บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 150 ฝ่ามือหนึ่ง
วาจาของชิงจินทำให้ซูอี้คิ้วขมวดแน่น คำดังกล่าวหมายความว่าอันใดกัน?
โจวจือหลีสังเกตเห็นบรรยากาศผิดแปลก รีบเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “คุณชายซู ท่านวางแผนจะพาแม่นางฉาจิ่นจากไปด้วยกันหรือ?”
“ถูกต้อง” ซูอี้พยักหน้า
เดิมทีโจวจือหลีแค่ถามออกไปเท่านั้น แต่กลับไม่คิด… ว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนของซูอี้ จนอดไม่ได้ที่จะมึนงง
นี่คือรสชาติของความผิดหวัง?
“ตัดใจไม่ได้หรือไร?” ซูอี้พูดด้วยความสนใจขึ้นมา
โจวจือหลีชะงักงันเล็กน้อย ก่อนฝืนยิ้มแล้วเอ่ยวาจา “หากคุณชายซูชอบก็ดีแล้ว ช่างเป็นความโชคดีอย่างยิ่งสำหรับแม่นางฉาจิ่นที่สามารถปรนนิบัติอยู่ข้างกายคุณชายได้”
สายตาเขามองไปทางฉาจิ่น ราวกับอยากเห็นการต่อต้านและความลังเลเล็กน้อยจากสีหน้านาง แต่ใครจะคาดคิด ใบหน้าของฉาจิ่นกลับเต็มไปด้วยความเคารพและเชื่อฟัง!
ชิงจินกล่าวเสียงเย็นชา “แค่คณิกานางหนึ่ง ถึงอย่างไรก็หนีโชคชะตาที่เป็นได้แค่ของเล่นผู้ชายไม่พ้น”
ฉาจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ชั่วครู่หนึ่งก็เม้มปากยิ้มขึ้นมา “แม่นางชิงจิน เหตุใดข้าถึงได้ยินคำพูดของเจ้ามีกลิ่นอายความฉุนเฉียวอยู่กัน หรือว่าท่านอิจฉา?”
ชิงจินไม่พอใจเล็กน้อย จึงเอ่ยสวนกลับไป “อิจฉา? ข้าจะอิจฉาคณิกาที่ไม่อาจควบคุมโชคชะตาของตัวเองอย่างเจ้าไปทำไม?”
“นางไม่ได้เป็นคณิกา ตามฐานะแล้วก็ไม่แย่ไปกว่าเจ้า”ซูอี้ตอบกลับ
ชิงจินหยุดชะงัก แล้วเอ่ยขึ้นคล้ายไม่อยากเชื่อ “ท่านเปรียบเทียบนางกับข้าหรือ? นี่ออกจะน่าขันเกินไปหน่อย”
ซูอี้เอ่ยกับฉาจิ่น “เช่นนั้น เจ้าก็มาบอกกับพวกเขา”
ฉาจิ่นลังเลเล็กน้อย ชั่วครู่หนึ่งสูดหายใจเข้าลึก พร้อมเอ่ยด้วยแววตาทะนงตัว “ฐานะจริง ๆ ของข้าคือบุตรีของหนึ่งใน ‘จวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่ทั้งแปด’ แห่งแคว้นต้าเว่ย และเป็นศิษย์ของสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งต้าเว่ย แม่นางชิงจิน… ท่านว่าข้ามีคุณสมบัติพอที่จะเทียบกับเจ้าได้หรือไม่?”
เมื่อเอ่ยออกมา ทั้งหมดล้วนเงียบสงบ
“เจ้าคือคนของแคว้นต้าเว่ย?”
โจวจือหลีตกตะลึง คล้ายยากที่จะเชื่อ
แคว้นต้าเว่ยกับแคว้นต้าโจวทำสงครามกันตลอดปี เป็นศัตรูต่อกัน ความสัมพันธ์นั้นแย่ยิ่งนัก
ใครจะคิด ว่าฉาจิ่นจะมาจากแคว้นต้าเว่ย อีกทั้งฐานะยังพิเศษมาก!
