บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1510: เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ตอนที่ 1510: เหนือฟ้ายังมีฟ้า
ในบริเวณสนามเต๋า
สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังอวี่เฉินกับสตรีถือหอก
“ข้าไม่ยอมแพ้หรอก แต่ข้าอยากจะแพ้”
ยามกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของอวี่เฉินกระจ่างแจ้ง
ปราณของเขาเรียบง่ายเยี่ยงหยก สุขุมดุจวายุโชย
ทว่าเมื่อลั่นวจี แสงสีครามสายหนึ่งก็ทะยานขึ้นรอบกายเขา สลายมวลเมฆทั่วทศทิศ
ตู้ม!
ท้องนภาสะเทือนสั่น ตะวันจันทราดับรัศมี
อำนาจของอวี่เฉินยามนี้ทะยานสูงจนน่าสะพรึง สะท้านทั่วทั้งฟ้าดิน
“ปราณวิญญาณเซียน…”
ฉินซู่ซินลอบรำพึง ตระหนักว่านางถูกอวี่เฉินทิ้งห่างในวิถีเต๋าไปเสียแล้ว
‘มิอาจทราบได้เลยว่าสตรีผู้นั้นจะตอบโต้เช่นไร’
เริ่นฉางชิงคิดในใจ
“เป็นเรื่องของข้าที่จะมอบโอกาสหรือไม่ เว้นแต่เจ้าจะบีบให้ข้าลงมือได้”
สตรีถือหอกกล่าวราบเรียบ
ทุกผู้ “…”
อวี่เฉินไม่มากความอีก เขาโจมตีทันที
ตู้ม!
เขาก้าวยาว ๆ ไปบนอากาศ ฝ่ามือประทับตรา บงกชครามเฉิดฉายนับไม่ถ้วนโปรยปรายจากนภา และภายในนั้นก็มีปราณดาบนับไม่ถ้วนทะลวงสาด
งดงามสุดขีด ทว่าก็อันตรายสุดขั้ว!
ทว่าสตรีถือหอกยังคงยืนนิ่ง ปราณรอบกายปะทุขึ้น ขณะปราณดาบจากสรวงถูกสลายไปก่อนจะถึงตัวนางอย่างง่ายดาย
เหล่าผู้ชมตะลึงค้าง
“แม้วิชาดาบเช่นนี้จะทรงพลัง แต่ก็มีดีเพียงฉูดฉาดสวยงาม เผยฝีมือแท้จริงของเจ้าออกมาเสีย อย่าให้ข้าต้องดูถูกเจ้าเลย”
สตรีถือหอกกล่าวเรียบ ๆ
“ได้!”
อวี่เฉินสูดหายใจลึก ๆ ร่างของเขาระเบิดจิตต่อสู้ ดูราวกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกเผยจากฝัก คมกริบทะลวงท้องนภากว้าง!
ดวงตาของเหล่าผู้ชมเจ็บแปลบ หัวใจเต้นระรัว
จากนั้นอวี่เฉินก็กระโจนเข้าโจมตี
ตู้ม!
ดาบเล่มนี้ร้ายกาจยิ่งนัก
เพียงมองจากไกล ๆ ก็ให้ความรู้สึกราวได้พบกับเทพใช้ธารดาราเก้าสวรรค์ดุจดาบ ฟาดฟันลงมาสู่โลกหล้า
ล้ำลึก!
สตรีถือหอกหาขยับตัวไม่ กระทั่งจะกะพริบตายังมิทำ
จนกระทั่งเมื่อดาบเล่มนั้นใกล้เข้ามา นางก็เอื้อมมือออกไปคว้า
ปราณดาบเก้าฉื่อสายนั้นเป็นเช่นงูที่ถูกคว้าจุดตาย แน่นิ่งอยู่ในมือสตรีถือหอก มิอาจขยับได้อีกแม้เพียงนิด!
“นี่…”
เหล่าผู้ชมเงียบสงัดด้วยความตะลึงอึ้ง
“ดาบเล่มนี้ก็น่าสนใจเพียงเล็กน้อย แต่น่าเสียดาย หากเจ้าอยากทำให้ข้าสั่นคลอนล่ะก็ ยังห่างไกลนัก”
สตรีถือหอกรำพันอย่างเสียดาย
ขณะเดียวกันนั้น ปราณดาบเก้าฉื่อก็แหลกสลายหายไปจากมือข้างนั้น
เขาก้าวมาเบื้องหน้าโดยไร้วาจา
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
อำนาจในกายของเขาทะยานสูงขึ้นทุกย่างก้าว ฟ้าดินสะเทือนไหวอย่างรุนแรง
แดนดินในบริเวณนั้นเต็มไปด้วยภาวะดาบร้ายกาจอันสั่งสมมากขึ้นเรื่อย ๆ!
