บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1502: อาไฉ่มาเยือน
ตอนที่ 1502: อาไฉ่มาเยือน
เสียงของอวี่เฉินสะท้อนทั่วฟ้าดิน
เดิมที ซูอี้ไม่อยากสนใจ ทว่าเขาก็พลันชะงักเท้าด้วยใจที่สั่นสะท้าน
เขากล่าวโดยไม่ได้หันหลังกลับไปมอง “เจ้าจะออกจากการเก็บตัวยามใด?”
น้ำเสียงราบเรียบของอวี่เฉินดังขึ้นอีกครั้ง “อีกสามเดือน”
“ขอเพียงหยุดดาบข้าได้ ชัยชนะจะเป็นของเจ้า”
ทันทีที่วาจาของซูอี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ชมต่างก็นิ่งตะลึง
การที่ผู้นำเช่นอวี่เฉินเข้าหาเองนั้นนับเป็นเกียรติสูงส่ง เป็นการถูกยอมรับสำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในสนามรบแรก
และต้องทราบว่านับแต่เขตแดนสมรภูมิปรากฏ กระทั่งผู้นำจักรดาราอย่างฉินซู่ซินและเริ่นฉางชิงยังมิเคยถูกอวี่เฉินเข้าหามาก่อน
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับดูไม่ได้ใส่ใจ กระทั่ง… ดูจะยังเคลือบแคลงในความแข็งแกร่งของอวี่เฉิน!
น้ำเสียงของอวี่เฉินดังทั่วฟ้าดิน “หากสหายเต๋าอยากลองทดสอบ ก็ขอให้รอจนกว่าข้าจะออกจากการเก็บตัว”
“ได้สิ”
ซูอี้กล่าวขณะก้าวสู่ยอดเขาตงเสวียนแล้ว
และเสียงของอวี่เฉินเองก็เงียบหายไป
คนทุกผู้ในหมู่ผู้ชมอารมณ์แปรปรวนไปมา
“ครานี้ อวี่เฉินตัดหน้าข้าไปเสียได้”
เริ่นฉางชิงลอบรำพัน
เขานั้นตั้งตาค้นหาคู่ต่อกรผู้เทียบตนได้อยู่
ความแข็งแกร่งที่ซูอี้แสดงก่อนหน้านี้ทำให้เขาตราตรึง จิตต่อสู้เดือดพล่านอยู่ในใจเช่นกัน
เดิมที เขาเองก็คิดหาวันไปท้าประลองกับซูอี้อยู่
แต่ไม่คาดว่าอวี่เฉินจะมาตัดหน้าไปเสียก่อน
“โชคดีที่กว่าอวี่เฉินจะออกจากการเก็บตัวก็ตั้งสามเดือน ก่อนหน้านั้นยังมีโอกาสประชันซูอี้อีกมากมาย”
เริ่นฉางชิงครุ่นคิด
เมื่อคิดเช่นนี้ เริ่นฉางชิงก็หันไปถามฉินซู่ซินกะทันหัน
“สหายเต๋าฉิน ข้าขอถือวิสาสะถาม ไฉนเจ้าจึงยั้งมือยามสหายเต๋าซูเข่นฆ่าผู้คนวันนี้?”
เท่าที่เขารู้ ความแข็งแกร่งของฉินซู่ซินนั้นห่างไกลเกินธรรมดาอย่างที่นางเคยแสดงก่อนหน้านี้!
ฉินซู่ซินกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “รู้ไปแล้วจะทำไม?”
นางหันหลังจากไป
อันที่จริง เริ่นฉางชิงคาดเดาถูกต้อง นางออมมือไว้เสมอ แม้จะเดือดดาลเพราะซูอี้ ทว่าท้ายที่สุดนางก็ยังเลือกยอมทน
เรื่องนี้มีสามเหตุผล
หนึ่งเพราะสถานการณ์วันนี้ นางถูกคนในฝ่ายตัวเองหลอกใช้!
สิ่งนี้ทำให้นางโกรธเอาการ ยามเผชิญหน้าซูอี้ นางจึงออมมือชดใช้โดยรู้ตัว
คนเหล่านั้นซึ่งคิดยืมมือนางฆ่าคนสมควรตาย!
ประการที่สอง นางไม่ต้องการเป็นหนูลองยา!
