บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1507: หนึ่งดาบ
ตอนที่ 1507: หนึ่งดาบ
สามวันต่อมา
ลึกเข้าไปในแดนหวงห้ามวารีทมิฬ
ตู้ม!
หนึ่งแดนดินพลันพังทลาย
ทันใดนั้น ชีพจรสายแร่อันเรืองรองสายหนึ่งก็ทะยานสู่เวหา ตกสู่มือของซูอี้ผู้ยืนอยู่บนอากาศ
สายแร่นี้ยาวหลายร้อยจั้ง โอฬารเยี่ยงขุนเขา และเดิมฝังลึกอยู่ใต้พิภพ
ทว่ายามนี้ ซูอี้ผู้อยู่บนอากาศคว้ามันไว้ได้
“มีแก่นจิตจุติสรวงอยู่สิบกว่าชิ้นเอง”
ซูอี้ผิดหวังเล็กน้อย
ขณะซูอี้กำลังตัดพ้อ เขาก็เก็บเกี่ยวแก่นจิตจุติสรวงขนาดเท่ากำปั้นสิบกว่าชิ้นออกมาได้ในที่สุด
“ไปหาที่อื่นต่อ”
ร่างของซูอี้วูบไหวหายไปในอากาศ
สามวันก่อน หลังออกจากแดนรกร้างสีเลือด ซูอี้และอาไฉ่ก็แยกกันลงมือ
ก่อนจาก ซูอี้ได้แบ่งอำนาจที่มาของ ‘อสนีบาตเซียนทลายสุญตา’ ซึ่งเตาเสริมสวรรค์หล่อหลอมมาได้ให้อาไฉ่ไปครึ่งหนึ่ง
และสามวันมานี้ ซูอี้มิได้กลับไปยังแดนแรกเยือน แต่เริ่มเสาะหาโอกาสซึ่งหาพบได้เพียงในสนามรบแรกเท่านั้นเช่นแก่นจิตจุติสรวง
……
เจ็ดวันจากนั้น
ซูอี้นั่งขัดสมาธิบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ข้างกายเขา เตาเสริมสวรรค์ส่งเสียงคำราม ดาบแห่งโลกาลอยขึ้นลงอาบรัศมีทองประกายอยู่ในเตา
ตลอดหลายวันมานี้ เตาเสริมสวรรค์ได้หล่อหลอมหญ้าเจียรสวรรค์ชิ้นนั้นเสร็จสิ้น และยามนี้ ดาบแห่งโลกาก็กำลังดูดซับอำนาจกำเนิดฮุ่นตุ้นจากหญ้าเจียรสวรรค์
นอกจากนั้น กระทั่งอำนาจต้นกำเนิดอสนีบาตเซียนทลายสุญตายังหลอมรวมสู่ดาบแห่งโลกาไปก่อนหน้านี้แล้ว
“รอให้ดาบแห่งโลกาหลอมรวมกับปราณหญ้าเจียรสวรรค์ก่อน แล้วการเปลี่ยนแปลงสะเทือนโลกาก็จะบังเกิด!”
จากการอนุมานของซูอี้ เพียงอำนาจของดาบแห่งโลกายามนี้ก็หาด้อยกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์วิถีเซียนระดับสูงสุดไม่!
……
ครึ่งเดือนต่อมา
หลังซูอี้หลอมแก่นจิตจุติสรวงที่สั่งสมมาสำเร็จ การฝึกฝนของเขาก็เคลื่อนสู่ขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตแปรสัจธรรม
และยามนี้เองที่การฝึกฝนของเขาจุกในคอขวด!
“ในชั่วกาลนี้ แม้ข้าจะประสบชะตาประหลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังทำให้การฝึกฝนของข้าเผยความไม่เสถียรออกมาจาง ๆ ได้อยู่ดี”
ซูอี้ตื่นตัวและตระหนักว่าความเร็วการเคลื่อนขอบเขตของเขานั้นรวดเร็วเกินไป เขาจะต้องเก็บตัวเว้นระยะสักหน่อย หาไม่ รากฐานมหาวิถีของเขาจะไม่เสถียร
เหตุผลเป็นเพราะเขาได้รับโอกาสในเขตแดนสมรภูมิมากเกินไป
มันเป็นโอกาสอันเลิศล้ำซึ่งไม่อาจพบพานได้ในโลกภายนอก
ในอดีต ซูอี้พึ่งพาความแข็งแกร่งของตนและแทบจะชิงวาสนาทั้งหมดมาไว้ในมือ
เขาเข้ามาในเขตแดนสมรภูมินี้ยังไม่ถึงสี่เดือนดี ทว่าการฝึกฝนของเขากลับก้าวข้ามขอบเขตแปรสามัญสู่ขอบเขตแปรสัจธรรมไปแล้ว
จวบยามนี้ เขาก็ฝึกฝนมาถึงขอบเขตแปรสัจธรรมขั้นสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย!