“อวี่เฉินจะทุ่มโจมตีสุดตัวหรือไม่?”
หัวใจของฉินซู่ซินสะท้าน “ทว่าหากเป็นข้า ข้าทำแน่ สตรีลึกลับผู้นี้ร้ายกาจจริงแท้…”
“หากการโจมตีนี้ยังสะท้านถึงสตรีผู้นั้นมิได้ เกรงว่าอวี่เฉินจะปราชัยก็วันนี้!”
เริ่นฉางชิงดูเคร่งขรึม
ยามนี้ อวี่เฉินเยื้องย่างถึงก้าวที่เก้า ซึ่งห่างจากสตรีถือหอกเพียงเก้าจั้ง
อำนาจซึ่งรวบรวมอยู่บนร่างของชายหนุ่มทะยานถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ สะท้านไหวไปทั่วทั้งฟ้าดิน
อำนาจของผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียนผู้นี้กลบรัศมีของเหล่าผู้ชมจากระยะไกลได้
แม้กระทั่งเริ่นฉางชิงกับฉินซู่ซินยังละอายต่อตน!
“สะบั้น!”
เพียงกล่าวเบา ๆ มือของอวี่เฉินก็เหมือนจับดาบฟาดลงบนอากาศอย่างรุนแรง
ตู้ม!!
หนึ่งปราณดาบทะยานสู่เวหา
ดาบเล่มนี้เปี่ยมด้วยเคล็ดพลังมหาวิถีอันมิอาจอธิบาย เป็นการโจมตีที่ภาคภูมิและทรงพลังที่สุดของอวี่เฉิน
เมื่อดาบเล่มนี้ถูกฟันออกไป พลังปราณและจิตวิญญาณทั่วร่างของเขาก็สั่นพ้อง หัวใจเกิดความมั่นใจยิ่งกว่ายามใด
ต่อให้เซียนอยู่ตรงหน้าก็หยุดดาบนี้มิได้!
เมื่อเผชิญกับดาบนี้ ดวงตาของสตรีถือหอกก็ปรากฏความประหลาดใจ
เสียงปะทะสะเทือนโลกาดังก้องขึ้น
แดนดินในสนามเต๋าแรกเยือนแหลกสลาย อำนาจทำลายล้างเกรี้ยวกราดพลันขยายออกจากจุดปะทะของทั้งสอง
ทัศนวิสัยของผู้คนมากมายขาวโพลน มิอาจมองเห็นสิ่งใด
มีเพียงคนส่วนน้อยเช่นเริ่นฉางชิง ฉินซู่ซิน เวินซิวจู่และคนอื่น ๆ เท่านั้นที่เห็นว่าดาบของอวี่เฉินนั้นสลายไปด้วยหมัดของสตรีถือหอก
และร่างของหญิงสาวก็สะท้านเพียงครู่เดียวเท่านั้น อาภรณ์ของนางกระพือไหว
แต่ไม่ได้ก้าวถอยสักก้าว!
ยืนนิ่งดุจขุนเขาที่มิอาจทำลาย!
สิ่งนี้ทำให้เริ่นฉางชิงและคนอื่น ๆ ตะลึงค้าง หัวใจเต้นระทึกขึ้น ดาบอันสะเทือนโลกาถูกลบล้างไปเช่นนี้หรือ?
อวี่เฉินเองก็ตกตะลึง ยากจะเชื่อลง
ขณะที่กลุ่มควันสลายตัว เสียงของสตรีถือหอกก็ดังขึ้น
คำประเมินดังกล่าวดังกังวานถ้วนทั่ว ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา
ยามนี้ ผู้คนก็ได้เห็นชัดเจนว่าดาบเล่มนี้ของอวี่เฉินก็ยังมิอาจสั่นคลอนสตรีลึกลับได้!
“ในเมื่อไม่อาจให้ท่านขยับเขยื้อน ดาบนี้ก็มิควรค่าให้พูดถึงเลย”
อวี่เฉินส่ายหน้า
สีหน้าของเขาหามีความหดหู่ไม่ ทว่ากลับเผยท่าทีเฝ้ารอ ดวงตาคุโชนด้วยจิตต่อสู้
“โปรดลงมือให้ข้าพ่ายแพ้อย่างเต็มหัวใจเถิด!”