“ศิษย์สำนักวงเดือน…”
“เมื่อก่อนที่เจ้าเข้าใกล้ข้า ที่แท้ก็มีแผนอื่น!”
โจวจือหลีสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนหน้าเขายังคิดว่าตัวเองได้รับความชื่นชอบจากฉาจิ่นที่งดงาม
ใครจะคิด ว่าเรื่องจริงจะโหดร้ายเช่นนี้!
“องค์ชายหก เรื่องนี้ท่านควรจะโทษพี่รองของท่าน หากว่าเขาไม่ได้สั่ง ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะอยากข้องแวะกับท่าน?”
ขณะกล่าววาจา แววตาของฉาจิ่นเย็นเฉียบ เช่นเดียวกับใบหน้าของนางที่เชิดทะนงขึ้นเล็กน้อย
โจวจือหลีคล้ายถูกกระแทกอย่างแรง สีหน้าเขาครึ้มลง
“ศิษย์สำนักวงเดือนที่สง่าผ่าเผยอย่างเจ้า กลับถวายชีวิตให้องค์ชายรอง เกรงว่าเจ้าคงมีเจตนาอื่นแฝงอยู่สินะ?” ชิงจินเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
ฉาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด “ถูกต้อง”
ในยามนี้ นางไม่ต้องปลอมตัวและปกปิดสิ่งใด ทั้งยังไม่ต้องแสดงเป็นคณิกาคนหนึ่งให้ลำบาก คำพูดดังกล่าวจึงนับได้ว่าออกจากใจอย่างแท้จริง!
จางตั้วและคนอื่น ๆ ล้วนตื่นตัวขึ้น สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
สำหรับพวกเขาแล้ว ฉาจิ่นที่มาจากแคว้นต้าเว่ย ในเวลานี้คือศัตรูคนหนึ่งที่ทุกคนสามารถฆ่าให้ตายได้!
“คุณชายซู ท่านมอบหญิงนางนี้ให้ข้าจัดการได้หรือไม่?”
นัยน์ตางดงามราวกับคมมีดของชิงจินฉายแสงมันวาวอันหนาวเหน็บออกมา
ซูอี้หัวเราะอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่คิดว่าคำขอของเจ้ามากไปหน่อยหรือ?”
ชิงจินเบิกตากว้าง ขณะเอ่ยขึ้นอย่างสับสน “มากเกินไปหรือ? นางคือสายลับแคว้นต้าเว่ย ที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายองค์ชายรอง ทั้งยังพยายามเข้าใกล้องค์ชายหก แสดงว่าแอบซ่อนเจตนาร้ายไว้เป็นแน่!”
ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของซูอี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่ใช่โอ้อวดว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกหรือไร? แล้วเหตุใดตอนนี้กลับเปลี่ยนความคิดกัน?” สีหน้าของชิงจินนิ่ง พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
ฉาจิ่นเอ่ยเสียงเบาขึ้น “คุณชาย สาเหตุนั้นง่ายมาก สำนักดาบมังกรเร้นแห่งแคว้นต้าโจวเป็นศัตรูกับสำนักวงเดือนของข้ามาโดยตลอด ชิงจินคือผู้สืบทอดของสำนัก จึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ถูกชะตากับข้า”
ชิงจินเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “หุบปาก! เป็นแค่สายลับแท้ ๆ แต่กล้าดีนักที่เอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า?”
พลังที่รวดเร็วดุดัน ผสมผสานกับความคิดที่อยากจะฆ่าทะลักออกมาทั่วร่างของนาง
“พอแล้ว”
แววตาซูอี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ชิงจินพลันเอ่ยสวนกลับด้วยความโมโหโกรธา “ซูอี้ นี่เจ้าอยากจะปกป้องนางหรือ? หรือเจ้าหลงจนไม่รู้ว่าโดนหญิงชั่วคนนี้หลอกลวง!”
เพียะ!
ชายหนุ่มตบใบหน้าที่สวยงามนั้นของนางโดยพลัน ทิ้งไว้เพียงรอยนิ้วสีแดงบนใบหน้างามงด
รับชมสิ่งนี้ รอบกายล้วนเงียบสงบ
แม้แต่ชิงจินก็นิ่งอึ้งไป มองไปทางซูอี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ นางไม่นึกเลยว่า… ซูอี้จะตบนาง!
