บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1508: แสวงหาเพียงความปราชัย
ตอนที่ 1508: แสวงหาเพียงความปราชัย
เริ่นฉางชิงตะลึงงันอยู่เนิ่นนาน
และเมื่อค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ
เขาถอนหายใจยาวพลางเงยหน้ามองยอดเขาอันเป็นที่พำนักของซูอี้
จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เริ่นฉางชิงก็คำนับก้มหัวต่ำ ๆ ก่อนจะหันหลังจากไป
คนทุกผู้ล้วนตะลึงอึ้ง หัวใจเต้นระรัวโดยพลัน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเริ่นฉางชิง ผู้นำจักรดาราหนานหั่วประทับใจในดาบของซูอี้โดยสมบูรณ์!
“ดาบของใต้เท้าซูน่ากลัวเพียงนั้นจริง ๆ หรือ?”
จนกระทั่งร่างของเริ่นฉางชิงหายไปจากยอดเขาตงเสวียน บางผู้จึงอดถามมิได้
“แค่เพราะกระทั่งเรายังมิเห็นเบาะแส ยิ่งทำให้ดาบของใต้เท้าซูยิ่งน่ากลัวมิใช่หรือ?”
คนทุกผู้มองหน้ากัน หัวใจสั่นสะท้าน
พวกเขาล้วนเข้าใจเหตุผล
มันง่าย ๆ เลย เพราะความแข็งแกร่งและทัศนวิสัยพวกเขาห่างไกลเกินกว่าจะสืบพบเคล็ดพลังในดาบเมื่อครู่!!
……
วันเดียวกันนั้น ข่าวความปราชัยของเริ่นฉางชิงภายใต้ดาบของซูอี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วแดนแรกเยือน ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงใหญ่โต
โดยเฉพาะเมื่อรับทราบถึงรายละเอียดศึก ก็ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดที่ตัวสั่นหัวใจกระตุกวูบ
“เริ่นฉางชิงสิ้นกำลังขัดขืน ทำได้เพียงยืนนิ่งรอการพิพากษา?”
“ดาบนั้นต้องร้ายกาจเพียงใดกัน?”
“ได้ยินหรือไม่ว่าแต่ต้นจนจบ นอกจากซูอี้จะมิถือเริ่นฉางชิงเป็นคู่ต่อสู้แล้ว คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน!”
…เสียงหารือเซ็งแซ่มิขาดสายในฝ่ายต่าง ๆ
ยอดเขาซีหาน
ฉินซู่ซินผลักหน้าต่างศาลาอย่างเบามือ นัยน์ตายะเยือกมองไปที่ยอดเขาตงเสวียนห่างออกไปด้วยความตะลึงงัน
คนแซ่ซูผู้นั้นทรงพลังเพียงนี้หรือ?
สภาพจิตใจอันสงบนิ่งของฉินซู่ซินกำลังสั่นไหว
เพราะนางรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของเริ่นฉางชิงท้าทายสวรรค์เพียงใด ในอดีต มีน้อยคนนักที่นางสามารถถือเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างแท้จริง
หนึ่งในนั้นคือเริ่นฉางชิง
ทว่าฉินซู่ซินมิได้คาดคิดเลยว่าเริ่นฉางชิงจะพ่ายแพ้ยับเยินเยี่ยงนี้!
มันช่างยากยอมรับ การจะคาดเดาถึงรายละเอียดที่ชัดเจนของศึกดวลยังมิอาจเป็นไปได้ แม้แต่จะทำความเข้าใจความคิดยามปราชัยของเริ่นฉางชิงยิ่งแสนยาก
แต่ฉินซู่ซินก็รู้แก่ใจว่าหากนางไปสู้กับซูอี้ ชะตาของนางก็มีแต่จะแพ้มากกว่าชนะ!
“ไฉนจักรดาราตงเสวียนจึงให้กำเนิดตัวตนร้ายกาจเช่นนี้ออกมาได้ เขา…ฝึกฝนถึงจุดนี้ได้เช่นไร?”
หัวใจของฉินซู่ซินเต็มไปด้วยความคิดนานาขวักไขว่เต็มไปหมด
แรงกดดันจะถูกส่งไปยังอวี่เฉิน!
อันที่จริง ฉินซู่ซินคาดเดาได้ถูกต้อง เหล่าผู้ฝึกตนจากฝ่ายต่าง ๆ ล้วนเริ่มหลั่งเหงื่อแทนอวี่เฉินซึ่งท้าประลองซูอี้ไว้แล้ว!
