บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1505: พร้อมปะทุในพริบตา
ตอนที่ 1505: พร้อมปะทุในพริบตา
ณ ตลิ่งข้างธารสายยาวแห่งยุคสมัย
ชายชราในอาภรณ์ผ้าจ้องมองชายชุดม่วงผู้คุกเข่าอยู่บนพื้นในม่านแสงและกล่าวว่า “โลกเซียนมีทวีปตั้งสี่สิบเก้าแห่ง และข้าก็มอบพลังให้เจ้ามาตลอด ทว่ายามนี้เจ้ากลับครอบครองแดนดินเพียงสามทวีปหรือ?”
น้ำเสียงของเขาเจือความไม่พอใจ
ชายวัยกลางคนในชุดม่วงร่างแข็งเกร็ง
นามของเขาคือซุนเซียวเฉิง เป็นเจ้านครเซียนโฉลกเมฆา
ในโลกเซียนทุกวันนี้ เขาเป็นผู้ทรงอำนาจเยี่ยงยักษ์ใหญ่ ทว่ายามนี้เขากลับดูพรั่นพรึงอย่างยิ่ง!
“เรียนท่านเทพ ขุมกำลังสูงสุดในโลกเซียนทุกวันนี้ล้วนมีเทพอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เหมือนเช่นลัทธิไร้มลทินในแคว้นจิน อารามบงกชจากแคว้นเซี่ยง และ ‘ตระกูลทัง’ ซึ่งเป็นตระกูลเซียนในแคว้นฮั่ว…”
ซุนเซียวเฉิงรายงานนามของขุมกำลังใหญ่มากมายในอึดใจเดียว และกล่าวว่า “ขุมกำลังใหญ่ทุกแห่งล้วนมีรากฐานอันมิอาจมองข้ามได้ขอรับ”
โดยมิรีรอให้เขาพูดจบ ชายชราก็กล่าวขัด “พอแล้ว อย่าหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองอีกเลย!”
ซุนเซียวเฉิงคุกเข่าบนพื้น หน้าผากชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ
ชายชราในอาภรณ์ผ้ากล่าวขึ้น “ครานี้ ข้าต้องการให้เจ้าทำบางอย่าง”
“ขอท่านเทพโปรดบัญชา!”
ซุนเซียวเฉิงกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อน
“ตะขอเกี่ยวกรรมของข้าซึ่งอยู่ในเขตแดนสมรภูมิถูกผู้ยังมิได้บรรลุเซียนคนหนึ่งชิงไป หากไม่มีอุบัติเหตุอันใด ไม่นานเขาจะไปยังโลกเซียน สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือจับเขา!”
ชายชรากล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด เจ้าก็ต้องจับเป็นเขาให้จงได้ จำไว้ว่าเรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!”
“รับบัญชาท่านเทพ!”
ซุนเซียวเฉิงรับคำอย่างเคร่งขรึม
ชายชราในอาภรณ์ผ้านำยันต์ลับแผ่นหนึ่งออกมาพันด้วยสายเบ็ด ก่อนจะโยนเข้าสู่ม่านแสงราวกับทอดเบ็ดตกปลา
ยันต์ลับนั้นผ่านเข้าม่านแสงไปปรากฏขึ้นตรงหน้าซุนเซียวเฉิงในโลกเซียน!
“ภายในยันต์ลับนั้นมีเคล็ดวิชาและค่ายกลเทพอยู่”
“ด้วยเคล็ดวิชานั้น เจ้าจะสามารถรับรู้ปราณของตะขอเกี่ยวกรรมได้ และหากใช้ค่ายกลเทพนั้น เจ้าก็จะส่งมันมาให้ข้าได้!”
“หลังจากจับขโมยได้ ก็ให้เจ้าส่งตัวมันผ่านค่ายกลเทพนั้นมาให้ข้า”
ชายชรากล่าวขึ้นอีกครั้ง “อีกอย่างหนึ่ง ยันต์ลับแผ่นนี้บรรจุเจตจำนงของข้าไว้ หากพบวิกฤตอันมิอาจสะสาง ข้าผู้นี้จะช่วยเจ้า!”
“ขอรับ!”
