดยแท้จริง”
เซียวเทียนเชวี่ยพลันนึกอะไรขึ้นได้ กระทั่งกล่าวบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราจะไปพบคุณชายซู จดจำเอาไว้ว่าอย่าได้กระทำการใดที่เสียมารยาท อย่าได้ประมาทแม้เพียงเล็กน้อย”
จื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวคำ “ท่านปู่ เรื่องนี้ท่านย้ำเตือนข้ามาหลายครั้งหลายวันแล้ว! ท่านคิดว่าข้าเป็นคนไม่รู้ความถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
เซียวเทียนเชวี่ยหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะตอบรับอย่างผ่อนคลาย “อย่าได้กล่าวโทษที่ปู่พูดบ่อย วันนั้นที่นึกว่าเป็นวันตาย หาได้คาดคิดไม่ว่าเรื่องราวจะพลิกผัน คุณชายซูช่วยเหลือชีวิตนี้เอาไว้ ทำให้ข้าได้รับชีวิตใหม่ ปู่น่ะ… นึกยินดีจากใจ!”