“ผู้นำคนอื่น ๆ อย่างเริ่นฉางชิงหยุดดาบของซูอี้มิได้ และยามอวี่เฉินออกจากการเก็บตัว แรงกดดันนี้ก็ย่อมงอกเงยทวีคูณ!”
“เรื่องนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ หากอวี่เฉินถอยหลังไม่ยอมสู้ เขาก็สิ้นเกียรติชื่อเสียงดิ่งลงเหว แต่หากสู้ ต่อให้หยุดดาบของซูอี้ไว้ได้ คิดอยากชนะก็เกรงว่าความหวังคงริบหรี่!”
“ใครเล่าจะคิดว่าคนแซ่ซูจะร้ายกาจเพียงนี้?”
…เสียงอื้ออึงเช่นนี้เองก็ถึงหูเวินซิวจู่เช่นกัน
นางอดตะลึงไปไม่ได้ ใบหน้าหยกของนางยากคาดเดา
เดิมทีนางผงะไปกับหมัดของซูอี้ ในใจของนางยังยอมรับมิลง
แม้ศิษย์พี่อวี่เฉินของนางจะกล่าวว่านางมิใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ หัวใจของนางก็ยังยอมรับมิได้
ทว่ายามนี้ เมื่อเริ่นฉางชิงปราชัย นางก็ตระหนักแล้วว่าตนช่างโชคดีที่รอดจากเงื้อมมือซูอี้ได้ในกาลก่อน!
ใบหน้าของเวินซิวจู่ปรากฏความกังวล
นางรู้ดีว่าศิษย์พี่ของนางเป็นตัวตนทรงพลังเพียงใด และเขาก็ไม่ได้มีตัวตนขอบเขตจุติมงคลใด ในสายตามาเนิ่นนาน คิดเพียงแต่ว่าตนจะได้ปราบเซียนลงยามใด
ทว่ายามนี้เวินซิวจู่ตระหนักชัดแล้วว่าซูอี้แตกต่างจากผู้อื่น นี่คือตัวตนร้ายกาจ เพียงพอให้ผู้นำฝ่ายอย่างเริ่นฉางชิงและฉินซู่ซินมิอาจประชันได้!
“เฮ้อ ตอนนี้ก็ได้แต่ต้องรอศิษย์พี่ออกมาเท่านั้น”
เวินซิวจู่ทอดถอนใจเบา ๆ
ชั่วกาลนี้ ด้วยการปรากฏตัวของซูอี้ สถานการณ์ในสนามรบแรกได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสะเทือนโลกา
ไร้ผู้ใดกล้าประเมินคนจากจักรดาราตงเสวียนต่ำอีกต่อไป
ไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุพวกเขาง่าย ๆ
เมื่อมีข่าวการปราชัยของเริ่นฉางชิงในยามนี้ เกียรติภูมิของซูอี้จึงทะยานสู่จุดอันน่าตกตะลึง ทำให้ผู้คนเล่าขาน!
สิ่งนี้ทำให้เวินซิวจู่มิอภิรมย์นัก
……
“เจ้ารับแก่นจิตจุติสรวงเหล่านี้ไปเถอะ”
ณ ยอดเขาตงเสวียน ซูอี้ส่งถุงสัมภาระใบหนึ่งแก่เซียนดาบชิงซื่อ “เมื่อจิตวิญญาณของสรรพสุญตาฟื้นคืน ข้าจะให้เขาด้วย”
เซียนดาบชิงซื่อรับมันไปโดยไม่เกี่ยง
เขาเข้าใจอุปนิสัยของซูอี้ หากเขาปฏิเสธมิยอมรับ มันรังแต่จะทำให้ซูอี้ไม่ชอบใจ
“ยามนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีก่อนวิถีแรกเยือนปรากฏ ข้าตั้งใจจะมุ่งเน้นฝึกฝนชั่วขณะหนึ่ง หากมิใช่เรื่องคอขาดบาดตาย อย่าให้คนมากวนข้า”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
ในอดีต เขาไปยังเขตหวงห้ามอันตรายในสนามรบแรกหลายแห่ง รวบรวมแก่นจิตจุติสรวงได้มากมาย เพียงพอต่อความต้องการฝึกฝนในภายหน้าของเขา
และเหตุที่เขาคิดมุ่งเน้นเก็บตัวยามนี้หาใช่เพราะต้องการเลื่อนขอบเขตไม่ แต่เพื่อทบทวนเสริมแกร่งวิถีเต๋า เรียบเรียงการฝึกฝนเพื่อให้วิถีเต๋าของเขามั่นคงสมบูรณ์
