บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1506: คนตกปลา
ตอนที่ 1506: คนตกปลา
เมฆาสีดำลอยอย่างเงียบเชียบอยู่กลางเวหา ก่อนจะกลายเป็นเส้นด้ายและสลายไป
อากาศเป็นดั่งคลื่นคลั่งกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง
บนพื้นเกิดเสียงปริร้าวดังระรัว ทั้งศิลา พฤกษาต้นหญ้าล้วนสลายเป็นผง กระทั่งผืนปฐพียังแตกเป็นริ้วบาง
จิตฆ่าฟันและปราณอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ไปทั่วโลกหล้า
ชวนหดหู่เสียจนไม่อาจหายใจได้
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา ราวกับไม่รู้ตน “อาไฉ่ เจ้าหลบไปก่อน”
อาไฉ่เม้มปากอันชุ่มชื้นของนางและหนีออกไปไกล
และยามนี้เอง สตรีถือหอกก็รุกโจมตี
นางสาวเท้าตรงไปข้างหน้า แขนขวาแทงออกไปเยี่ยงหอกใหญ่ ใช้ดัชนีทั้งห้าเยี่ยงคมหอกแหวกนภาเสียบลำคอของซูอี้
ไม่ได้หวือหวาหรือน่าตกใจ
ทว่าอำนาจการโจมตีนี้ดูจะสั่นสะท้านทั่วทั้งฟ้าดิน บดขยี้ทศทิศจนแหลกสลาย!
ซูอี้เข้าประชันตรง ๆ หาหลบเลี่ยงไม่
อาภรณ์ของเขาพลิ้วสะบัด ขณะชกออกไปบนอากาศ
ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายมิต่างกัน
ทว่าอำนาจหมัดนี้เป็นเช่นดาบสวรรค์กวาดทั่วทิศ ทะยานตรงห้าวหาญ
ตู้ม!!!
ฟ้าดินสะท้านสั่น
ร่างของซูอี้กับสตรีถือหอกเซถอยจากกัน
จุดที่ทั้งสองปะทะกันแตกร้าวเป็นทางยาว คลื่นอำนาจทะลวงนภาทลายทั่วทั้งแดนดิน
ก่อนที่คนทั้งสองจะทันตั้งหลัก พวกเขาก็โจมตีอีกหนเยี่ยงสายฟ้าแลบ
เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็ประชันกันไปหลายร้อยกระบวนท่า
ทุกการประชันเป็นดั่งสองเทพเทวาเผชิญศึก คว้านนภาขยี้บรรพตธารา เกิดเป็นสงครามปั่นป่วนทั่วฟ้าดิน!
ต่างผู้ต่างสู้กันด้วยมือเปล่า
ดังนั้นศึกนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นการประชันมหาวิถีโดยแท้
ชายหนุ่มใช้วิชาดาบโจมตี ยกมือที่อาบด้วยปราณดาบขึ้น ทุกการโจมตีล้วนบรรจุจิตสังหารร้ายกาจไร้ขอบเขต
และสตรีถือหอกย่อมเป็นเลิศในวิถีหอก การโจมตีของนางกว้างขวางเปิดเผย รวดเร็วทรงพลัง สารพัดเคล็ดวิชาและอำนาจวิเศษของนางหลอมรวมกับวิถีหอก เพียงหนึ่งการโจมตีแบบสุ่มก็สามารถฆ่าคนในขอบเขตจุติมงคลทั่วโลกหล้าได้ง่ายดาย
แต่กลับไร้พิษสงยามเผชิญหน้ากับซูอี้!
