บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1512: แท่นแปรเซียน
ตอนที่ 1512: แท่นแปรเซียน
สุดวิถีแรกเยือนนั้นอยู่เหนือท้องนภาขึ้นไป
มันเป็นเขตแดนว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
มีเพียงหนึ่งแดนดินลอยอยู่ในนั้นเยี่ยงแท่นหยก
แท่นแปรเซียน!
ปราณเซียนอบอวลเยี่ยงหมอกเหนือนภาโอบล้อมแท่นแปรเซียน ทำให้มันดูลี้ลับเหนือธรรมดา
ไม่นานนัก ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงก่อน
“แท่นแปรเซียน! สถานที่อันอยู่ใกล้กับโลกเซียนที่สุด! ลือกันว่าที่นี่มอบปราณวิญญาณเซียนให้ดูดซับตามเกียรติประวัติของแต่ละคน!”
บางผู้ตื่นเต้นเสียจนเสียงสั่น
ปราณวิญญาณเซียนนั้นกำเนิดขึ้นจากอำนาจที่มาแห่งวิถีเซียน ยิ่งผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติมงคลดูดซับปราณวิญญาณเซียนได้มากเพียงใด รากฐานมหาวิถีอันก่อเกิดยามบรรลุเซียนก็ยิ่งหนาแน่น!
แท่นแปรเซียนนี้ใหญ่โตราวเกาะลอยฟ้า ทั่วแดนดินเปี่ยมด้วยปราณวิญญาณเซียน และเมื่อโคจรการฝึกฝน ปราณวิญญาณเซียนนั้นก็พลันหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย
“รีบไปเพื่อการใดกัน ปราณวิญญาณเซียนนี้เบาบางนัก ยามประตูสู่โลกเซียนเปิดออกโน่นจึงมีปราณวิญญาณเซียนยิ่งใหญ่สาดลงมา”
บางผู้เลือกที่รอเงียบ ๆ อย่างไร้แยแส
เมื่อกาลผ่านไป ผู้ฝึกตนก็ทยอยกันมาถึงแท่นแปรเปลี่ยนผ่านวิถีแรกเยือนตาม ๆ กัน
อวี่เฉิน เวินซิวจู่ ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิงและคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในหมู่คนเหล่านั้นด้วย
แท่นแปรเซียนค่อย ๆ ปรากฏชีวิตชีวา
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ล้วนรวมตัวกับคนจากฝ่ายเดียวกัน
จนกระทั่งซูอี้กับเซียนดาบชิงซื่อมาถึง พวกเขาพลันพบว่าเมื่อรวมพวกตนเข้าไป คนจากจักรดาราตงเสวียนมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น!
ในหมู่คนเหล่านั้น มีคนรู้จักอยู่เพียงสอง นั่นคือหลีจงและจอมภูตมู่หลิง
ขณะเดียวกัน จักรดาราอีกสามแห่งอย่างน้อยก็มีกันห้าสิบกว่าคน และจักรดาราเป่ยเยวียนซึ่งมีจำนวนมากที่สุดก็มีเป็นร้อย!
ต่อให้ซูอี้อยู่เพียงลำพัง ขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นก็ไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้
ทว่านอกจากเขา เทียบกับฝ่ายอื่น ๆ แล้ว ความแข็งแกร่งโดยรวมของเหล่ายอดฝีมือจากจักรดาราตงเสวียนนั้นแตกต่างจากฝ่ายอื่นอย่างใหญ่หลวงจริง ๆ
เมื่อเหล่ายอดฝีมือจากฝ่ายอื่น ๆ เห็นซูอี้ปรากฏตัวขึ้นในยามนี้ พวกเขาก็ล้วนเผยความพรั่นพรึง มิกล้ากระทั่งจะมองตาชายหนุ่ม!
ทว่าน่าแปลกใจที่อวี่เฉินชิงกล่าวทักทายขึ้นก่อน “สหายเต๋าซู สหายผู้นั้นของเจ้าไม่มาด้วยหรือ?”
ซูอี้นิ่งไป ก่อนจะตระหนักว่าอวี่เฉินกำลังพูดถึงสตรีถือหอก
ซูอี้ว่า “นางมีวิธีการไปโลกเซียนในแบบของนางอยู่”
อวี่เฉินพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง”
เขาดูจะเห็นว่าซูอี้ไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ จึงมิกล่าวอันใดอีก
ซูอี้ไม่ชอบพูดคุยเรื่อยเปื่อย จากนั้นเขาก็พาเซียนดาบชิงซื่อไปหาที่ว่าง ๆ แล้วนำเก้าอี้หวายออกมานั่งเอกเขนก ก่อนจะนำไหสุราออกมาดื่ม
นี่คือแท่นแปรเซียน ประตูสู่โลกเซียนกำลังจะเปิดออกในไม่ช้า ซึ่งเป็นโอกาสบรรลุเซียนอันเฝ้าฝันสำหรับตัวตนขอบเขตจุติมงคล ใครเล่าจะมิตื่นเต้น?