ซุนเซียวเฉิงรับบัญชาอย่างนอบน้อม
“เรื่องนี้เรื่องใหญ่ อย่าหละหลวมเล่า”
แววตาของชายชราในอาภรณ์ผ้าลึกล้ำ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังยิ่ง “หลังจากเรื่องนี้สำเร็จลุล่วง ข้าจะให้สมบัติอันล้ำเลิศแก่เจ้าชิ้นหนึ่ง แต่หากพลาด…”
รังสีเย็นยะเยือกปรากฏจากแววตาคู่นั้น “ข้าจะให้เจ้าประจักษ์เองว่าทัณฑ์สวรรค์เป็นเช่นไร!”
เปรี้ยง!
ม่านแสงสลายไป
ชายชราในอาภรณ์ผ้าถือคันเบ็ดและเงียบวจี
ครู่ต่อมา เขาก็ส่ายหัวและลอบคิดในใจ “ผู้ครองวัฏสงสารคนนั้นดูพิเศษจนผิดปกติ ต้องไม่ฝากความหวังไว้กับข้ารับใช้ต้อยต่ำผู้เดียว”
เมื่อคิดเช่นนี้ ชายชราก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบจี้หยกสีชาดชิ้นหนึ่งขึ้นมา
“เฮยม่อ”
ชายชราในอาภรณ์ผ้ากระซิบ
จี้หยกสีชาดพลันเรืองรองส่องดวงแสง เสียงแหบต่ำเสียงหนึ่งดังออกมา
“อาจารย์อาเทียนเจวี๋ยมีคำสั่งหรือขอรับ?”
“ไปทำบางอย่างที่โลกเซียนให้ข้าที”
……
ณ สนามรบแรก ยอดมหาบรรพตแห่งนั้น
เปรี้ยง!
เตาเสริมสวรรค์คำรามโยกไหวราวคนเมา
เนิ่นนานจากนั้น เตาเสริมสวรรค์จึงค่อย ๆ เงียบลง
หลังจากนั้น อำนาจที่มาแห่งอสนีบาตเซียนทลายสุญตาจึงถูกเตาเสริมสวรรค์ดูดกลืนไปจนหมด
อสนีบาตเซียนทลายสุญตาซึ่งปกคลุมทั่วทั้งภูเขาจึงค่อย ๆ เลือนหาย
“ข้าต้องการเพียงหญ้าเจียรสวรรค์หนึ่งใบ ที่เหลือเป็นของเจ้า”
ซูอี้ว่า “ยามอำนาจที่มาแห่งอสนีบาตเซียนทลายสุญตาถูกหล่อหลอมเสร็จสิ้น ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่งด้วย”
อาไฉ่ตอบรับทันที
อาไฉ่ส่ายหน้ากล่าว “ข้ามาเพื่อสำรวจหาโอกาส เหมือนเช่นที่ข้าบอกก่อนหน้านี้ เขตแดนสมรภูมิแห่งนี้พิเศษมาก ซุกซ่อนสมบัติที่ไม่มีอยู่ในโลกมนุษย์ไว้ หญ้าเจียรสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น”
ซูอี้กล่าวอย่างสนใจ “เจ้ายังรู้เกี่ยวกับสมบัติชิ้นใดอีกหรือ?”
“กำลังหาอยู่น่ะ”
อาไฉ่กล่าวอย่างจนใจ “ข้าถูกหญ้าเจียรสวรรค์ถ่วงเวลาเสียนาน แต่ก็จะค้นหาต่อไป”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น นางก็แย้มยิ้มกล่าวว่า “แน่นอนว่า หากมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ในยามนั้นอีก ข้าก็จะแบ่งมันกับสหายเต๋า”
ซูอี้ผงะไป และขณะที่เขากำลังจะตอบปฏิเสธนั้นเอง อาไฉ่ก็กล่าวขัดขึ้นว่า “จำสิ่งที่ข้าพูดในคราแรกไว้นะ คราหน้าที่เราพบกัน ข้าจะมอบของขวัญที่เจ้าคาดไม่ถึงให้ หญ้าเจียรสวรรค์นี้ไม่นับ ดังนั้นเจ้าอย่ารีบปฏิเสธเลย”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ได้ ข้าจะรอดู”
อันที่จริง เขาอยากได้อำนาจเซียนของอาไฉ่มาก
เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คืออำนาจมหาวิถีที่เพียงพอจะทำให้ผู้ใช้แทบจะเป็นอมตะ ทั้งยังมีประโยชน์เหลือเชื่อ
กระทั่งหวังเย่ก็ยังไม่อาจครอบครองอำนาจนี้ได้ ช่างน่าเสียดาย
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเสวนา เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นจากไกล ๆ
“เจ้าคนแซ่ซู ในที่สุดก็เจอเจ้าแล้ว!”