เซียนดาบชิงซื่อตอบรับอย่างเคร่งขรึม
ก่อนจะกล่าวขึ้นทันทีราวเพิ่งนึกได้ “อีกไม่นาน ผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียน อวี่เฉินจะออกจากการเก็บตัว แล้วเขา…”
ซูอี้เอ่ยขัดอย่างไม่สนใจ “อย่าใส่ใจเลย หากเขาดึงดันจะสู้ ก็ให้เขารอไป”
เซียนดาบชิงซื่อพยักหน้า
วันเดียวกันนั้น ซูอี้เริ่มเก็บตัวฝึกฝน
……
สิบวันต่อมา
ณ ยอดเขาเป่ยเยวียน รุ้งทองเจิดจรัสสายหนึ่งทะยานขึ้น
ทันใดนั้น ท้องนภาก็สั่นสะท้าน วจีวิถีสะท้อนนภากลางเวหา
รัศมีฟ้าครามแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงตระการสีพร่างพรมจากท้องนภาสู่บ้านศิลา ณ ยอดเขาเป่ยเยวียน
“ช่างเป็นนิมิตอันตระการตายิ่งนัก หรือจะบอกว่าอวี่เฉินออกจากการเก็บตัวแล้วหรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ เขาฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบขอบเขตจุติมงคลแล้ว ไม่มีทางเข้าสู่วิถีเซียนก่อนการปรากฏของวิถีแรกเยือนได้แน่นอน”
“เช่นนั้น นิมิตนี้จะมาจากหนใด?”
…ผู้คนเสวนา
“นี่คือการหล่อหลอมปราณวิญญาณเซียนสู่ร่างจากการดูดซับแก่นจิตจุติสรวงหรือ?”
ในยอดเขาซีหาน ผู้นำจักรดาราฉินซู่ซินมองไปยังนิมิตสะท้อนเหนือนภา สีหน้าอดแสดงความซับซ้อนมิได้
ลือกันว่าเมื่อหลอมแก่นจิตจุติสรวงเพียงพอ จะมีโอกาสที่ผู้ฝึกตนจะสามารถสะบั้นมลทินชำระวิญญาณ แปรเปลี่ยนไปเยี่ยงเกิดใหม่ได้
คุณสมบัติอันเด่นชัดที่สุดคือคนผู้นั้นจะได้ฝึกฝนปราณวิญญาณเซียน!
และนี่ยังหมายความว่าขอเพียงถึงกาล เขาก็จะสามารถก้าวสู่วิถีเซียนได้โดยง่าย!
ในอดีต ฉินซู่ซินเองก็หล่อหลอมแก่นจิตจุติสรวงอยู่เช่นกัน แต่ยังมิอาจมาถึงขั้นนี้ได้
เริ่นฉางชิงกล่าวกับตนเอง
ความพ่ายแพ้ด้วยมือซูอี้ทำให้เขาจิตตกไปชั่วขณะ จิตต่อสู้ของเขาอ่อนแรง มิอาจออกจากเงามืดของดาบนั้นได้
ยามนี้เขาเห็นทุกสิ่งกระจ่างชัด
กระทั่งเชื่อในวาจาเมื่อกาลก่อนของซูอี้!
เขายังแน่ใจด้วยว่าเมื่อจิตใจตนก้าวพ้นเงาของดาบนั้น วิถีของเขาจะแปรเปลี่ยนไปยังอีกขั้นหนึ่งแน่นอน!
และเพราะเหตุนี้เอง เขาจึงยอมแพ้อย่างเต็มหัวใจ หาโอดครวญใด ๆ ไม่ และชื่นชมซูอี้อย่างยิ่ง
ยามนี้ เมื่อได้เห็นนิมิตทั่วฟ้าดินจากอวี่เฉิน เริ่นฉางชิงก็ตระหนักว่าหนนี้อาจมีการแสดงดี ๆ ให้ดูก็เป็นได้!
ก่อนการเปลี่ยนแปลง เริ่นฉางชิงหาคิดไม่ว่าอวี่เฉินจะสู้ซูอี้ไหว
ทว่าด้วยนิมิตนี้ เริ่นฉางชิงเปลี่ยนใจแล้ว
เทียบกับซูอี้ อวี่เฉิน ผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียนเองก็รับมือไม่ง่าย!
ณ ยอดเขาเป่ยเยวียน
เวินซิวจู่เงยหน้าขึ้นมองนิมิตทั่วฟ้าดิน พึมพำอย่างปรีดา “ยอดเลย ศิษย์พี่ต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์จากการฝึกฝนของเขาเป็นแน่แท้ จึงกระตุ้นให้เกิดนิมิตเช่นนี้ออกมาได้!”