ทว่าชายหนุ่มกลับเฉื่อยชาราวกับไปเยือนสวนหลังบ้านตน
มีเพียงเซียนดาบชิงซื่อผู้เดียวที่ชินชา
นี่คือซูอี้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็มิเคยใส่ใจสิ่งอื่นใด
“บรรพชนของข้าบอกว่า แม้การบรรลุเซียนจะเป็นเรื่องดี แต่ยามไปถึงโลกเซียน ทุกอย่างจะเหมือนหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นการฝึกฝน ต้องทำตัวเงียบ ๆ ทิ้งความยโสของตนเองไป”
บางผู้พึมพำ
วาจาของเขาโดนใจผู้คนมากมาย
การบรรลุเซียนนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นวิถีเซียนเท่านั้น!
“กล่าวกันว่าในโลกเซียนประกอบด้วยสี่สิบเก้าทวีป แต่ละทวีปมีเขตแดนไพศาลไกลสุดลูกหูลูกตา แม้แต่เซียนก็อาจมิสามารถวัดความยิ่งใหญ่ของโลกเซียนได้…”
“เมื่อไปถึงโลกเซียน ประเด็นเร่งด่วนที่สุดคือหาที่อาศัย กล่าวกันว่าหากเป็นที่รักแห่งโลกเซียน คนผู้นั้นก็จะได้โอกาสเข้าร่วมขุมกำลังเซียน ณ แดนนั้น ๆ และหากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดีกว่า”
“อย่ามองโลกเซียนดีเกินไปนัก จากคัมภีร์โบราณ โลกเซียนนั้นโหดร้ายกว่าแดนมนุษย์มากนัก! ดูเหมือนว่าเมื่อคนเช่นเราไปถึงโลกเซียน ชะตาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะกลายเป็นตัวตนต่ำต้อยที่สุด”
…ระหว่างรอ ผู้คนก็เสวนากันด้วยเสียงแผ่วเบา
พวกเขาส่วนใหญ่กำลังตั้งตารอเรื่องราวหลังไปถึงโลกเซียน
ซูอี้เงี่ยหูฟังบทสนทนาเหล่านั้น แววตาของเขาก็แปลกดูพิกลเล็กน้อย
โลกเซียนนั้นน่าตื่นเต้นจริงแท้
แต่สำหรับซูอี้ผู้มีประสบการณ์ของชาติที่หก ท้ายที่สุดโลกเซียนก็เป็นเพียงโลกผู้ฝึกตนอันกว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่งเท่านั้น
ห่างไกลจากความลึกลับมากโข
แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจความรู้สึกของทุกผู้ที่นี่เช่นกัน
ผู้คนจะคาดฝันเกินจริง คาดเดาสารพัดเกี่ยวกับโลกที่ไม่รู้จักเสมอ
เมื่อไปถึงก็จะกระจ่างเองว่าความฝันกับสัจธรรมแตกต่างกันเพียงใด
เริ่นฉางชิงว่า “ในความคิดข้า อาจมิใช่ทุกผู้จะฝ่าภัยพิบัติบรรลุเซียนเข้าสู่โลกเซียนได้หรอก”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบสงัดลง
จริงดังว่า สำหรับคนเหล่านี้ ณ ปัจจุบัน ยังคงมีอีกหนึ่งอุปสรรคที่ต้องคำนึง…
ภัยพิบัติบรรลุเซียน!
แน่นอนว่า หากมีวาสนาต้องกันกับโลกเซียน คนผู้นั้นก็มีโอกาสได้รับการยอมรับสู่โลกเซียนเป็นกรณีพิเศษ
ทว่าโอกาสนั้นแสนริบหรี่เสียจนแทบไม่มีผู้ใดกล้าหวัง
เหง่งหง่าง!
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงระฆังก็ดังขึ้น
ประตูอันเป็นเยี่ยงภาพมายาพลันปรากฏขึ้นบนสุญญะอันสูงลิบที่อยู่ไกลออกไป
ประตูแห่งโลกเซียน!!