คำพูดนั้นดังก้องสนั่นทั่วทั้งฟ้าดิน
ซูอี้มองตาม และพบกับร่างอันคุ้นเคย
ร่างอรชรสวมอาภรณ์ผ้าลินิน เรือนผมดำยาวมัดหางม้าด้วยเชือกแดง ใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสำริด เผยเพียงคู่เนตรสีม่วง
นางคือสตรีถือหอกลึกลับ!
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ซูอี้ผงะไป
เขายังจำหนสุดท้ายที่เขาพบกับสตรีถือหอกผู้นี้ในมหาแดนดินได้
สตรีถือหอกในยามนั้นกล่าวว่า เขตแดนสมรภูมิจะปรากฏขึ้นภายในสามปีแน่นอน และนางจะมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง
และยามนี้ นางก็มาแล้ว!
“ประหลาดใจหรือ? ข้าบอกไปแล้วนี่ว่าข้าจะมาล้างแค้นเจ้า!”
สตรีถือหอกยกแขนกอดอกอวบอิ่มของนาง คู่เนตรสีม่วงเผยความเย็นเยียบ
“สหายเต๋าซู นางเป็นศัตรูของเจ้าหรือ?”
อาไฉ่ถามเบา ๆ
ใบหน้างดงามของนางเปี่ยมความเคร่งขรึมราวเห็นได้ว่าสตรีถือหอกผู้นี้เป็นตัวตนผู้รับมือยากยิ่ง
“ข้าบอกไม่ได้หรอก”
ซูอี้ยิ้ม ๆ “ถือว่าเป็นขุนพลพ่ายศึกของข้าแล้วกัน”
“เจ้า…”
ดวงตาของสตรีถือหอกเบิกกว้าง เปี่ยมล้นด้วยจิตสังหาร
ทว่าทันใดนั้น จุดสนใจของนางก็เบนมาที่อาไฉ่ นางตะลึงไปในคราแรก ก่อนจะอุทานขึ้นโดยมิสนใจชายหนุ่ม “หนอนไหมเซียนอมตะ!? โห ไม่คาดเลยว่าในสนามรบแรกแห่งนี้ ข้าจะยังได้พบจิตวิญญาณปฐมสวรรค์อันหาได้ยากยิ่งนี้!”
สตรีถือหอกเสสรวล คู่เนตรของนางเจิดจรัสร้อนเร่า “แม่หนูน้อย เจ้าไปกับข้าเถอะ ภายหน้าข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสอาหารเลิศล้ำ กระทั่ง ‘การแปรผีเสื้อผนึกเทพ’ ยังทำได้ไม่ยากเลย!”
นางประกาศชัดเจนว่าชอบใจอาไฉ่ แล้วเมินซูอี้ไปเสียสนิท
แปรผีเสื้อผนึกเทพ!
ซูอี้ครุ่นคิด ดูเหมือนคำร่ำลือที่ว่ายามหนอนไหมเซียนอมตะเติบโตแล้ว ‘แปรเปลี่ยนเป็นผีเสื้อ’ วิถีจะถูกทลาย ทวยเทพจะถูกผนึกจะเป็นเรื่องจริง!
“ข้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก”
อาไฉ่เม้มริมฝีปากสีชมพูของนาง
“เรื่องนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าเสียหน่อย”
สตรีถือหอกเสสรวลดุจผีบ้ากามจับจ้องหญิงงามอย่างน้ำลายหก
ชายหนุ่มเห็นแล้วถึงกับขมวดคิ้วและตกตะลึง ในภาพจำของเขานั้น สตรีถือหอกผู้นี้ทั้งทรงอำนาจ ลึกลับ สูงส่งห่างเหิน เย็นชาและเย่อหยิ่ง
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “มีข้าอยู่ จะไม่ให้เจ้ากระทำการตามใจหรอก”
สตรีถือหอกเหลือบมองชายหนุ่มอย่างไม่พอใจทันที “ข้ายังมิทันได้คิดบัญชีกับเจ้า แต่กลับพูดออกมาก่อน คิดว่าครานี้ข้ามาเล่นกับเจ้าจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้กล่าวขึ้นพร้อมกับแย้มยิ้มบาง “อย่าห่วงเลย ข้ามิเคยพูดเล่น”
สตรีถือหอกครุ่นคิด “หมายความว่า หากข้าอยากพาแม่หนูน้อยนี่ไป ข้าต้องล้มเจ้าให้ได้ก่อนหรือ?”