“จำเอาไว้ให้ดี ตอนนี้นางคือสาวใช้ของข้า ดังนั้นข้าไม่สนว่านางจะมีฐานะอะไร”
สายตาซูอี้เย็นชาขึ้น “เห็นแก่มิตรภาพน้อยนิดของพวกเรา ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาความกับเจ้า แต่หากไม่รู้จักพออีก อย่าโทษว่าข้าซูผู้นี้ไม่ไว้หน้า!”
ร่างบางของชิงจินสั่นเทา ใบหน้านางซีดเซียว ภายในใจทั้งอับอายเคียดแค้นทั้งอึดอัด และมีความรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งที่พูดออกมาไม่ได้
นางไม่คิดเลยว่า เพื่อฉาจิ่นแล้ว ซูอี้จะตบหน้านาง!
รสชาติของชีวิตในครั้งนี้ คือสิ่งที่นางไม่เคยเข้าใจมาก่อนแม้แต่น้อย หัวสมองจึงพลันว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่ง
โจวจือหลีกับจางตั้วและคนอื่น ๆ ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แต่มองดูกันไปมา
เรื่องนี้นับว่าเกินความคาดหมายไปมาก โดยเฉพาะกับเมื่อครู่นี้…
นี่หมายความว่าซูอี้ต้องการปกป้องนางงั้นหรือ?
เขาไม่กลัวล่วงเกินสำนักดาบมังกรเร้น หรือล่วงเกินองค์ชายหกเลยหรือไร?!
หัวใจของฉาจิ่นขณะนี้เต้นระรัวเร็วยากที่จะสงบลงได้ ทันใดนั้นนางก็พบว่า ตนเองรู้สึกดีใจและมีความสุข… ถึงมันจะเป็นเพียงความรู้สึกที่ปรากฏเพียงชั่ววูบเดียวก็ตาม!
ความรู้สึกนี้ทำให้นางมึนงงเล็กน้อย
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?
แต่ซูอี้ไม่ได้คิดมาก ตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ*[1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉาจิ่นที่ยังมีประโยชน์ต่อเขาในตอนนี้ และจะหลีกทางให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน?
แน่นอน สิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจจริง ๆ ก็คือการกระทำของชิงจิน เมื่อครู่ตอนที่พบกันนางก็เย้ยหยันประโยคหนึ่งออกมาทันที ตอนนี้ก็ยังไม่หยุดอีก คิดว่าซูผู้นี้ใจดีมากนักหรือ?
สายตาเขามองไปที่โจวจือหลี “เจ้าล่ะ เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับข้าเพราะฉาจิ่นหรือไม่?”
โจวจือหลีตกใจ พลางไตร่ตรองแล้วกล่าว “คุณชายซูเก็บฉาจิ่นไว้ข้างกาย จะต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ และสำหรับข้า นั่นเท่ากับว่าความยุ่งยากที่อยู่ข้างกายน้อยลงไปหนึ่ง เมื่อเอ่ยขึ้นมา ข้ายังต้องขอบคุณคุณชายถึงจะถูก”
เมื่อเผชิญกับนัยน์ตาเย็นชาของซูอี้ ทำให้องค์ชายหกผู้นี้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
“คำตอบถือว่าไม่เลวเลย” ซูอี้พยักหน้า คร้านที่จะรอต่อไป จึงเดินมุ่งตรงออกไปไกล
ฉาจิ่นรีบตามหลังไปติด ๆ ทันที
“ก็ถูก แม้แต่สำนักวงเดือนของข้าก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเขา แล้วเขาจะสนใจสำนักดาบมังกรเร้นกับองค์ชายหกได้อย่างไรกัน…”
เมื่อมองเงาสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ฉาจิ่นพลันถอนหายใจออกมาชั่วขณะหนึ่ง
ความอัปยศจากการถูกปราบปรามและกดขี่ นางคงจะเกลียดชังซูอี้อย่างมาก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ กลับทำให้ความเกลียดชังภายในใจนางค่อย ๆ หายไป ทั้งยังมีความปลาบปลื้มก่อตัวขึ้นอย่างบางเบา
สิ่งนี้ทำให้นางตกอยู่ในความกลัดกลุ้มไม่น้อย!
