บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1509: หินฮุ่นตุ้นรองรับวิถี
ตอนที่ 1509: หินฮุ่นตุ้นรองรับวิถี
สนามรบแรก
ณ ทะเลเพลิงหลอมละลาย
ร่างอรชรของอาไฉ่ปรากฏขึ้นบนอากาศ นัยน์ตาเจิดจรัสด้วยความปรีดา
“ในที่สุดข้าก็หาเจอ!”
นางยกมือเปล่าขึ้นฟาดฟันบนอากาศ
ตู้ม!
ทะเลเพลิงหลอมละลายแยกออกเป็นหลุมใหญ่ยักษ์
ลึกในร่องหลุมนั้นปรากฏศิลาสีเงินชิ้นหนึ่ง
“ขึ้นมา!”
ศิลาสีเงินส่ายเคลื่อนขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม
มันมีขนาดสิบกว่าจั้ง ใหญ่โตเยี่ยงบ้านหลังหนึ่ง แต่เมื่อร่วงลงในมืออาไฉ่ มันกลับถูกบีบอัดด้วยเคล็ดพลังอมตะจนเหลือขนาดเพียงฝ่ามือทันที!
เมื่อมองใกล้ ๆ สิ่งนี้เป็นสีเงินขาวเยี่ยงหิมะ ใสกระจางเยี่ยงหยกงามน้ำดี มีปราณฮุ่นตุ้นแปลกประหลาดพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
หินฮุ่นตุ้นรองรับวิถี!
ศิลาทิพย์ฮุ่นตุ้นอันพิเศษยิ่ง มันสามารถรองรับบรรจุเคล็ดมหาวิถีอันสมบูรณ์ มีประโยชน์อเนกอนันต์สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหลาย
“เจ้ามองหาสิ่งนี้มาตลอดเลยหรือ?”
ไกลออกไป ร่างสูงสง่าของสตรีถือหอกปรากฏขึ้น นัยน์ตาสีม่วงของนางฉายแววความประหลาดใจ
“ถูกต้อง”
อาไฉ่พยักหน้า
ก่อนหน้านี้ นางสังเกตว่าทุกแห่งที่นางไปเยือน สตรีถือหอกผู้นี้ก็จะปรากฏตัวขึ้นตามนาง
หลังจากติดตามกันไปตามกาล อาไฉ่ก็ค่อย ๆ พบว่าสตรีถือหอกหามีเจตนาร้ายไม่ นางจึงมิได้สนใจนัก
ยามนี้ สตรีถือหอกดูจะคาดเดาบางอย่าง และกล่าวว่า “เจ้า… อย่าบอกนะว่าอยากหลอมรวมเคล็ดพลังมหาวิถีอมตะของเจ้าลงในหินฮุ่นตุ้นรองรับวิถีนี้แล้วให้มันกับคนแซ่ซู?”
“ไม่ได้หรือไร?”
อาไฉ่เก็บหินฮุ่นตุ้นรองรับวิถีไปพลางกล่าวเสียงใส “ข้าบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าหลังเขตแดนสมรภูมิปรากฏ ข้าจะมอบของขวัญอันคาดไม่ถึงแก่สหายเต๋าซู และข้าจะมิผิดวาจา”
สตรีถือหอกตะลึงไปราวไม่อยากเชื่อ “แม่หนูน้อย เกรงว่าเจ้าจะไม่ได้บ้าใช่หรือไม่? เจ้ารู้ว่าจะเกิดสิ่งใดหากทำเช่นนี้หรือไม่?”
อาไฉ่หาสนใจไม่ “ข้ารู้ และไม่ต้องให้เจ้ามาย้ำกับข้า”
จากนั้น นางก็หันหลังจากไป
สตรีถือหอกรีบไล่ตามนางไป นัยน์ตาสีม่วงเปี่ยมความงุนงง “เพื่อการใด? อำนาจอมตะนั้นเป็นความสามารถโดยกำเนิดของเจ้า ไร้ผู้ใดชิงมันไปได้ แต่เมื่อเจ้าพยายามส่งเคล็ดพลังมหาวิถีเช่นนี้ออกไป ศักยภาพของเจ้าจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงนะ!”
มิต้องสงสัยเลยว่านางรู้รายละเอียดของจิตวิญญาณปฐมสวรรค์เช่น ‘หนอนไหมเซียนอมตะ’ เป็นอย่างดี!
