บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 151 เป็นที่ต้องการของเหล่าชายหรือกลุ่มขุนศึก
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 151 เป็นที่ต้องการของเหล่าชายหรือกลุ่มขุนศึก
ซูอี้เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ที่นี่อันตรายนัก ไม่เหมาะให้คนธรรมดาอยู่ที่นี่”
ในอดีต ยามค่ำคืนอันมืดมิด เฝิงเสี่ยวเฟิงเคยดื่มกับเขาอยู่ที่นี่ ส่วนเฝิงเสี่ยวหรานจะเทน้ำชาใส่ถ้วยอยู่ข้าง ๆ อย่างเชื่อฟัง และหวงเฉียนจวินเป็นคนที่ทำให้บรรยากาศครื้นเครง
ช่างน่าเสียดาย หลังจากวันพรุ่งนี้ไป แม้แต่หวงเฉียนจวินก็แยกกับเขาแล้ว
เพราะเหตุใดกัน?
สถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้แต่ละคนแสวงหาไม่เหมือนกัน
เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้
ฉาจิ่นตกตะลึง ด้วยนางไม่คิดว่าสาเหตุที่ซูอี้คนที่เมินเฉยเย็นชาไม่จ้างบ่าวรับใช้ เป็นเพราะห่วงความปลอดภัยของคนธรรมดาเหล่านั้น!
คำตอบนี้กระแทกเข้าไปในใจ ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าตนรู้จักซูอี้มากขึ้นเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังมองไม่ออก ว่าแท้ที่จริงแล้ว… เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่?
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบโสมออกมาสองชิ้น พร้อมเอ่ยขึ้น “นำโสมหิมะนี่ไป จงใช้ตุ๋นเป็นซุป รอหวงเฉียนจวินกลับมา ให้เขาดื่ม”
เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไป
ฉาจิ่นอยากเอ่ยถามว่าวันนี้จะให้นางพักอยู่ที่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องกลืนวาจาลงไป
ในสายตาเขา ข้าเป็นแค่สาวรับใช้คนหนึ่ง ดังนั้นจะมาสนใจว่าจะค้างคืนอยู่ที่ไหนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ที่เขาไม่หื่นกระหายอยากให้ข้าไปปรนนิบัติรับใช้ยามค่ำคืนก็นับว่าดีมากแล้ว…
เมื่อนางนึกถึงตรงนี้ พลันใบหน้าที่สวยงามก็ร้อนเห่อขึ้นมา จากนั้นจึงหมุนตัวไปหาห้องครัว
“อืม ควรตุ๋นซุปอย่างไรดี…”
ฉาจิ่นกลัดกลุ้มเล็กน้อย นางมีคนคอยปรนนิบัติมาตั้งแต่เด็ก แม้จะแต่งเป็นคณิกาแอบเข้ามาภายในต่างแคว้นอย่างต้าโจว พวกเสื้อผ้าอาหารก็มีคนคอยนำมาให้ แล้วนางจะตุ๋นซุปเป็นได้อย่างไร
‘ก็แค่ตุ๋นซุปเท่านั้น จะยากยิ่งกว่าการฝึกบำเพ็ญเชียวหรือ? อีกอย่าง ซูอี้ไม่ได้เป็นคนดื่ม หากทำไม่อร่อยก็คงจะไม่เป็นไร…’ ฉาจิ่นแอบคิดขึ้นในใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องครัวมีกลิ่นไหม้ลอยออกมา… จากนั้นตามมาด้วยเสียงดังโครมราวกับมีสิ่งของระเบิด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ซูอี้รีบพุ่งออกมาทันที คิดว่ามีศัตรูบุกเข้ามา
แต่เมื่อเห็นภาพในห้องครัว มุมปากก็กระตุกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม
ท่ามกลางควันหนาทึบ เห็นเครื่องปั้นดินเผาอันหนึ่งแตกกระจายไปทั่ว โดยมีน้ำซุปหกกระจายไปรอบ ๆ
ฉาจิ่นทำคล้ายเด็กที่โดนจับได้ว่าทำผิด นางบีบชายเสื้อเอาไว้ และมีสีหน้าเหยเกขึ้นมา
ใบหน้าที่เดิมทีขาวสะอาดงดงามรมควันจนมีคราบสีเทา ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นควันไฟ ดวงตากลมโตที่สดใสเต็มไปด้วยความกังวลและเขินอายฉายชัด
“คุณชาย ข้า…”
ฉาจิ่นสับสนจนทำอะไรไม่ถูก แต่ขณะที่กำลังจะอธิบาย ซูอี้กลับส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าทำอะไรเลยดีกว่า ข้ากังวลว่าห้องครัวจะถูกเจ้าทำลายเอา”
จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ฉาจิ่นตกตะลึงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นนางก็กัดฟัน แค่ตุ๋นซุปเท่านั้นเอง ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะทำไม่ได้!