รับชมซูอี้กับฉาจิ่นเดินออกไปไกลแล้ว โจวจือหลีก็ถอนหายใจยาวออกมา ทั่วร่างผ่อนคลายลง
เพียงแต่ เมื่อเห็นชิงจินที่ไม่เอ่ยสิ่งใด เขาก็ไม่สบายใจ รีบเอ่ยขึ้น “ท่านอา ท่านไม่เป็นอะไรนะ?”
ชิงจินสายตาเย็นเยือก เอ่ยขึ้นด้วยความสงบนิ่ง “เขาตบข้าฝ่ามือหนึ่ง เจ้าว่าข้าจะเป็นเช่นไร?”
โจวจือหลีเอ่ยขึ้นด้วยความขืนขม “ท่านอา ข้าก็ไม่คิดเลยว่า ซูอี้จะไร้ความรู้สึกเช่นนี้ เพื่อฉาจิ่นผู้นี้ ไม่ลังเลที่จะฉีกหน้าท่านเลยสักนิด”
ชั่วครู่หนึ่ง เขาสูดหายใจเข้าลึก พลางเอ่ยขึ้น “แต่ท่านจงวางใจ รอข้าได้ครองราชบัลลังก์ก่อน จักต้องทวงความยุติธรรมให้กับท่านแน่!”
ชิงจิงยิ้มเย็นขึ้น “ปีนี้เขาเพิ่งจะมีอายุสิบเจ็ดปี และบำเพ็ญถึงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ แต่กลับสามารถฆ่าปรมาจารย์ราวกับฆ่าแม่ไก่เพื่อเอาไข่ หากรอถึงตอนที่เจ้ามีโอกาสครองราชบัลลังก์จริง เกรงว่าเขาคงครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในใต้หล้าไปแล้ว! แล้วเจ้าจะยังทวงความยุติธรรมได้อย่างไร?”
“นี่…”
โจวจือหลีพูดไม่ออก
เมื่อมองท่าทางที่ระมัดระวังนั้นของอีกฝ่าย ชิงจินก็ส่ายหน้า พลางเอ่ยอย่างหมดแรง “ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากอยู่ที่มหานครอวิ๋นเหออีกแล้ว จากนี้ไปก็ยิ่งไม่อยากเจอหน้าซูอี้อีก”
เมื่อพูดจบ นางอดไม่ได้ที่จะแสดงความเคียดแค้นออกมา
“ดี พรุ่งนี้พวกเราออกเดินทางมุ่งหน้าไปมหานครกุ่นโจว!”
โจวจือหลีรีบตบเบา ๆ ที่หน้าอกพร้อมตอบขึ้น
……..
หลังจากเดินออกนอกศาลาคลื่นซัดทราย ฉับพลันนั้นซูอี้ก็นึกขึ้นมาได้… หวงเฉียนจวินยังไม่ออกมาเลย!
“ช่างเถอะ ไม่รอเขาแล้ว บางทีคงกำลังสนุกอยู่ หากเรียกเขามาตอนนี้ คงพาลทำให้หมดสนุกเสียเปล่า ๆ”
ซูอี้เองก็เป็นบุรุษคนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นจึงเข้าใจ ว่าเมื่อการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว ก็ควรปล่อยให้มันเป็นไป ไม่เหมาะที่จะเข้าไปทำลายให้เสียบรรยากาศ
“เจ้าขับรถม้าเป็นหรือไม่?” ซูอี้ถาม
“เอ่อ…” ฉาจิ่นหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนรีบตอบขึ้น “เป็นเจ้าค่ะ”
ซูอี้เดินมุ่งตรงไปที่รถม้า พลางพิงอยู่ ณ ที่นั้นอย่างเกียจคร้าน พร้อมสั่งขึ้น “กลับไปที่ตรอกน้ำเต้า”
ฉาจิ่น “…”
ในเวลาต่อมา นางก็กัดริมฝีปากเบา ๆ รับหน้าที่เป็นสารถีขับรถม้า มือขาวจับเชือกบังเหียนไว้ จากนั้นก็ขับรถม้าออกไป
ระหว่างทาง ไม่รู้ว่ามีสายตาที่ตกตะลึงมองมามากแค่ไหน และยิ่งไม่รู้ว่าน้ำเสียงที่เคลิบเคลิ้มของผู้ชายดังขึ้นถี่เพียงใด
ด้วยพวกเขาไม่เข้าใจ ว่าเรื่องบ้าอันใดกัน เหตุใดจึงใช้ให้ผู้หญิงที่งดงามเช่นนี้ขับรถม้า เห็นทีต้องลงโทษด้วยการฆ่าหั่นศพเท่านั้น!