การเคลื่อนขอบเขตรวดเร็วเช่นนี้ช่างน่าตกใจ
หากยอดคนจุติสรวงคนอื่น ๆ มาเห็นเข้า เกรงว่าคงอับอายตายเป็นแน่แท้
เพราะถึงอย่างไร สำหรับยอดคนจุติสรวง อย่าว่าแต่เคลื่อนขอบเขตใหญ่เลย หากจะเคลื่อนขั้นย่อยสักครั้งยังต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักนานนับปี
กระทั่งยามเผชิญคอขวด ต่อให้ใช้เวลาหลายพันปี ก็ไม่แน่ว่าการฝึกฝนจะพัฒนาหรือไม่!
เทียบกันก็เห็นได้ว่าวิถีเต๋าของซูอี้พัฒนารวดเร็วเพียงไร
ทว่าหากการฝึกฝนพัฒนาเร็วเกินไป มันก็รังแต่จะให้ผลเสียมากกว่าดี!
ทว่าหากทำเช่นนั้น มันจะทำให้รากฐานมหาวิถีของศิษย์สำนักเหล่านั้นไม่แข็งแกร่ง เหมือนเช่นการสร้างปราสาทบนอากาศ ไร้จีรัง จะถล่มลงมายามใดก็ย่อมได้
ดังนั้น ยิ่งกลุ่มเต๋าทรงพลังสูงส่ง ยิ่งให้ความสนใจกับการขัดเกลาเสริมรากฐานมหาวิถีของเหล่าศิษย์
ยิ่งรีบยิ่งพัง
ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม!
ซูอี้ย่อมรู้สัจธรรมนี้ดีเกินใคร และเมื่อเห็นว่าการฝึกฝนของตนเข้าถึงคอขวด เขาก็ตื่นตัวตระหนักทันทีว่าต้องเว้นระยะเพื่อขัดเกลาเสริมแกร่งการฝึกฝนของตนอีกสักหน่อย
จากวันนี้ไป ซูอี้ก็รวบรวมแก่นจิตจุติสรวงทั้งหมดที่เขารวบรวมมาได้ ตั้งใจใช้มันเคลื่อนขอบเขตในภายหน้า
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน หนึ่งเดือนสิ้นไป
ซูอี้กลับมาสู่แดนแรกเยือน ตั้งใจจะมอบแก่นจิตจุติสรวงที่สะสมมาแก่เซียนดาบชิงซื่อและดาบพุทธะสรรพสุญตา
เริ่นฉางชิง!
ผู้นำจักรดาราหนานหั่วซึ่งเป็นเยี่ยงตัวตนในตำนาน ณ ขอบเขตจุติมงคล
“ใต้เท้าซู เริ่นฉางชิงผู้นี้มาหาเราด้วยตนเองเมื่อครึ่งเดือนก่อน กล่าวว่าต้องการมาหาท่านเพื่อขอประลองด้วยขอรับ”
หลีจงถ่ายทอดวจีบอกซูอี้ “เมื่อเขารู้ว่าท่านมิอยู่ เขาก็มาที่นี่วันละหนจวบจนวันนี้”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ เป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว
“สหายเต๋าซู ข้ามายังเขตแดนสมรภูมินี้มิใช่เพื่อเถลิงอำนาจเหนือผู้คน แต่เพราะหวังพานพบใครสักคนที่ควรค่าประลองด้วย!”
เริ่นฉางชิงก้าวเข้ามาประสานมือคำนับด้วยท่าทีสุขุม “ดังนั้นที่ข้ามาเยือนถึงที่ยามนี้ ก็เพราะข้าอยากประชันมหาวิถีกับสหายเต๋า!”