เพียงแต่ตอนนี้ นางไม่กล้าลองซ้ำสอง เพราะเกรงว่าจะรบกวนซูอี้อีก
เมื่อเดินออกมาจากห้องครัว ฉาจิ่นแทบไม่สนใจสิ่งอื่น อันดับแรกนางอยากจะล้างหน้าบ้วนปากก่อน แต่กลับทำตัวไม่ถูกเมื่อไม่รู้ว่าควรจะตักน้ำในบ่อน้ำอย่างไร
เมื่อลองแล้วหลายครั้ง ในที่สุดนางก็ตักน้ำขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก แต่จู่ ๆ ก็พบว่าตนไม่มีอะไรล้างชาดแต่งหน้าเลย….
“เป็นสาวใช้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ …” ฉาจิ่นฝืนยิ้ม ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่อธิบายไม่ได้พรั่งพรูอยู่ภายในใจ
“ข้าในอดีตมีชีวิตราบรื่นเกินไป แค่ชีวิตตกต่ำลง ก็พลันไม่อาจรับมือ มิน่าล่ะ ท่านอาจารย์ถึงได้พูดเสมอ มีเพียงฝึกฝนผ่านโลกอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะเข้าใจว่ามนุษย์มีหลากหลายรูปแบบมาก…”
ฉาจิ่นนั่งอยู่ในศาลาคนเดียว มองออกไปภายนอกอย่างเหม่อลอย
เวลาผ่านไปได้ไม่นาน
ณ ศาลาคลื่นซัดทราย
เมื่อหวงเฉียนจวินเดินออกไประเบียงหอ ก็มีสายลมเย็นพัดเข้ามา ทำให้ตัวสั่นไปทั่งร่าง
“น้องหวง เจ้าพอใจหรือไม่?” หยวนลั่วอวี่หัวเราะขณะเดินไปยืนข้าง ๆ พลางส่งสายตาหยอกล้อออกมา
หวงเฉียนจวินในตอนนี้ ให้ความรู้สึกอ่อนแรงเป็นอย่างมาก ใบหน้าขาวซีด ขอบตาดำคล้ำ บนลำคอยังมีร่องรอยริมฝีปากแดงสดเผยให้เห็น
เมื่อเขาเดิน ขาทั้งสองก็หยุดสั่นไม่ได้… ราวกับทำงานหนักเกินไปจนร่างกายหมดแรง
“ก็พอใช้ได้”
หวงเฉียนจวินสูดหายใจเข้าลึก แกล้งทำเป็นว่าสบาย “ก็แค่อีกหนึ่งคืนที่ต้องรับมือกับสาวงามทั้งสิบสามนางเท่านั้น”
หยวนลั่วอวี่ยกนิ้วโป้งขึ้นด้วยความยกย่อง “หากเป็นคนธรรมดา แค่คนเดียวก็อดกลั้นไม่ไหวแล้ว เห็นทีจะมีแต่น้องหวงที่มีความสามารถพิเศษโดดเด่นกว่าผู้ใด จึงสามารถกำราบเหล่าสาวงามได้ทุกรายไป …สมแล้วจริง ๆ นับถือ ๆ!”
หวงเฉียนจวินเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจนัก “พอแล้ว ข้ารู้ว่านายน้อยหยวนกำลังเห็นเป็นเรื่องตลก คืนนี้จึงได้ทรมานข้าจนกลายเป็นเช่นนี้ หยวนลั่วอวี่ ท่านโหดเหี้ยมจริง ๆ หากในอนาคตข้าไม่สนใจต่อผู้หญิงแล้ว ไม่แน่ข้าอาจจะมาคุยกับท่าน!”
หยวนลั่วอวี่เอ่ยอย่างระมัดระวังตัว “เจ้าเป็นเสมือนพี่น้องข้า ดังนั้นไม่ควรคิดเพ้อเจ้อต่อข้าเช่นนี้”
“ถุย!”
หวงเฉียนจวินกลอกตา “ใครจะคิดกัน ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นนั้นกับท่านแน่!”
ขณะที่กำลังเอ่ยอยู่ ขาของหวงเฉียนจวินโงนเงน เกือบล้มลง หยวนลั่วอวี่จึงต้องรีบเข้าไปประคอง ขณะที่เอ่ยขึ้น “น้องหวง ให้ข้าไปส่งเจ้ากลับบ้านดีกว่า”
เมื่อเอ่ยจบ พวกเขาก็เดินออกไป
“ใช่แล้ว พี่ซูเขา…” จู่ ๆ หวงเฉียนจวินก็นึกถึงซูอี้ขึ้นมาได้
“ข้าถามนายหญิงฟ่างซิวแล้ว คุณชายซูแย่งสตรีจากองค์ชายหก และเหมือนจะหลงใหลในตัวฉาจิ่นอย่างมาก”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หยวนลั่วอวี่ก็เกิดรู้สึกชื่นชมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ดูคุณชายซูสิ แม้แต่ผู้หญิงที่องค์ชายหกพึงพอใจก็กล้าแย่งมาได้ ช่างแข็งแกร่งจริง ๆ!
“เป็นไปไม่ได้หรอก!”
หวงเฉียนจวินงงงัน พี่ซูจะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร เขามาเพื่อแก้แค้นสิถึงจะถูก
“ทำไมจะไม่ใช่เล่า? คุณชายซูพาฉาจิ่นไปแล้ว และต่อจากนี้นางคงกลายเป็นผู้หญิงข้างกายคุณชายซูไปแล้ว”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หยวนลั่วอวี่จึงเอ่ยเตือนขึ้น “น้องหวง เจ้าต้องจำเอาไว้ อย่าได้คิดอะไรกับแม่นางฉาจิ่น เรื่องความสวยของสตรี… ก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวงมานักต่อนัก อะไรคือนารีเป็นเหตุ เจ้าคงจะเข้าใจมากกว่าข้า”
“พอแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปสมัครเข้าร่วมเป็นทหารแล้ว จะมีใจไปคิดเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?” หวงเฉียนจวินเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจมากนัก
ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมเพิ่มเติมหลังคล้ายนึกอะไรได้ “นายน้อยหยวน ข้าไม่นึกเลยว่าท่านจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้ จากนี้ไปหากเราสองพี่น้องมารวมตัวกันอีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเชิญท่านมาสนุกด้วยกัน”
หยวนลั่วอวี่ยิ้มตาหยีพร้อมเอ่ยขึ้น “รอคำพูดนี้ของเจ้าอยู่เลย”
ทั้งสองกอดคอกัน ถึงจะไม่ใช่พี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์ก็ดีกว่าพี่น้องนัก
มิตรภาพระหว่างผู้ชาย ก็ง่ายเช่นนี้แหละ
เมื่อเดินออกมาจากศาลาคลื่นซัดทราย หยวนลั่วอวี่ก็ขับรถม้า พาหวงเฉียนจวินกลับตรอกน้ำเต้า จนกระทั่งพาหวงเฉียนจวินมาส่งถึงด้านหน้าเรือนเงียบสุขสงบ หยวนลั่วอวี่ถึงได้บอกลาและกลับไป
กลางดึกที่เงียบสงัด สายลมเย็นที่พัดผ่านมา
หวงเฉียนจวินสร่างเมาไปมากกว่าครึ่ง เคาะประตูลานหน้าบ้านเบา ๆ ด้วยความระมัดระวัง “พี่ซู ข้ากลับมาแล้ว หากท่านไม่สะดวก ข้าสามารถข้ามกำแพงได้…”
แกรก แอ๊ด
ประตูบ้านเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าน่ารักที่เปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น
หวงเฉียนจวินตกใจ เมื่อมองออกว่าเป็นฉาจิ่น เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนเอ่ยขึ้น “เป็นแม่นางฉาจิ่นนี่เอง เจ้าไม่ได้อยู่ข้างกายพี่ซูหรือ?”