และเมื่อเห็นว่าโจมตีไม่ถูกเสียที ดวงตาของสตรีถือหอกก็วาวโรจน์ขึ้น ขณะกระโจนทะยานมาเบื้องหน้า สองแขนบิดเข้าใส่คอของซูอี้เยี่ยงหอกคู่
ซูอี้ปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายด้วยหนึ่งหมัด ฟาดสู่ไหล่ของสตรีถือหอก
ทว่านางหาหลบเลี่ยงไม่ สองมือคู่นั้นเกี่ยวตวัดแขนขวาของซูอี้เยี่ยงเถาวัลย์และกระชากอย่างแรง
เปลือกตาของซูอี้กระตุกวูบ มือขวาเคลื่อนคว้าขาขวาของสตรีถือหอกไว้
และแขนขวาซึ่งถูกสตรีถือหอกรัดไว้ของเขาก็เลื้อยออกมาจากพันธนาการเยี่ยงอสรพิษ ก่อนจะฉกเข้าใส่อกอิ่มและคอของสตรีถือหอก
ด้วยไร้หนทาง สตรีถือหอกจึงจำต้องปล่อยมือและไพล่แขนเข้าหากันเพื่อป้องกันการโจมตีคอของซูอี้เอาไว้
จากนั้นร่างของนางก็หมุนกลางอากาศ ขาซ้ายฟาดใส่หัวของซูอี้เยี่ยงแส้ยาว
ซูอี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา หาหลบเลี่ยงไม่ ฝ่ามือของเขาเกร็งก่อนจะกดทับลงไปอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!!!
หนึ่งเสียงทึบ ๆ ดังขึ้น
ร่างของชายหนุ่มสะท้านเซเล็กน้อย
ขณะที่สตรีถือหอกเซถอยไป
“การฝึกฝนขอบเขตรวมวิถีของคนผู้นี้จะแข็งแกร่งมาก”
สตรีถือหอกขมวดคิ้ว
‘สตรีผู้นี้ถือได้ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจจริง ๆ’
ซูอี้คิดในใจ
อึดใจต่อมา ทั้งสองก็โจมตีอีกหน
การศึกทวีความเข้มข้น
อาไฉ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปเมื่อได้เห็นแล้วก็ตกตะลึง
สมองของนางสับสนเล็กน้อย
นี่เป็นการประชันขอบเขตรวมวิถีจริง ๆ หรือ!?
เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวตนในขอบเขตจุติมงคล คงมิอาจหยุดการโจมตีของซูอี้และสตรีผู้นั้นได้เลย!
ช่างแปลกนัก
ไม่ว่าผู้ใดมาเห็นคงมิอาจเชื่อว่าพวกเขาจะมีอำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ได้ในขอบเขตรวมวิถี
เปรี้ยง!
สองเค่อต่อมา ซูอี้ก็ฟาดฝ่ามือส่งสตรีถือหอกกระเด็นไปอีกครั้งราวฟาดไม้ไผ่
และทันใดนั้น ร่างของซูอี้ก็เข้าโจมตีประชิดร่างของสตรีถือหอกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าต้องการปราบสตรีถือหอกให้อยู่หมัด
สตรีถือหอกเดือดดาลแล้ว จากนั้นนางก็ใช้ฝ่ามือฟาดใส่ลำคอของซูอี้
ชายหนุ่มเสสรวลขณะซัดหมัดตามไปประหนึ่งแบกบรรพตศักดิ์สิทธิ์แล้วทุ่มลงสู่ผืนโลกา แรงกดดันนั้นสะกดการโจมตีตอบโต้ของสตรีถือหอกไว้ทันที
ทว่ายามนี้ เหตุหนึ่งซึ่งซูอี้มิได้คาดไว้ก็ปรากฏขึ้น
หลังจากถูกเขาชกกะทันหัน ร่างของนางก็ทะยานเยี่ยงรุ้งทิพย์ เรียวขายกขึ้นเยี่ยงหอกใหญ่ร่อนลงมาจากอากาศ
ทรงอำนาจไร้ขอบเขต แหวกแดนดินแหลกร้าวชวนตะลึง
เปรี้ยง!!