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม
สตรีถือหอกแย้มยิ้ม “จิตใจของเจ้าถูกขัดเกลามาดี เจ้าจะได้เป็นสุดยอดอาวุธในภายหน้าแน่”
กล่าวจบ ร่างของนางพลันหายไป
อึดใจต่อมา หมัดขาวกระจ่างเยี่ยงหิมะก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของอวี่เฉิน ฟาดลงมาอย่างรุนแรง
ท่ามกลางเสียงสะเทือนจิต ร่างของอวี่เฉินถูกซัดออกมานอกสนามเต๋าทันที
ทุกผู้ “???”
เพียงหนึ่งหมัดก็ปราบอวี่เฉินได้?
ยามนี้ บรรยากาศเงียบงันวังเวงอย่างน่าประหลาด ผู้คนมากมายกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
เส้นผมของอวี่เฉินสยายกระเซิง และบนบ่าของเขาปรากฏรอยหมัดบุ๋มลงไป โลหิตหลั่งไหล
เขาลุกขึ้น ยากซ่อนสีหน้าได้
หนึ่งหมัดก็ปราบเขาลงได้?
แม้สภาพจิตใจจะถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งยิ่ง เขาก็ยังอดหวั่นไหวพรั่นพรึงมิได้ ณ ยามนี้!
ในสนามเต๋า สตรีถือหอกปรบมือเปาะแปะ “หากเจ้ามีโอกาสได้รู้ว่าข้าคือใครในภายหน้า เจ้าจะรู้เองว่าการปราชัยด้วยมือข้าในวันนี้เป็นเกียรติเพียงใด”
หลังจากกล่าววาจานั้น นางก็เดินลงจากสนามเต๋า
การประลองครั้งนี้มิใช่ศึกมหาวิถีอย่างแท้จริงเลยสักนิด เพราะแต่ต้นจนจบ สตรีถือหอกผู้นี้มิได้เผยอำนาจแท้จริงก็เอาชนะอวี่เฉินได้แล้ว!
นี่คือเหตุผลที่มันประหลาดนัก
ต้องทราบว่าอวี่เฉินคือผู้นำจักรดาราเป่ยเยวียน ยามเลื่อนขั้นพลังในวันนี้ เขากระทั่งกระตุ้นนิมิตทั่วทั้งฟ้าดิน ขอเพียงถึงกาล เขาก็จะก้าวสู่วิถีเซียนได้ทุกเมื่อ!
ทว่าเมื่อเผชิญกับสตรีถือหอก อวี่เฉิน… กลับพ่ายแพ้ยับเยิน!
“ก่อนหน้านี้ ท่านกล่าวว่าศิษย์พี่อวี่เฉินของข้าไม่ใช่คู่มือของซูอี้ผู้นั้น หรือท่านจะปราบซูอี้มาแล้วหรือ?”
เวินซิวจู่โพล่งถามขึ้น
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว มันก็เป็นที่สนใจอย่างมหาศาลทันที
ร่างของสตรีถือหอกชะงัก แววตาของนางปรากฏเค้าความละอาย
หากไม่พูดถึงก็ดีไป แต่เมื่อมีผู้กล่าวถึงเรื่องนี้ มันก็ทำให้นางขุ่นเคืองราวถูกทาเกลือบนแผลสด
ขณะนั้นเอง เสียงเสสรวลกระจ่างใสหนึ่งก็ดังขึ้น “นางน่ะนะ เป็นขุนพลพ่ายศึกของสหายเต๋าซูต่างหาก!”
สตรีถือหอก “…”
นางพลันรู้สึกอับอาย กระโจนเข้าคว้าแขนอาไฉ่แล้วรีบร้อนจากไปโดยไม่ทิ้งวาจา
ทุกผู้ “…”
ฟ้าดินเงียบสงัด ทศทิศสิ้นวจี
วายุเองก็ดูนิ่งสนิท
วาจาของอาไฉ่นั้นไม่ต่างจากการโจมตีจุดตาย ล้มล้างความรู้ความเข้าใจ ความคาดหวังใด ๆ ของทุกผู้คน และยังนำมาซึ่งความตกตะลึงยิ่งกว่ายามใด!
เนิ่นนานจากนั้น ผู้คนก็ค่อย ๆ ทยอยคืนสติ และจากนั้นความเงียบก็พลันมลาย เกิดเป็นเสียงเซ็งแซ่เยี่ยงหม้อระเบิด
“ตัวตนร้ายกาจผู้นั้น ไม่คิดเลยว่า…จะเป็นขุนพลพ่ายศึกของสหายเต๋าซูไปได้?”