เดิมทีเขายังคิดว่าฉาจิ่นน่าจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มให้ความอบอุ่นแก่ซูอี้ แต่ใครจะคิด ว่าเรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ในที่สุดคุณชายหวงก็กลับมาแล้ว” ฉาจิ่นชำเลืองมองหวงเฉียนจวินและเอ่ยขึ้น “ข้ามีเรื่องอยากจะขอคำชี้แนะจากท่าน”
หวงเฉียนจวินจึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยไม่บังอาจชี้แนะ มีเรื่องอะไรเชิญท่านพูดมา”
เขานึกถึงคำเตือนของหยวนลั่วอวี่ขึ้นมา จึงทำเหมือนฉาจิ่นเป็นผู้หญิงของซูอี้ พร้อมกับเปลี่ยนคำพูดให้สุภาพและให้เกียรติมากขึ้น
“คุณชายหวงคิดมากไปแล้ว ข้าในตอนนี้เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง ต้องซักผ้าพับผ่อน ชงชาตักน้ำ ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดลานบ้าน… กล่าวคือ หลังจากวันนี้ไป เรื่องจุกจิกทั้งหมดข้าจะเป็นคนทำ” ฉาจิ่นเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ถึงหวงเฉียนจวินจะดูเกรงอกเกรงใจ แต่นางไม่กล้ายอมรับอย่างไร้กังวลได้
“สาวใช้? พูดตามตรง เป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่สามารถเป็นสาวรับใช้ของพี่ซูได้” หวงเฉียนจวินหัวเราะเสียงดัง
เขาจะให้ฉาจิ่นเป็นสาวรับใช้ได้อย่างไร สรุปแล้วนางเป็นผู้หญิงข้างกายพี่ซูก็ถูกต้องแล้ว
“โชคดี? เช่นนั้นท่านคงไม่รู้ว่าเหตุใดข้าจึงยอมจำนน” ฉาจิ่นรู้สึกเศร้าซึมอยู่ภายในใจครู่หนึ่ง
จากนั้น นางก็เชิญหวงเฉียนจวินเข้ามาลานบ้าน พร้อมกับสอบถามเรื่องต่าง ๆ
เช่นอุปกรณ์ล้างหน้าทำความสะอาดอยู่ที่ใด แล้วนางควรจะพักอยู่ในห้องไหน อาหารในทุก ๆ วันจะจัดการอย่างไร และอื่น ๆ
หวงเฉียนจวินอดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ นี่พี่ซูให้ผู้หญิงที่อ่อนหวานเช่นนี้เป็นบ่าวรับใช้จริง ๆ หรือ?
“กิริยามารยาทอ่อนช้อยเช่นนี้ ย่อมไม่แปลกที่ใครหลายต่างปรารถนาในตัวนาง!!”
หวงเฉียนจวินรู้สึกทึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจ ว่าเหตุใดแม้แต่พี่ซูก็ไม่อาจอดใจไหว!
…..