ไม่ว่าจะเป็นเริ่นฉางชิงหรือเวินซิวจู่ ทั้งสองต่างอยากฉวยโอกาสสถานการณ์วันนี้และใช้นาง ฉินซู่ซินเป็นผู้ทดสอบความแข็งแกร่งของซูอี้
นางมิต้องการให้ฝ่ายอื่นสมปรารถนา
ประการที่สาม ความแข็งแกร่งของซูอี้นั้นร้ายกาจเกินจินตนาการอย่างจริงแท้
บุตรีผู้ภาคภูมิแห่งสวรรค์เยี่ยงเวินซิวจู่นั้นมิควรค่ากระทั่งรับหนึ่งอำนาจหมัดของซูอี้!
นี่ยังทำให้ฉินซู่ซินทุ่มความสนใจยิ่งกว่าหนใด ไม่ยินยอมเป็นปรปักษ์เด็ดขาดกับซูอี้เพราะตัวตนไม่ควรค่าในฝ่ายนางเอง
ไม่คุ้มค่าเลย
ท้ายที่สุด สองฝ่ายก็ไร้ความแค้นต่อกัน ไฉนต้องพาตัวไปตายด้วย?
ดังนั้น ท้ายที่สุดฉินซู่ซินจึงมิได้ต่อสู้สวนกลับ แต่เลือกยอมทน
เริ่นฉางชิงขมวดคิ้ว
เขาสั่งคนรอบกายทันที “ส่งข้อความบอกคนทุกผู้ในจักรดาราหนานหั่วของเราเสีย ว่าจากนี้ไป ผู้ที่กล้าหมายหัวคนจากจักรดาราตงเสวียนและกระทำการน่ารังเกียจจะต้องรับผลกรรมกันเอง!”
……
ยอดเขาเป่ยเยวียน
หน้าบ้านศิลาซึ่งอวี่เฉินพำนักเก็บตัว
“ศิษย์พี่ ข้ามิอาจเข้าใจได้จริง ๆ ว่าก่อนหน้านี้ ไฉนท่านจึงหยุดข้าไม่ให้ลงมือกันเจ้าคะ?”
เวินซิวจู่ยืนตรงหน้าบ้านศิลา กล่าวอย่างไม่พอใจ “ดูสิ หนนี้เลยทำให้คนแซ่ซูนั่นเฉิดฉายเลย”
เสียงราบเรียบของอวี่เฉินดังออกมาจากในบ้านศิลา “เจ้ามิใช่คู่มือต่อกรของหรอก”
เวินซิวจู่กล่าว “อาจจะไม่ก็ได้เจ้าค่ะ ยามข้ามายังเขตแดนสมรภูมิ ข้าใช้เคล็ดวิชาผนึกการฝึกฝนของข้าไว้สามส่วน และนอกจากนั้นยังมีไพ่ตายสามประการด้วย!”
“ท่านยังเคยบอกไว้เมื่อกาลก่อนว่าด้วยความแข็งแกร่งและไพ่ตายของข้า จะสู้กับเซียนในขอบเขตจักรวาลยังทำได้ ไฉนจะรับมือคนแซ่ซูมิได้เจ้าคะ?”
อวี่เฉินเสสรวลกล่าว “ซิวจู่ ข้ารู้ความสามารถทั้งหมดของเจ้า แต่อย่าลืมนะ เจ้ามีไพ่ตาย แล้วสหายเต่าซูผู้นั้นหรือจะไม่มี?”
เวินซิวจู่ขมวดคิ้ว “เช่นนั้น ท่านสรุปได้เช่นไรเจ้าคะ ว่าหากข้าลงมือสุดกำลังจะแพ้แน่?”
ในศึกก่อนหน้านี้ นางถูกหมัดของซูอี้ผลักกระเด็นจริงแท้ แต่นางรู้สึกว่าหากทุ่มสุดกำลังจริง ๆ นางก็อาจสู้ซูอี้ได้
อวี่เฉินว่า “สังหรณ์น่ะ”
“สังหรณ์?”
เวินซิวจู่ตะลึงไป
“หลังข้าออกจากการเก็บตัวมาสู้กับซูอี้ผู้นั้น เจ้าจะได้รู้เอง”
อวี่เฉินว่า “ศิษย์น้องหญิง กาลต่อจากนี้ เจ้าต้องเตือนผู้อื่นมิให้ไปล่วงเกินสหายเต๋าซูผู้นั้นอีกนะ”
หัวใจของเวินซิวจู่ทวีความอึดอัด “ศิษย์พี่ ท่านก็ยอมรับกฎที่เขาตั้งหรือเจ้าคะ?”
“กฎที่เขาตั้งไม่ได้ผิดอันใด มันกระทั่งกล่าวได้ว่าเปิดใจกว้างขวางด้วยซ้ำ ข้าหรือจะไม่เห็นด้วย?”