เห็นได้ชัดว่าอาไฉ่มิอยากอธิบายเรื่องใดทั้งสิ้น
“ข้าไม่เข้าใจหรือ?”
สตรีถือหอกแย้มยิ้มบาง ๆ “ยายหนูโง่นี่ ข้าเกรงว่าคงถูกเจ้าคนแซ่ซูนั่นกล่อมจนทำเรื่องโง่เง่าเสียแล้ว!”
โลกนี้มีมหาวิถีมากมาย และมิต้องสงสัยเลยว่าอำนาจอมตะนั้นถือได้ว่าเป็นเคล็ดพลังมหาวิถีสูงสุดอย่างหนึ่ง
กล่าวได้กระทั่งว่าเป็นเคล็ดพลังต้องห้าม!
เหตุผลนั้นแสนง่าย การครอบครองมหาวิถีอมรณาไร้วันตายเช่นนี้ ต่อให้ถูกฆ่าก็ฟื้นคืนชีวิตได้!
ต่อให้เป็นเทพมาเผชิญก็ยังหวาดหวั่น!
อันที่จริง สตรีถือหอกรู้ว่าเมื่อเนิ่นนานมา ในหมู่ทวยเทพทั้งหลาย เคยมีเทพผู้หนึ่งถือครองอำนาจอมตะ มีนามว่า ‘เทพวิญญาณอมตะ’!
และแก่นแท้ของเทพวิญญาณอมตะก็มาจาก ‘หนอนไหมเซียนอมตะ’
ทว่าท้ายที่สุด ‘เทพวิญญาณอมตะ’ ผู้นั้นก็ตายลงอยู่ดี
เพราะเหตุที่เสียอำนาจอมตะไปนี้เอง ‘เทพวิญญาณอมตะ’ จึงสลายสิ้น
ยามนี้ เมื่ออาไฉ่ยินยอมให้ ‘อำนาจอมตะ’ ไปโดยหาลังเลไม่! ในสายตาสตรีถือหอก เรื่องนี้หาแตกต่างจากความบ้าคลั่งไม่!
“หรือว่า… เจ้าจะตกหลุมรักคนแซ่ซูผู้นั้น?”
ดวงตาของสตรีถือหอกดูพิกล มีเพียงสตรีในห้วงรักเท่านั้นที่จะหลงหน้ามืดตามัว!
สีหน้าของอาไฉ่แปรเปลี่ยน กล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าบอกแล้วไง เจ้าไม่เข้าใจหรอก!”
นางไม่คิดสนใจสตรีถือหอกไปมากกว่านี้ และสนใจเพียงเรื่องของตน
สตรีคือหอกเองก็มิได้กวนต่อ ทำเพียงติดตามราวเป็นเงา
……
ตรงหน้ายอดเขาตงเสวียน
ผู้คนมารวมตัวเป็นกลุ่มมหึมา
พวกเขาทั้งหลายจึงรีบร้อนมารวมตัวกันโดยพลัน
“ใต้เท้าอวี่เฉินเพิ่งออกจากการเก็บตัว เขาจะประกาศสงครามต่อซูอี้หรือ?”
“เป็นไปตามข้าคาด ไม่ว่าซูอี้ผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงไร ใต้เท้าอวี่เฉินก็จะมิหนี!”
“ศึกนี้กล่าวได้ว่าเจิดจรัสตลอดกาลนาน ไม่ว่าจักรดาราใดจะกำชัยก็ล้วนบังเกิดคลื่นสะท้านสะเทือนทั่วโลกาเป็นแน่แท้!”
…ขณะสนทนาหารือ คนทุกผู้ก็ปรากฏสีหน้าเฝ้ารอคอย
ฉินซู่ซินและเริ่นฉางชิงก็มาเช่นกัน
ผู้นำทั้งสองไม่อาจอยู่เฉยได้อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาล้วนอยากเป็นสักขีพยานแก่ศึกมหาวิถีอันมิเคยเกิดขึ้นนี้
ภายใต้ความสนใจของคนทุกผู้ สีหน้าของอวี่เฉินหามีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่
เขายืนอยู่ที่ตีนเขาตงเสวียน เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “อวี่เฉินจากจักรดาราเป่ยเยวียนมาหาสหายเต๋าซู!”