ไหล่ของซูอี้ถูกฟาดเสียจนอำนาจคุ้มกายแหลกสลาย เลือดและเนื้อที่บ่านั้นสาดกระเซ็น กระดูกแทบป่นเป็นผง
สตรีถือหอกผู้นั้นก็หาได้ดีไปกว่ากันไม่
มือซ้ายของซูอี้ฉวยจับหอกขาขวาของสตรีถือหอกเอาไว้ แล้วใช้มือขวาเยี่ยงคมดาบฟันเข้าใส่ลำคอของนาง
เอวบางของสตรีถือหอกบิด เอี้ยวขาซ้ายฟาดใส่คอซูอี้ แต่มิคาดว่าร่างของชายหนุ่มจะทะยานมายังเบื้องหน้า
เขาพุ่งมาที่หว่างขาของนางกะทันหัน
นอกจากนั้น ขาขวาของสตรีถือหอกยังคงถูกซูอี้คว้าไว้มั่น มิอาจหลบเลี่ยงได้เลย
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากระยะห่างนั้นแสนประชิด แทบจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัวอยู่รอมร่อ สตรีถือหอกจึงไร้โอกาสเปลี่ยนกระบวนท่า กระทำได้เพียงใช้สองมือผลักออกไปยังเบื้องหน้า
เปรี้ยง!!
ฝ่ามือของซูอี้ถูกหญิงสาวปัดไว้ได้
ทว่าร่างของเขาก็ชนกับหว่างขาของนาง
เสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวดลอดริมฝีปากของสตรีถือหอกออกมา ยามนี้ นางรู้สึกราวถูกขุนเขาศักดิ์สิทธิ์กระแทกใส่ อำนาจคุ้มกายแทบมลายสูญ
น่าอายยิ่งกว่านั้นคือ ท่าทางเช่นนี้… ช่างน่าขายหน้า!
หากคว้าได้ นางก็มีแต่แพ้!
ยามนี้ สองมือของนางหยุดการโจมตีของซูอี้เอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
แต่เพราะอำนาจนั้นร้ายกาจทรงพลังเกินไป และขาขวาของนางก็ยังอยู่ในกำมือซูอี้ สตรีถือหอกจึงโอนเอนกายเล็กน้อย
“เจ้ามิใช่คู่มือข้า ยอมแพ้เถอะ”
ซูอี้กล่าว
หนึ่งมือของเขาผนึกขาขวาของสตรีถือหอกไว้ ขณะที่อีกมือกดลงบนสองมือซึ่งปกป้องคอของนาง การเคลื่อนไหวของเขาผนึกการตอบโต้ของหญิงสาวไว้อย่างมั่นคง
จากมุมมองของอาไฉ่ ท่าทางของทั้งสองนั้นดูสองแง่สองง่ามเหลือเกิน…
“ยอมแพ้หัวเจ้าสิ!”
สตรีถือหอกก่นด่าอย่างรำคาญอย่างเห็นได้ชัด
นางไร้กำลังขัดขืนโดยแท้ ถูกตรึงทุกทางมิอาจขยับเขยื้อน
ทันทีที่ตั้งหลักได้ นางก็กำลังจะโจมตีอีกหน
เสียงของอาไฉ่ดังมาไกล ๆ “รับความพ่ายแพ้มิได้หรือ?”
ร่างของสตรีถือหอกชะงัก ดวงตาแปรเปลี่ยนไปชั่วขณะ
ความพ่ายแพ้เก่าก่อนด้วยมือชายหนุ่มทำให้นางรู้สึกอับอาย คิดว่าหนนี้นางจะสามารถล้างแค้นได้
ทว่านางไม่คิดเลยว่าจะแพ้อีกหน
ผลลัพธ์นี้ทำให้นางอดสงสัยในชีวิตของตนเองไม่ได้
ตลอดกาลนานมา มีหรือนางจะพ่ายแพ้ศึกในขอบเขตเดียวกัน?
ทว่ายามนี้ นางกลับปราชัยถึงสองครั้งติดด้วยน้ำมือของคนผู้เดียว!
“อาไฉ่ อย่าพูดเช่นนั้นสิ หากนางไม่ได้สะกดการฝึกฝนของนางไว้ ข้าคงมิชนะง่ายเช่นนี้หรอก”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
สตรีถือหอกนิ่งเงียบไป
ครู่ต่อมา นางก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา “หากข้าอยากฆ่าเจ้าจริง ๆ นิ้วเดียวก็ขยี้เจ้าตายได้แล้ว!”