สำหรับฉาจิ่นแล้ว นี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์สำนักวงเดือน อีกทั้งยังเป็นบุตรีของจวิ๋นอ๋องแห่งแคว้นต้าเว่ย ดังนั้นของอย่างต้นไม้เงินต้นไม้ทอง อาหารเลิศรส อาภรสวยหรู ล้วนเป็นสิ่งที่นางสัมผัสมาตั้งแต่เด็ก …แต่กับการเป็นสารถีขับรถม้า ครานี้คือครั้งแรก!
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของซูอี้ ให้นางขับรถม้าราวกับเป็นเรื่องที่เป็นปกติอยู่แล้ว…
“ดูเหมือนว่า เขาจะให้ข้าเป็นคนรับใช้จริง ๆ…”
ฉาจิ่นถอนหายใจอย่างเงียบงัน ความรู้สึกภายในซับซ้อนยากจะอธิบาย หากท่านพ่อท่านแม่นาง ท่านอาจารย์ สหายสนิท และพวกศิษย์สำนักเดียวกันรู้เข้า พวกเขาจะคิดอย่างไร?
ทว่าอีกด้าน ซูอี้กลับไม่มีการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น กระทั่งมาถึงเรือนเงียบสุขสงบ เขาก็พลันเอนกายนอนบนเก้าอี้หวายที่อยู่ภายในศาลาอย่างเกียจคร้าน
เมื่อไม่มีอื่นใดให้ทำอีก… ในตอนที่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ เขาก็จะขี้เกียจมาก
“เจ้าชงชาตักน้ำ ซักผ้าทำอาหารเป็นหรือไม่?” ซูอี้ถามขึ้น
ฉาจิ่นยิ้มเจื่อนภายในใจ ที่แท้ ในสายตาเขานางมีสถานภาพเป็นคนใช้หญิงแล้ว
เมื่อนึกถึง ฉาจิ่นจึงเอ่ยเสียงเบา “แม้ว่าเมื่อก่อนข้าจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ข้าสามารถเรียนรู้ได้”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเงียบ ๆ ความคิดนี้ควรค่าแก่การชมเชย
เขาจึงสั่งขึ้น “พรุ่งนี้เริ่มได้ เจ้ารับหน้าที่ซักผ้าพับผ้า ชงชาตักน้ำให้กับข้า และในตอนที่ข้าพักผ่อน ก็ทำความสะอาดลานบ้าน ตัดแต่งดอกไม้ใบหญ้า ส่วนเวลาอื่น ๆ เจ้าสามารถทำอันใดก็ได้”
ฉาจิ่นตัวชาไปชั่วขณะหนึ่ง นี่ตั้งใจจะให้นางรับหน้าที่ทำเรื่องจุกจิกทั้งหมดนี้คนเดียวหรือ?
นางถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชาย เหตุใดถึงไม่ซื้อบ่าวรับใช้บ้างเล็กน้อยเจ้าคะ?”
ซูอี้เงยหน้าเหลือบมองนาง พลางเอ่ยขึ้น “รู้สึกไม่เป็นธรรมหรือ?”
ฉาจิ่นรีบส่ายหน้าทันที หากนางรู้สึกไม่เป็นธรรม นางจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร?
[1] ตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ หมายถึงจะทำร้ายหรือกล่าวโทษใคร ต้องดูด้วยว่าคนคนนั้นมีเบื้องหลังหรือไม่