น้ำเสียงของอวี่เฉินสุขุม “ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าเราไร้ความแค้นต่อเขา อย่างมากก็ทำได้เพียงถือเป็นคู่แข่งในวิถีอันไพศาลเท่านั้น”
เวินซิวจู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป
ภายในบ้านศิลา
โคมไฟเรืองรองเพียงเมล็ดถั่ว แสงสว่างเป็นจุดสลัววูบไหว
นอกจากฟูกก็ไร้สิ่งตกแต่งอื่นใด เรียบง่ายอย่างยิ่ง
อวี่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูก
ร่างของเขาผอมสูง สวมอาภรณ์นักพรตเต๋า ใบหน้าคมคาย สีหน้าแววตาให้ความรู้สึกหนักแน่นดุจเหล็ก
ชั่วขณะนี้ ผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียนถือหยกสีดำชิ้นหนึ่งในมือ กล่าวกับตนในใจ “ซูอี้ผู้นี้… น่ากลัวเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?”
ชิ้นหยกสีดำในมือของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่แสงสีทองจะวูบไหวปรากฏ
จากนั้น เสียงนุ่มรื่นเสียงหนึ่งก็ดังออกมา “ถ้าด้านความแข็งแกร่งอย่างเดียวนั้น ข้ามิอาจหยั่งรู้ หากเจ้าใช้ไพ่ตาย…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เสียงนุ่มนวลนั้นก็เงียบไป
อวี่เฉินดูจะเข้าใจ และกล่าวว่า “เจ้า… ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรของเขาหรือ?”
เสียงนุ่มนวลนั้นตอบ “ไม่ ข้าตายแน่”
อวี่เฉิน “…”
ครานี้เป็นอวี่เฉินเสียเองที่เงียบไป
เนิ่นนานจากนั้น ส่วนลึกในดวงตาก็ปรากฏแสงสว่างวาวโรจน์ขึ้นจาง ๆ ก่อนจะทวีความเจิดจรัสดุดันขึ้นเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุด สีหน้าแววตาก็ปรากฏความดุร้ายน่าสะพรึงกลัว
เขาเก็บชิ้นหยกสีดำไป วาดปลายนิ้วตรงหน้าตนเบา ๆ ราวกับอยากสะบั้นบางสิ่ง
จากนั้นเขาก็ถูปลายนิ้ว กล่าวด้วยใบหน้าซึ่งปรากฏรอยยิ้ม “ชักน่าสนุกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ!”
……
สามวันจากนั้น
ในวิหารแห่งหนึ่ง ณ ยอดเขาตงเสวียน
“เอาล่ะ ในอีกไม่ถึงเดือน สหายเต๋าสรรพสุญตาก็น่าจะฟื้นจิตวิญญาณได้ และถึงยามนั้น เขาก็จะฟื้นร่างวิถีขึ้นมาเอง”
ตรงหน้าเขามีกลุ่มแสงลอยค้าง ดูเหมือนดักแด้
กลุ่มแสงนั้นปกคลุมด้วยลวดลายลับประหลาดผนึกไว้หนาแน่น
มันคือผนึกอันควบแน่นจาก ‘วิชาอัศจรรย์รังสรรค์’ และโอสถทิพย์กลุ่มหนึ่งซึ่งบำรุงจิตวิญญาณซึ่งถูกหล่อหลอมเป็นกลุ่มแสง
ภายในนั้นบรรจุเสี้ยววิญญาณของดาบพุทธะสรรพสุญตาไว้
“ยอดเยี่ยม! หากมิได้สหายเต๋าช่วย เจ้าเฒ่านี่เกรงว่าคงยากจะฟื้นจิตวิญญาณในชั่วกาลอันสั้นเช่นนี้”
เซียนดาบชิงซื่อเผยความปรีดา
ซูอี้ส่งกลุ่มแสงแก่เซียนดาบชิงซื่อ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “จากนี้ ขึ้นกับเจ้าดูแลเขาแล้ว”
เซียนดาบชิงซื่อรีบรับมันไปและตกลงทันที
ซูอี้ลุกขึ้นกล่าว “ข้าตั้งใจจะออกไปยังโลกภายนอกเพื่อรวบรวมแก่นจิตจุติสรวงอยู่”
กล่าวจบ เขาก็เดินออกไปนอกโถงหลัก
ทว่าขณะเดียวกัน มันก็ยังมีคุณประโยชน์ต่อการฝึกฝนของซูอี้อย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบฝึกฝนอันหาได้ยาก
ทว่าก่อนทันได้ลงมือ ก็มีบางผู้มาเยือนเสียก่อน
นางเป็นหญิงสาวในอาภรณ์หลากสี งดงามสดใส ใบหน้าจิ้มลิ้มดุจภาพวาด มีตราลึกลับคล้ายงูกินหางอยู่ที่หว่างคิ้ว
นางคืออาไฉ่!