ซูอี้เสสรวล มองว่ามันเป็นเพียงการระบายโทสะ หาสนใจมันไม่ และกล่าวเพียงว่า “วาจาก่อนหน้านี้ของเจ้ายังมีผลอยู่หรือไม่?”
สตรีถือหอกกล่าวเสียงเย็น “อย่าห่วงเลย ข้ามิผิดวาจาหรอก!”
“เช่นนั้น อาไฉ่ ไปกันเถอะ”
ซูอี้กล่าวกับอาไฉ่
หญิงสาวก็เดินมาหาทันที
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะจรจาก ทันใดนั้นสตรีถือหอกก็กล่าวขึ้น “ช้าก่อน”
“มีอันใดอีกหรือ?”
ซูอี้หันไปมอง
ชายหนุ่มนิ่งไป “ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนี้?”
คู่เนตรสีม่วงของสตรีถือหอกปรากฏรัศมีลึกลับเจิดจรัสขณะกล่าวกับซูอี้ “มีหายนะแห่งกรรมอยู่ในตัวเจ้า หากเดาถูก เกรงว่าก่อนหน้านี้เจ้าคงไปล่วงเกินอำนาจที่เทพผู้หนึ่งทิ้งไว้ในโลกหล้า”
ใบหน้างามของอาไฉ่ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
นางเคยเห็นยามซูอี้ชิงหญ้าเจียรสวรรค์มาก่อน ย่อมรู้ว่าสตรีถือหอกผู้นี้หาโกหกไม่!
ซูอี้ทำเพียงแค่นเสียงหึ “จากที่เจ้าว่า ข้าถูกไอ้แก่นั่นหมายหัวแล้วหรือ?”
สตรีถือหอกว่า “ยังต้องถามอีกหรือ? แต่หากเจ้าวิงวอนข้าล่ะก็ ข้าจะช่วยเจ้าสะบั้นหายนะผลกรรมนี้ให้ก็ได้”
ทว่าซูอี้กลับกล่าวขึ้นว่า “ข้าขอรับไว้เพียงน้ำใจแล้วกัน ปัญหานี้ข้าแก้เองได้”
สตรีถือหอกอดกล่าวมิได้ “ถูกคนตกปลาผู้นั้นหมายหัวนั้น กระทั่งเทพยังปวดเศียรได้ เจ้าแน่ใจนะว่ามิต้องการความช่วยเหลือ?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะพาอาไฉ่จากไป
จนกระทั่งร่างของเขากับอาไฉ่หายลับไป สตรีถือหอกจึงเข้าใจและพึมพำ
ทันใดนั้น สตรีถือหอกก็ดูหดหู่ลง ผ่อนหายใจยาวและกล่าวกับตนในใจว่า “ข้าอาจเป็นคู่ต่อสู้อันด้อยกว่าในขอบเขตเดียวกัน ทว่าในวิถีนั้นข้าทิ้งห่างเจ้าไปไกลโข และข้าจะมิให้เจ้าตามข้าทันตลอดชาตินี้หรอก!”
“แต่ว่า… เจ้าจะยอมแพ้ไปง่าย ๆ ไม่ได้นะ!”
“ภายหน้าข้าจะหาโอกาสอื่นไปสู้กับเขาในโลกเซียน! ข้ามิเชื่อหรอกว่าด้วยภูมิหลังของข้าจะจัดการเขามิได้!”
ในดวงตาสีม่วงของสตรีถือหอกปรากฏเค้าความโหดเหี้ยมขึ้น
บนวิถีฝึกฝนชั่วชีวิตของนาง ช่วงกาลอันภาคภูมิเจิดจรัสที่สุดของนางอยู่ในวิถีเซียน
ยามนั้น นางถูกถือเป็น ‘บรรพเซียนอหังการ โดดเดี่ยวหนึ่งเดียวในวิถี’!