ผู้คนตกตะลึง
ทุกผู้รู้ดีว่านั่นหมายความเช่นไร
และสตรีลึกลับผู้นั้นก็เป็นขุนพลพ่ายศึกของซูอี้
ใครเล่าจะไม่รู้ว่าหากอวี่เฉินและซูอี้ประชันกันวันนี้ เขาก็มีแต่จะแพ้?
ไม่สิ เกรงว่าจะรับหนึ่งดาบยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป!
ผู้คนจำได้ชัดเจนว่ายามอวี่เฉินท้าประลองกับชายหนุ่ม อีกฝ่ายเคยบอกว่าหากหยุดดาบหนึ่งได้ อวี่เฉินก็จะมีคุณสมบัติให้สู้กันได้!
ยามนั้น ทุกผู้รู้สึกว่าวาจาของซูอี้เย่อหยิ่งเกินไป หามีผู้ใส่ใจจริงจังไม่
ทว่ายามนี้…
ไม่มีผู้ใดกล่าวได้ว่ามันผิด!
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ…”
ดวงตาของเวินซิวจู่เลื่อนลอยราวกับวิญญาณละล่องจาก
ความจริงนี้ทำให้นางไม่อาจรับไหว ร่างกายถึงกับโอนเอนแทบล้ม
เริ่นฉางชิงตะลึง
เขาพลันรู้สึกว่าการที่เขามิอาจรับดาบของซูอี้ได้… ดูจะมิใช่เรื่องน่าอาย
“เช่นนั้น เขาแข็งแกร่งเพียงไรกัน?”
ฉินซู่ซินมองไปยังยอดเขาตงเสวียนโดยมิรู้ตน
แม้ซูอี้จะมิปรากฏตัวในวันนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ผลักดันเกียรติภูมิของเขาสู่จุดสูงส่งเหนือยามใด!
อวี่เฉินเงียบไป
มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าการที่สตรีถือหอกผู้นั้นพ่ายแพ้ต่อซูอี้หมายความว่าอย่างไร?
“มิน่าเล่า เขาจึงปฏิเสธจะสู้กับข้าเมื่อกาลก่อน เขามิได้ดูแคลนข้า ทว่า… หามีข้าในสายตาไม่…”
“ไม่สิ มิใช่ว่าเมินข้า แต่ในสายตาเขา ข้านั้นมิคู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย…”
อวี่เฉินอดยิ้มขมขื่นยามคิดเช่นนี้มิได้ เขาเพิ่งตระหนักว่าคำท้าดวลก่อนหน้านี้น่าขันเพียงไร
ฉินซู่ซินมองไปยังยอดเขาตงเสวียนโดยมิรู้ตน
แม้ซูอี้จะมิปรากฏตัวในวันนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ผลักดันเกียรติภูมิของเขาสู่จุดสูงส่งเหนือยามใด!
อวี่เฉินเงียบไป
มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าการที่สตรีถือหอกผู้นั้นพ่ายแพ้ต่อซูอี้หมายความว่าอย่างไร?
“มิน่าเล่า เขาจึงปฏิเสธจะสู้กับข้าเมื่อกาลก่อน เขามิได้ดูแคลนข้า ทว่า… หามีข้าในสายตาไม่…”
“ไม่สิ มิใช่ว่าเมินข้า แต่ในสายตาเขา ข้านั้นมิคู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย…”
อวี่เฉินอดยิ้มขมขื่นยามคิดเช่นนี้มิได้ เขาเพิ่งตระหนักว่าคำท้าดวลก่อนหน้านี้น่าขันเพียงไร
“ทว่าความปราชัยนี้ ข้าเชื่อ!”
อวี่เฉินสูดหายใจลึก ๆ ดวงตาเรืองประกาย
มีเพียงยามปราชัย จึงได้รู้ว่าตนบกพร่องเช่นไร
และนี่คือสิ่งที่อวี่เฉินยินดีจะได้พานพบ
นี่คือความหมายของศึกดวลมหาวิถี
‘หนทางยังอีกยาวไกล ข้ายังมีโอกาสทวงชัยคืน!’
อวี่เฉินพึมพำในใจ
ขณะครุ่นคิด เขาก็หวนคืนสู่ยอดเขาเป่ยเยวียน
ศึกวันนี้ส่งผลต่อเขาอย่างมาก และต้องตั้งใจวิเคราะห์เกี่ยวกับมัน
ส่วนเรื่องเกียรติภูมิของเขาที่เสียไปนั้น อวี่เฉินหาใส่ใจไม่
มันเป็นเพียงชื่อเสียงเลื่อนลอยเท่านั้น