“สหายเต๋าซู มิได้พบกันนานเลย”
อาไฉ่กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้เองก็กล่าวยิ้ม ๆ “มิได้พบกันนานจริง ๆ ด้วย”
ก่อนหน้านี้ เขาคาดไว้แล้วว่าอาไฉ่คือหนอนไหมเซียนปฐมสวรรค์อันแสนหายากผู้ถือครองอำนาจเซียน
ยามนี้ หลังได้รับสืบทอดประสบการณ์ของชาติที่หกหวังเย่ เขาก็เข้าใจมากขึ้นว่าชีวิตของอาไฉ่พิเศษเหนือชั้นเพียงไร
กล่าวให้กระชับคือ อาไฉ่น่าจะแปรเปลี่ยนตัวตนมาจากจิตวิญญาณปฐมสวรรค์อย่าง ‘หนอนไหมเซียนอมตะ’!
คำร่ำลือเกี่ยวกับ ‘หนอนไหมเซียนอมตะ’ นั้นยังลึกลับเสียยิ่งกว่า
กระทั่งหวังเย่ผู้ยืน ณ จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนยังมิเคยได้พบจิตวิญญาณปฐมสวรรค์เช่นนี้ในธรรมชาติ
ทว่าหวังเย่เคยสัญจรผ่านโลกหล้าในยุคสมัยต่าง ๆ และเคยได้เห็นบันทึกเกี่ยวกับหนอนไหมเซียนอมตะสลักไว้บนแผนที่ศิลาโบราณ ณ ศักราชแห่งมนตราอยู่บ้าง
กล่าวกันว่าหนอนไหมเซียนอมตะนั้นเป็นเช่นบุตรแห่งมิติเวลา ถือเคล็ดพลังเซียนอันสามารถก่อเกิดหลังสิ้นสูญได้!
เหมือนเช่นอมตะไร้วันตาย!
กล่าวคือ ต่อให้หนอนไหมเซียนอมตะจะถูกฆ่า จิตวิญญาณปฐมสวรรค์นี้ก็ยังพลิกผันเป็นตายคืนชีพขึ้นได้
ท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก!
หวังเย่หัวใจสะท้าน อยากค้นหาหนอนไหมเซียนอมตะนี้ ด้วยพยายามให้ได้มาซึ่งอำนาจเซียนของหนอนไหมเซียนอมตะ
โชคร้ายที่หวังเย่มิได้สมหวัง
หลังสนทนาเป็นพิธีเล็กน้อย ซูอี้ก็ได้รู้ว่าอาไฉ่มาถึงสนามรบแรกตั้งแต่เขตแดนสมรภูมิเริ่มเปิดออกแล้ว
“ยามนี้ ข้ามาเพื่อขอให้สหายเต๋าช่วยข้าชิงสมบัติชิ้นนั้น”
หลังเสวนาเป็นพิธี อาไฉ่ก็เผยเจตนา
ซูอี้กล่าวอย่างสนใจ “สมบัติใดหรือ?”
อาไฉ่กะพริบนัยน์ตางามเปี่ยมจิตวิญญาณเยี่ยงผืนน้ำของนางและกล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ “วัตถุศักดิ์สิทธิ์ฮุ่นตุ้นอันก่อเกิดจากที่มาแห่งอัสนีเซียนทลายสุญตา สหายเต๋าจะรู้เองยามได้ประสบ”
“แน่นอน ข้ามิให้สหายเต๋าช่วยข้าเปล่า ๆ หรอก หลังได้สมบัตินี้มา เราจะแบ่งกันคนละครึ่ง”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงตอบตกลง
วันเดียวกันนั้น ซูอี้ก็ลงจากยอดเขาตงเสวียนไปกับอาไฉ่
และวันเดียวกันนั้นเอง สตรีลึกลับถือหอกก็เร่งรุดมายังสนามเต๋าแรกเยือน
“คนแซ่ซูผู้นั้นไปแล้วหรือ?”
ทันทีที่สตรีถือหอกออกปากถามไถ่ นางก็ไปถามหลีจง “ซูอี้ไปหนใด?”
………………..