ไม่กี่วันมานี้ นางกังวลอยู่เสมอว่าจะจัดการเรื่องการนัดประลองกับซูอี้ยามศิษย์พี่อวี่เฉินออกจากเก็บตัวพำนักได้เช่นไร
และยามนี้ นางก็มั่นใจ!
ประตูบ้านศิลาแง้มเปิดออก ร่างผอมสูงในอาภรณ์นักพรตเดินออกมา ดวงตากระจ่างเยี่ยงสายธาร ร่างเปี่ยมด้วยบรรยากาศเรียบง่ายสงบสุข
เขาคืออวี่เฉิน!
เมื่อเขาเดินออกจากบ้านศิลา นิมิตทั้งหลายก็สลายไป
“ศิษย์พี่”
เวินซิวจู่ทักทายเขาทันที “ท่านเลื่อนขอบเขตแล้วหรือเจ้าคะ?”
อวี่เฉินส่ายหน้า “ถือได้เพียงสร้างวิถีเต๋าสมบูรณ์สูงสุดก่อนจุติสรวงบรรลุเซียน ขอเพียงถึงกาล มิต้องห่วงเลยว่าจะได้เป็นเซียนหรือไม่ ก้าวเดียวก็บรรลุได้แล้ว”
เวินซิวจู่กล่าวขึ้น “เช่นนั้น ความแข็งแกร่งของท่านก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
อวี่เฉินส่งเสียงรับ
อุปนิสัยของเขาบริสุทธิ์เยี่ยงสายลมโชยจันทราจรัส หารีบร้อน เย่อหยิ่งไม่
เวินซิวจู่อดกล่าวมิได้ “ศิษย์พี่เจ้าคะ เมื่อไม่นานนี้ เริ่นฉางชิงพ่ายแก่ซูอี้ผู้นั้น…”
ก่อนนางจะทันพูดจบ อวี่เฉินก็กล่าวก่อนว่า “ข้ารู้แล้ว ยามพวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากันในยอดเขาตงเสวียน พลังปราณของเริ่นฉางชิงทะยานเวหา ยากที่ข้าจะไม่สนใจ”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ดวงตาของเขาก็ฉายประกายครุ่นคิด “ทว่าเทียบกันแล้ว สหายเต๋าซูผู้นั้นยากคะเนเป็นที่สุด หนึ่งดาบหวนสามัญ ไม่ดึงดูดการเคลื่อนไหวใด ๆ แต่กลับมีอำนาจประหารเทพปราบวิญญาณ กล่าวได้ว่าแยบยลอัศจรรย์ แปรศิลาเป็นทองคำ!”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็อดรำพึงมิได้ “หากสามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้ แพ้ไปก็มิน่าเจ็บใจ”
เวินซิวจู่เม้มปากกล่าว “ข้าไม่คิดว่าศิษย์พี่จะแพ้!”
นางสังเกตแล้วว่าศิษย์พี่อวี่เฉินของนางมีปราณบางอย่างซึ่งมิเคยปรากฏมาก่อนเพิ่มขึ้น ให้บรรยากาศยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างยิ่ง
มิน่าแปลกใจเลย มันน่าจะเป็นเสน่ห์แห่งปราณวิญญาณเซียน!
อวี่เฉินแย้มยิ้ม หันหลังเดินลงจากเขา และกล่าวเบา ๆ ขณะเยื้องย่าง “ในอดีต ข้ากำชัยมาเนิ่นนานในจักรดาราเป่ยเยวียน และยามนี้ข้า… แสวงหาเพียงความปราชัย”
“แสวงหาเพียงความปราชัย!”
เวินซิวจู่ย่อยวาจาเหล่านี้ ดวงตาเรืองประกาย ความคิดของศิษย์พี่นั้นแปรเปลี่ยนจากกาลก่อน!
ในอดีต เขาแสวงหาความไร้เทียมทาน
ทว่ายามนี้เขากลับแสวงหาคู่ต่อสู้ผู้เอาชนะเขาได้!
และคู่ต่อสู้ผู้นี้ จะเป็นผู้ฝึกตนมนุษย์หรือผู้ฝึกตนเซียนก็มิเกี่ยง!
“ไป ตามข้าไปเยือนสหายเต๋าซูที่ยอดเขาตงเสวียนกัน”
อวี่เฉินกล่าวเบา ๆ
ปราณของเขาเรียบง่ายเยี่ยงหยก สุขุมเยี่ยงเมฆาแต่ต้นจนจบ