วาจานั้นกังวานเยี่ยงระฆังเช้าตรู่ฆ้องโมงยามดึก สะท้อนทั่วฟ้าดิน
เสียงของเหล่าผู้ชมถูกสะกดเงียบ
เก็บตัวอยู่?
เหล่าผู้ชมล้วนตะลึง รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
อุตส่าห์หมายมาดมา จะตัดความหวังกันเช่นนี้หรือ?
“ศิษย์พี่ของข้าเพิ่งออกจากการเก็บตัววันนี้ แต่ซูอี้ก็ไปเก็บตัวต่อ นี่บังเอิญจริง ๆ หรือ?”
เวินซิวจู่อดกล่าวไม่ได้
น้ำเสียงของนางเจือการตั้งคำถามและค่อนขอด
เซียนดาบชิงซื่อกล่าว “สหายเต๋าผิดแล้ว สหายเต๋าซูเก็บตัวไปตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว”
อวี่เฉินเอ่ยถาม “สหายเต๋าซูได้กล่าวไว้หรือไม่ว่าจะออกจากการเก็บตัวยามใด?”
เซียนดาบชิงซื่อกล่าวขึ้น “ข้าไม่รู้ แต่สหายเต๋าซูกล่าวไว้ว่าหากสหายเต๋าอวี่เฉินดึงดันจะสู้ ก็ขอให้รอก่อน”
อวี่เฉินครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาตงเสวียนพลางกล่าวว่า “สหายเต๋าซู ข้าจะรอเจ้าที่สนามเต๋าเสมอนะ”
กล่าวจบ ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ร่างของอวี่เฉินก็ปรากฏขึ้นข้างสนามเต๋า หาที่สุ่มนั่งลงขัดสมาธิ
สีหน้าของเขานิ่งเฉย ไร้ทุกข์สุขใด ๆ
ยอดฝีมือจากฝ่ายต่าง ๆ มองหน้ากัน เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกิดศึกอันมิเคยปรากฏขึ้นวันนี้
ไม่คาดเลยว่าซูอี้จะเก็บตัว ทิ้งอวี่เฉินไว้เช่นนั้น!
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็ดังขึ้น
“เจ้าอยากสู้กับคนแซ่ซูนั่นหรือ?”
สตรีถือหอกปรากฏขึ้นจากไกล ๆ ร่างอรชร ใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสำริด ดึงดูดความสนใจได้มากทันทีที่ปรากฏ
“ถูกต้อง”
ม่านตาของอวี่เฉินหดตัวเล็กน้อย ราวสัมผัสได้ว่าสตรีถือหอกผู้นี้หาธรรมดาไม่
“หาเรื่องใส่ตัว”
สตรีถือหอกส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าแนะนำนะ ทิ้งความคิดสู้กับเขาไปจะดีกว่า”
เหล่าผู้ชมล้วนฮือฮา สตรีผู้กล้าปฏิเสธความแข็งแกร่งของอวี่เฉินอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้คือใครกัน?
อวี่เฉินมิหวั่นไหว
“เพราะเจ้าแพ้แน่ และแพ้อย่างน่าเกลียดเสียด้วย”
สตรีถือหอกหาลังเลไม่
อวี่เฉิน “…”
เขาแย้มยิ้ม หาสนใจไม่
และไม่ได้กล่าววาจาอื่นใด
เวินซิวจู่อดกล่าวมิได้ “สตรีผู้นี้มิคิดว่ากล่าวเกินไปหน่อยหรือ?”
“กล่าวเกินไป?”
สตรีถือหอกกล่าว “ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น”
เวินซิวจู่เผยสีหน้ารำคาญ
สตรีถือหอกกล่าวอย่างสนใจ
“แน่สิ!”
เวินซิวจู่ชี้ไปยังสนามเต๋ามิห่างนัก “สามหาวนัก กล้าสู้กับข้าหรือไม่?”