ดวงตาของเขาเจิดจรัสราวกับมีดวงดารานับไม่ถ้วนเฉิดฉาย เปี่ยมด้วยจิตต่อสู้
บริเวณใกล้เคียงมียอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนมากมายมองอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเช่นนี้ก็อดแสดงท่าทีตั้งตารอมิได้
หากใต้เท้าซูเอาชนะคนผู้นี้ได้ ผู้ฝึกตนจากฝ่ายจักรดาราหนานหั่วย่อมไม่อาจโงหัวเชิดหน้าต่อหน้าพวกเขาได้อีกในอนาคต!
ทว่าทุกผู้ต่างรู้เช่นกัน ว่าเริ่นฉางชิงนั้นไม่มีทางเป็นคนธรรมดาไปได้
ผิดจากความคาดหวังทุกผู้ ซูอี้ทำเพียงชายตาแล กล่าวกับเริ่นฉางชิงว่า “เจ้าควรไปดีกว่านะ”
กล่าวจบ ซูอี้ก็หันหลังจากไป
คนทุกผู้ล้วนตะลึง
ใต้เท้าซู นี่… คู่ต่อสู้อย่างเริ่นฉางชิงยังมิเข้าตาหรือ!?
เริ่นฉางชิงเองก็ตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “สหายเต๋าซู ไฉนเจ้าจึงไม่สู้กับข้า?”
ครึ่งเดือนมานี้ เขามาหาซูอี้แทบทุกวัน เรื่องนี้เป็นประเด็นร้อนรู้ทั่วทุกฝ่ายเนิ่นนานแล้ว
ยามนี้ ในที่สุดซูอี้ก็กลับมา ทว่าใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธข้อเสนอของเขาทันที!
ไกลออกไป ซูอี้ชะงักเล็กน้อย แล้วกล่าวเรียบ ๆ โดยไม่ได้หันกลับไปมองเริ่นฉางชิง “ยาดีมักขม วาจาจริงใจมักบาดหู อยากฟังจริง ๆ หรือ?”
เริ่นฉางชิงกล่าวเรียบ ๆ “สหายเต๋ากล่าวมาตรง ๆ เถิด ข้ามิมีโทสะจากวาจาหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที “ในสายตาข้า ไม่ว่ากาลก่อนหรือยามนี้ เจ้าไร้คุณสมบัติจะเป็นคู่ต่อกรของข้า และข้ามิเคยถือเจ้าเป็นคู่ต่อสู้”
คนทุกผู้มองหน้ากัน
บรรยากาศเงียบกริบเสียจนน่าขนลุก
คนทุกผู้ล้วนคาดไว้แล้วว่าวาจาของซูอี้จะทำร้ายจิตใจเริ่นฉางชิง
แต่ไม่คาดเลยว่าแต่ไหนแต่ไร ซูอี้หามีผู้นำจักรดาราหนานหั่วในสายตาไม่!
นี่คือการเมินเฉย
ไร้การเย้ยเยาะดูแคลน ดูหมิ่นใด ๆ เป็นเพียงการกล่าวแถลงเท่านั้น
ทว่าเพราะเหตุนี้เอง มันจึงทำร้ายจิตใจกันถึงที่สุด!
เพราะถึงอย่างไร สิ่งที่น่าเศร้ายิ่งกว่าถูกเหยียบย่ำนั้นก็คือ อีกฝ่ายไม่แม้กระทั่งจะสนใจเหยียบย่ำกัน!
สีหน้าของเริ่นฉางชิงทะมึนเล็กน้อย แม้เขาจะขัดเกลาจิตใจมาเป็นอย่างดี ยามสัมผัสการแสดงออกอย่างเฉยชาของซูอี้จากการแถลงไข เขาก็มิอาจสะกดกลั้นโทสะอันเอ่อล้นในใจตนได้อยู่ดี
และยามนี้ ซูอี้ก็กล่าวเสริม “คนอื่น ๆ ก็ด้วย”
โชคดีที่พวกเขาต่างรู้ฐานะและความแข็งแกร่งตนดี รู้ว่ามิอาจเทียบกับคนเช่นซูอี้ได้ พวกเขาจึงมิได้รับผลกระทบมากมายนัก
เริ่นฉางชิงอดพูดมิได้ “แต่ถึงอย่างนั้น ไฉนเจ้าจึงยอมตกลงรับคำท้าของอวี่เฉินกัน?”