เช้าตรู่วันถัดมา
จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง และจางอี้เหรินนำคนกลุ่มหนึ่งออกเดินทางจากสำนักดาบชิงเหอมุ่งตรงไปยังเรือนเงียบสุขสงบ
“จวิ้นอ๋องจะพาพวกเราไปที่ใดกัน?” ระหว่างทาง หลี่โม่อวิ๋นถามสหายที่อยู่ด้านข้างอย่างอดทนไม่ไหว
“ว่ากันว่าจะไปอำลาบุคคลที่มีชื่อเสียงโดดเด่นท่านหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นนั้น ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก” ชายหนุ่มที่สง่าผ่าเผยคนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำขึ้น
“สามารถทำให้จวิ้นอ๋องไปอำลาด้วยตัวเองได้ ควรจะเป็นคนมีฝีมือเช่นไรกัน?”
“จะต้องเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงในมหานครอวิ๋นเหอแน่”
พวกชายหนุ่มประมาณเจ็ดแปดคนเหล่านั้น เป็นบุคคลมากความสามารถซึ่งถูกเฉินเจิ้งเลือกให้เดินทางไปหุบเขามารบุปผาโลหิตกับเขาในครั้งนี้
‘ชายผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง…’
หลี่โม่อวิ๋นเอ่ยขึ้นในใจ ในมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้ นอกจากผู้ถืออำนาจควบคุมกองกำลังทั้งสี่ เกรงว่าจะไม่มีใครสมควรให้จวิ้นอ๋องไปอำลาด้วยตัวเองได้
“ครั้งนี้เดินทางไปยังกองทัพเกราะเขียว ข้าต้องยืนหยัดพยายามสร้างผลงานให้ได้! หลังจากนี้เมื่อกลับมหานครอวิ๋นเหอแล้ว พวกคนมีอำนาจเหล่านั้น ใครจะกล้าดูถูกข้าอีก?”
หนีเฮ่าคิดเงียบ ๆ ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต!
แม้สตรีจะสมัครเข้าร่วมกองทหารน้อยมาก แต่นับเป็นเรื่องดี ด้วยมันย่อมดึงความสนใจจากคนมีชื่อเสียงได้ง่าย อาศัยอุบายของข้า เหตุใดจะผูกมิตรกับคนใหญ่คนโตในกองทัพไม่ได้เล่า? อย่างที่ว่าเอาไว้… ฟ้ากว้างใหญ่เป็นพื้นที่สำหรับนกบิน เมื่อมีโอกาสในครั้งนี้ โชคชะตาของข้าก็จะเปลี่ยนไปด้วย!
หนานอิ่งนึกลำพองอยู่ภายในใจ
ครั้งนี้ศิษย์ภายในสำนักดาบชิงเหอถูกจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเลือกมาแค่เจ็ดแปดคน และนางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ถูกเลือกอยู่ในนั้น!
สำหรับพวกคนที่ฝึกขอบเขตโคจรโลหิตเหล่านั้น จากนี้หากอยากจะก้าวไปในระดับที่สูงขึ้น ก็มีเพียงแค่สองทางเลือก
…ถ้าไม่ผ่านการคัดเลือกหรือการทดสอบเข้าไปฝึกในตำหนักเทียนหยวน
ก็ต้องสมัครเข้าร่วมเป็นทหาร
ซึ่งสาเหตุนั้นง่ายมาก แม้สำนักดาบชิงเหอจะแข็งแกร่งมาก แต่ทว่าขาดแคลนวิธีการบำเพ็ญและทรัพยากร
ด้วยเหตุนี้ เมื่อฝึกฝนไปถึงขอบเขตโคจรโลหิตขั้นปลาย ใคร ๆ ก็ต้องคำนึงถึงอนาคต
สำหรับพวกเขา หลี่โม่อวิ๋น หนีเฮ่า และหนานอิ่งแล้ว การถูกจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้งเลือกในครั้งนี้ ก็เสมือนดั่งหลีฮื้อกระโดดผ่านประตูมังกร*[1] มีโอกาสที่จะพัฒนาการต่อสู้ไปอีกก้าวหนึ่ง!
[1] หลีฮื้อกระโดดผ่านประตูมังกร หมายถึงคนที่มีความพยายามจนประสบผลสำเร็จ