ทุกผู้หยุดสนทนาและหันไปมองเป็นตาเดียว สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อมันปรากฏขึ้น รัศมีเซียนเจิดจรัสก็สาดส่องออกมาจากในประตูสู่โลกเซียน
จากนั้นปราณวิญญาณเซียนบนท้องนภาก็ร่วงลงมาเยี่ยงพิรุณอุกกาบาตพุ่งสู่โลกหล้าอันว่างเปล่าแห่งนี้
นี่คือปราณวิญญาณเซียนอันก่อเกิดในที่มาวิถีเซียน!
“ทุกผู้มิต้องสู้กัน หากต้องการสั่งสมปราณวิญญาณเซียน ทุกท่านต่างใช้เกียรติประวัติที่ตนสั่งสมมาได้ หากแย่งชิงกันไป รังแต่จะคว้าน้ำเหลวเสียเปล่า”
อวี่เฉินกล่าวเตือนเสียงดัง มิให้ผู้ใดต่อสู้กันโดยมิตระหนักถึงสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ซึ่งมีแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง
จริงเช่นอวี่เฉินว่า ยามนี้ ป้ายสัญลักษณ์ที่บรรจุเกียรติภูมิศึกบนร่างยอดฝีมือทั้งหมดบนแท่นแปรเซียนล้วนแผ่คลื่นอำนาจประหลาดออกมา
มันเป็นเช่นประทีปส่องสว่าง เร้าเรียกปราณวิญญาณเซียนจากท้องนภาให้ร่วงลงมาหา
เปรี้ยง!
ปราณวิญญาณเซียนเป็นเช่นน้ำตกซึ่งหลั่งไหลสู่แท่นแปรเซียนจากทุกสารทิศ
ผู้นำทั้งหลายเช่นอวี่เฉิน ฉินซู่ซินและเริ่นฉางชิงต่างดึงดูดปราณวิญญาณเซียนก้อนใหญ่เข้าสู่ร่าง
ผู้ถูกจับตามองที่สุดคือซูอี้
เขาทอดกายเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้หวาย ดื่มกับตนเองไปเงียบ ๆ ทว่าปราณวิญญาณเซียนต่างไหลบ่าเข้าหาเขาเยี่ยงวารีทะลักท่วมเขื่อน
แล้วมันก็จมร่างเขาจนหายมิด!
ภาพอันน่าอัศจรรย์นั้นทำให้คนมากมายตกตะลึง
ต้องสั่งสมเกียรติประวัติมากมายเพียงใดกันจึงสามารถดึงปราณวิญญาณเซียนได้มากเพียงนั้น? อันที่จริง จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าซูอี้หาจงใจสั่งสมเกียรติประวัติศึกไม่
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นส้มหล่นที่เขามิตั้งใจ
ในสนามรบที่สาม เขาผูกขาดที่มาแห่งจิตทารกไว้ลำพัง ล่าสังหารกลุ่มศัตรู สั่งสมเกียรติประวัติมหาศาล
ในสนามรบที่สอง เขาไปเยือนค่ายพำนักของสามฝ่ายใหญ่อื่น ๆ และถล่มพวกมันลงโดยแทบจะตัวคนเดียว ความสำเร็จสั่งสมของเขาจึงมิอาจนับได้แต่ยามนั้น
จนยามที่เขามาถึงสนามรบแรก แม้จะสังหารตัวตนในขอบเขตจุติมงคลเพียงกลุ่มเดียว แต่ระหว่างที่ค้นหาแก่นจิตจุติสรวง เขาก็ล่าสัตว์ร้ายในเขตหวงห้ามต่าง ๆ มามากมาย และรวบรวมเกียรติประวัติมาได้มหาศาล
“ไม่เลวเลย แม้ยามนี้ข้าจะใช้มันมิได้ แต่ก็ยังไม่สายหากจะใช้ยามก้าวสู่ขอบเขตแปรสุญตา และมันจะมีบทบาทเหลือเชื่อทีเดียว”
ซูอี้ครุ่นคิด
ปราณวิญญาณเซียนที่เขาดูดซับไว้ในครานี้ถูกเก็บกักผนึกไว้ในจิตทารกของเขา
อันที่จริง จากการเก็บตัวฝึกฝนไม่กี่เดือนมานี้ เขาตกตะกอนความคิดเกี่ยวกับวิถีเต๋าของตนจนทำให้การฝึกฝนที่อยู่ในสภาวะคอขวดนั้นขยายออก พร้อมเคลื่อนขอบเขตได้ทุกเมื่อแล้ว
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้รีบร้อน
เขาเวียนวัฏฝึกฝนใหม่เพื่อข้ามผ่านทุกสิ่งในอดีต หาใช่เพื่อเคลื่อนขอบเขตโดยไวไม่
หากเขามิสร้างพื้นฐานอันมิเคยปรากฏตลอดกาล เขาก็ขอมิเคลื่อนขอบเขตเสียดีกว่า!
และยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นแก่นจิตจุติสรวงที่เขาสะสมไว้ในกาลก่อนหรือปราณวิญญาณเซียนอันได้มาในปัจจุบันก็ล้วนเป็นการเตรียมตัวเพื่อการฝึกฝนภายหน้าทั้งสิ้น
เนิ่นนาน ปราณวิญญาณเซียนค่อย ๆ เจือจางจนหายไป
นอกจากชายหนุ่มแล้ว ตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตจุติมงคลที่นี่ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก หลังจากดูดซับหลอมรวมปราณวิญญาณเซียน พวกเขาทั้งหมดล้วนมีปราณแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์
ทั่วทั้งกายของพวกเขาปรากฏรัศมีเซียนสาดส่อง!
เป็นการแปรเปลี่ยนอันน่าเหลือเชื่อ
นี่คือสัญญาณแห่งการแปรเซียน!
โดยเฉพาะอวี่เฉิน ก่อนหน้านี้เขาหลอมรวมปราณวิญญาณเซียนส่วนหนึ่งระหว่างฝึกฝน และยามนี้เมื่อเขาดูดซับปราณวิญญาณเซียนยิ่งใหญ่เข้าไป ทั่วร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนไปราวเกิดใหม่!
ทว่าก็ยังมิใช่เซียนโดยแท้
หากอยากจะเป็นเซียน พวกเขาก็ต้องผ่านภัยพิบัติบรรลุเซียนก่อน!
มีเพียงการทำเช่นนี้ พวกเขาจึงได้เกิดใหม่ยกระดับชีวิตของตนขึ้น!
“พวกเจ้าผู้ฝึกตนมนุษย์จงฟังบัญชา จากยามนี้ไป ผู้ใดอยากไปโลกเซียนจงเคลื่อนวิถีโดยเร็วภายในหนึ่งชั่วธูป!”
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอันทรงพลังก็เปล่งออกมาจากประตูสู่โลกเซียนอันห่างไกล ราวเจ้าผู้ปกครองเก้าสวรรค์แถลงโองการ
ตู้ม!
ใครเล่าจะไม่รู้ว่านี่เป็นเสียงจากโลกเซียน?
ซูอี้ผู้ทอดกายบนเก้าอี้หวายขมวดคิ้วน้อย ๆ ทูตแรกเยือนจากโลกเซียนทุกวันนี้มิเข้าใจกฎเกณฑ์บ้างเลยหรือ?
ในอดีตกาล ศาลเซียนรวมศูนย์เป็นผู้จัดการเรื่องแรกเยือน และ ‘ทูตแรกเยือน’ ก็จะเวียนกันจากขุมกำลังราชันเซียนภายใต้อาณัติของศาลเซียนรวมศูนย์
นี่คือกฎอันมีมาแต่ช้านาน
ตามกฎเกณฑ์ ยามประตูสู่โลกเซียนปรากฏขึ้น ทูตแรกเยือนจากโลกเซียนก็ควรแถลงกฎต่าง ๆ เกี่ยวกับการจุติสรวง เตือนสติเหล่าผู้ฝึกตนถึงอันตรายที่จะเกิดยามข้ามขอบเขตและอื่น ๆ
แต่ใครเล่าจะคิดว่ายามนี้กลับไร้กฎเกณฑ์ใด ๆ ไม่มีกระทั่งหนึ่งวาจากล่าวเตือน!
ซูอี้เข้าใจทันที
เขตแดนสมรภูมิสาบสูญไปแสนนาน โลกเซียนเองก็ประสบหายนะ ยามนี้ระบบระเบียบทั้งหลายในโลกเซียนต่างป่นปี้ โลกหล้าโกลาหล ศาลเซียนรวมศูนย์ก็สลายหายไปจากโลกหล้าเนิ่นนาน
กระทั่งศาลเซียนรวมศูนย์ยังล่มสลาย ดังนั้นจึงเป็นไปมิได้หากจะแต่งตั้งขุมกำลังราชันเซียนใด ๆ ให้มาเป็น ‘ทูตแรกเยือน’
โลกเซียนซึ่งปรากฏขึ้นยามนี้จึงไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ และดูจะเป็นที่เข้าใจได้