“ผิดแล้ว ข้ากล่าวเพียงว่าหากเขารับหนึ่งดาบของข้าได้ ข้าจะสู้กับเขาเป็นกรณียกเว้น”
ซูอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย
เริ่นฉางชิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าก็อยากลองรับหนึ่งดาบจากสหายเต๋า ขอสหายเต๋าชี้แนะด้วย!”
สิ้นเสียง ปราณในร่างของเขาก็กู่คำราม หมู่เมฆาเหนือนภาพลันแหลกสลาย แดนดินใกล้เคียงอาบไล้ด้วยปราณฆ่าฟันร้ายกาจ
คนทุกผู้ล้วนตัวสั่น
กระทั่งบุคคลจากค่ายอื่นในแดนแรกเยือนหรือยอดเขาต่าง ๆ ยังมีผู้สังเกตพบจิตสังหารพลุ่งพล่านบนยอดเขาตงเสวียนมากมาย
ชั่วขณะนั้น มันดึงความสนใจได้มากมาย
ยามนี้ ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างค่อยๆ หมดความอดทนทีละน้อย “ไฉนต้องขอให้ตนลำบากด้วย?”
วาจานั้นสนั่นลั่น
คนทุกผู้ล้วนตะลึงงัน
ผู้มีจิตใจอันแข็งแกร่งควรเป็นเช่นนี้แหละ!
“ก็ได้ จากวาจาเหล่านี้ ก็สุดแท้แต่ใจเจ้าปรารถนา”
ซูอี้ยังคงมิหันกลับมา หลังของเขาหันให้เริ่นฉางชิง มือขวาซึ่งอยู่ในแขนเสื้อของเขาโบกไปเบื้องหลัง
หนึ่งปราณดาบทะยานผ่านนภา ทะลวงตรงเข้าหาเริ่นฉางชิง
เรียบง่ายสะอาดตา ไร้การปรุงแต่งหวือหวาใด ๆ
ในสายตาคนนอก มันดูดาษดื่นไร้ความพิเศษ
ทว่าในสายตาเริ่นฉางชิง อำนาจในปราณดาบนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความกลัวอันมิอาจสะกดกลั้น!
ตู้ม!
ทว่าก็ยังไร้ผล!
เมื่อดาบนั้นแหวกเวหาเข้าใส่ เริ่นฉางชิงก็รู้สึกว่าหากมิใช้อาวุธไม้ตาย ไม่ว่าเขาจะต่อสู้ดิ้นรนอย่างไรก็มิอาจหยุดดาบนี้ได้เลย!
แต่หากงัดไม้ตายมาใช้ มันจะเป็นการต่อสู้ในมหาวิถีประสาใด?
ความคิดทั้งหมดวูบเข้ามาในใจของเริ่นฉางชิงเยี่ยงสายฟ้าแลบ ก่อนจะคิดทุ่มโจมตีสุดตัวแทบจะด้วยสัญชาตญาณ ไร้โอกาสครุ่นคิด
ทว่ายามที่เขากำลังจะลงมือนั้นเอง…
ตู้ม!
อำนาจดาบอันทะลักถาโถมเกินรับมือก็ประดังเข้ามาเยี่ยงคลื่นยักษ์เคลื่อนแดนดิน
เริ่นฉางชิงตัวแข็งทื่อ หัวใจบีบแน่นรวดร้าว เขาแทบลืมหายใจ กระทั่งคิดขัดขืนยังทำมิได้
แย่แล้ว!
เริ่นฉางชิงตกตะลึง
จากนั้น มันก็ระเบิดเปรี้ยงเป็นพิรุณแสงสลายไป
“ยามที่เจ้าออกจากเงามืดอันมาจากดาบนี้ บางที… ความเข้าใจในมหาวิถีของเจ้าอาจเคลื่อนสู่ระดับใหม่ก็เป็นได้”
น้ำเสียงเฉยเมยของซูอี้ดังขึ้น
เขาไพล่มือไว้เบื้องหลังและจากไป
ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับมาแต่ต้นจนจบ
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบสงัด
เริ่นฉางชิง ผู้นำจักรดาราหนานหั่วยืนนิ่งตะลึงงัน
อาภรณ์ทั่วกายชุ่มด้วยเหงื่อเย็น!