“มิต้องยุ่งยากเพียงนั้นหรอก”
สตรีถือหอกกล่าวก่อนจะกดฝ่ามือไปบนอากาศ
หนึ่งตราประทับฝ่ามือปรกนภากดเข้าใส่เวินซิวจู่
ความเร็วหาสูงส่งไม่ เห็นได้ชัดว่ามอบโอกาสให้เวินซิวจู่ไหวตัวมากมาย
ทว่ายามเผชิญตราประทับฝ่ามือนี้ เวินซิวจู่ผู้เลิศล้ำจากจักรดาราเป่ยเยวียนกลับอดรู้สึกไร้ทางหนีมิได้
สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยน ขัดขืนอย่างสุดกำลัง
แต่กลับเหมือนตั๊กแตนขวางเกวียน!
เวินซิวจู่ชะงักค้างอย่างหวาดผวา
ตัวข้าไม่อาจหยุดได้แม้หนึ่งการโจมตีหรือ!?
เหล่าผู้ชมต่างเงียบวจี
ใครบ้างจะมิเห็นว่าหากฝ่ามือนี้ประทับลงมาเต็ม ๆ เวินซิวจู่ก็มีแต่ต้องตายตก?
สตรีในหน้ากากสำริดผู้นี้คือใครกัน?
ไฉนจึงร้ายกาจเพียงนี้?
คนทุกผู้ต่างตกตะลึง สายตาที่มองไปทางสตรีถือหอกต่างแปรเปลี่ยน
เริ่นฉางชิงและฉินซู่ซินอดตะลึงในใจมิได้ ยามใดกันที่มีตัวตนทรงอำนาจเช่นนี้ปรากฏขึ้นในสนามรบแรก?
“ตัวตนเช่นเจ้านับว่าอัศจรรย์ในแดนมนุษย์อย่างจริงแท้ แต่ก็แค่นั้นแหละ”
สตรีถือหอกออกความเห็นเสียงเรียบ
เวินซิวจู่วิญญาณหลุดลอย
ไม่ห่างไปนัก อวี่เฉินลุกขึ้นกล่าวอย่างสุขุม “ท่านเต็มใจสู้กับข้าหรือไม่?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ชมก็หันมองเป็นตาเดียว
คนทุกผู้เห็นได้ว่าเพราะเวินซิวจู่ปราชัย อวี่เฉินจึงดูเดือดดาล!
“เจ้าเองก็มิเชื่อหรือ?”
สตรีถือหอกกล่าว
อวี่เฉินมายังสนามเต๋า จากนั้นก็หันไปกล่าวกับสตรีถือหอกว่า “ขอท่านชี้แนะด้วย”
ชั่วขณะนั้น ทุกสายตาล้วนตึงเครียด
เหตุพลิกผันนี้เกินความคาดหมาย
ไร้ผู้ใดคาดว่าจะการประลองระหว่างซูอี้และอวี่เฉินจะมิเกิดในวันนี้ ทว่าการมาของสตรีลึกลับกลับกระตุ้นให้อวี่เฉินออกปากขอประลองเอง!
เริ่นฉางชิงอดถามมิได้
“ไม่เลย”
ฉินซู่ซินส่ายหัว
ผู้นำทั้งสองเองก็ประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของสตรีถือหอกเช่นกัน
เวินซิวจู่ไม่มีทางเป็นคนธรรมดา แต่กลับมิอาจหยุดการโจมตีของอีกฝ่ายได้ เพียงพอพิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งน่าสะพรึงกลัวเพียงไร
“ซูอี้คนเดียวก็เพิ่งสยบสนามรบแรกจนโงหัวไม่ขึ้นไป ยามนี้ ไฉนสตรีร้ายกาจเช่นนี้จึงปรากฏขึ้นได้?”
หัวใจของเริ่นฉางชิงปั่นป่วน
“ก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือสามกระบวน จะได้พ่ายอย่างเต็มหัวใจ!”
สตรีถือหอกก้าวสู่สนามเต๋า
ดวงตาสีม่วงของนางมองไปยังอวี่เฉิน “รีบลงมือเถิด”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนทุกผู้ก็แทบเชื่อหูตนไม่ลง สตรีผู้นี้… ไฉนจึงยังทะนงมิสร่าง?
สีหน้าของอวี่เฉินไร้ทุกข์สุข หาตกตะลึงไม่ มีเพียงส่วนลึกของนัยน์ตากระจ่างที่ปรากฏความจริงจังอย่างหาได้ยาก
ขณะเดียวกัน จิตต่อสู้ในใจก็ลุกโชนขึ้นโดยสมบูรณ์