“เจ้าจะลองดูก็ได้”
ดวงตาของซูอี้ดูลึกล้ำขึ้นมา
สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ได้ ขอเพียงเจ้าชนะ ข้าจะไม่พาแม่หนูน้อยนั่นไป”
นางกล่าวอย่างขึงขัง ดวงตาสีม่วงพลุ่งพล่านด้วยจิตต่อสู้
“จะว่าไป ยามนี้เจ้าฝึกฝนถึงขอบเขตใดแล้ว?”
สตรีถือหอกพลันพินิจมองซูอี้หัวจรดเท้า และกล่าวว่า “แปลกจัง กระทั่งข้ายังมองขอบเขตการฝึกฝนของเจ้าไม่ออก… เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอันใดอยู่?
“ขอบเขตรวมวิถีขั้นปลาย”
ซูอี้มิได้อธิบาย และเมื่อโคจรการฝึกฝน ปราณสายหนึ่งก็แผ่ออกมาจากร่างเขา
คู่เนตรสีม่วงของสตรีถือหอกวูบไหวด้วยประกายลึกลับ จ้องมองซูอี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เป็นการฝึกฝนขอบเขตรวมวิถีจริง ๆ แต่ปราณการฝึกฝนของเจ้าพิเศษมิเหมือนผู้ใดในขอบเขตรวมวิถีที่ข้าพบพานมาก่อนเลย ประหลาดแท้”
ซูอี้กล่าว “กลัวหรือ?”
“หา!”
สตรีถือหอกแสยะยิ้ม “อย่าห่วงเลย ในเมื่อมันคือการล้างแค้น ข้ามิห่วงจะขยี้เจ้าในขอบเขตเดียวกันหรอก!”
ว่าแล้ว การฝึกฝนขอบเขตจุติมงคลของนางก็แปรเปลี่ยนอย่างไร้เสียง กลายเป็นการฝึกฝนขั้นปลายขอบเขตรวมวิถีโดยพลัน
ภาพการเปลี่ยนขอบเขตอย่างง่ายดายนี้ ทำให้อาไฉ่อดตะลึงในใจ ยามได้พานพบคราแรก นางไม่ทันได้ตระหนักถึงความน่ากลัวของสตรีผู้นี้
และประกายเจิดจรัสก็สาดส่องจากแววตาของซูอี้อย่างเงียบเชียบ!
มันคือจิตต่อสู้ที่ห่างหายไปนาน!
มันคือความกระหายการต่อสู้ซึ่งจะถูกปลุกขึ้นยามเผชิญศัตรูร้ายเท่านั้น!
เมื่อถามตนเองดูก็พบว่านับแต่ฝึกฝนมา ในหมู่ศัตรูขอบเขตเดียวกัน สตรีถือหอกลึกลับผู้นี้คือศัตรูอันร้ายกาจสูงสุดเท่าที่เขาพบพาน
ไร้ผู้ใดเทียบเทียม!
ยามสู้กันในแดนเทวามหาแดนดิน แม้ท้ายที่สุดเขาจะเอาชนะสตรีถือหอกผู้นี้ได้ แต่สภาพของเขาก็สะบักสะบอมและน่าอายยิ่ง
และเมื่อสตรีผู้นี้ประกาศสงครามถึงที่ในยามนี้ มีหรือชายหนุ่มจะปฏิเสธลง เขามีเพียงความประหลาดใจเท่านั้น!
“สหายเต๋าซู… ดูจะตั้งตารอสู้กับสตรีผู้นี้นะ”
อาไฉ่สังเกตเห็นชัดเจนว่าบรรยากาศและแววตาของซูอี้แปรเปลี่ยนไป และอดสงสัยไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูอี้กับสตรีถือหอกผู้นี้เป็นเช่นไร
จะว่าเป็นศัตรูก็ไม่เหมือน
จะบอกว่าเป็นสหายก็ไม่มีทาง
ประหลาดแท้
ขณะนี้ ซูอี้และสตรีถือหอกกำลังเผชิญหน้ากันจากระยะไกล ดวงตาของคนทั้งสองต่างคุโชนด้วยจิตต่อสู้
มหาสงครามพร้อมปะทุในพริบตา!