บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1513: บุคคลเนื้อหอม
ตอนที่ 1513: บุคคลเนื้อหอม
ต่างจากซูอี้
ผู้ฝึกตนบนแท่นแปรเซียนส่วนใหญ่หารู้กฎเกณฑ์ซึ่งพวกตนควรจดจำในโลกเซียนไม่
เมื่อได้ยินบัญชาจากเสียงทรงอำนาจนั้น ผู้ฝึกตนมากมายก็ทะยานเวหา!
“ข้าขอพิสูจน์วิถีบรรลุเซียน ณ บัดนี้!”
บางผู้ตะโกนลั่น รัศมีเซียนจรัสจ้าแปรเปลี่ยนเป็นรุ้งทิพย์ทะยานสู่ประตูโลกเซียนแสนไกลออกไป
“หากมัจฉากระโจนผ่านประตูมังกร มันก็จะกลายเป็นมังกรได้ และหากเราผู้ฝึกตนทั้งหลายผ่านภัยพิบัติบรรลุเซียนได้ เราทั้งหลายก็จะเป็นเซียนเหนือนภา!”
“ไป!”
รุ้งทิพย์สายแล้วสายเล่าทะยานผ่านนภา
ผู้ฝึกตนทั้งหลายทะยานสู่ประตูโลกเซียนล้วนรู้สึกราวทะยานผ่านเขตแดนมิติโปร่งใสชั้นแล้วชั้นเล่ามิต่างกัน
ยิ่งทะยานสูง กฎเกณฑ์มิติเวลารอบกายพวกเขายิ่งพลุ่งพล่านเยี่ยงคลื่นวารีโถมซัดเป็นระลอกเข้าใส่ ทำให้ทั้งร่างและวิญญาณของพวกเขาแปรเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์หนแล้วหนเล่า
ร่างวิถี จิตวิญญาณ เลือดลม กล้ามเนื้อและกระดูก อวัยวะภายใน… กระทั่งเส้นขนทั่วร่างยังแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือการ ‘จุติสรวง’!
การแปรเปลี่ยนแห่งแก่นชีวิตนี้ ขอเพียงลุล่วงด้วยดี เขาก็จะก้าวสู่โลกเซียน เป็นหนึ่งในเซียนเหนือสรวงได้!
ทว่าการแปรเปลี่ยนนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง!
ยิ่งไปกว่านั้น ยามเคลื่อนขอบเขตยังมีอันตรายภัยพิบัติร้ายกาจมากมายขวางบนวิถีเยี่ยงบททดสอบ
หากไม่อาจรับมือ ทั้งกายและวิญญาณก็จะสลายหายไป
นี่คือที่มาแห่งภัยพิบัติบรรลุเซียน
ผู้ฝึกตนมากมายเริ่มลงมือแล้ว ทว่าซูอี้กลับนั่งเฉยบนเก้าอี้หวาย
เริ่นฉางชิงอดกล่าวมิได้ว่า “สหายเต๋าซู เจ้ารออันใดอยู่?”
ซูอี้หันไปกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ข้ายังไม่ได้อยู่ในขอบเขตจุติมงคล”
ทุกผู้ “…”
ทันใดนั้น สีหน้าของผู้คนก็ดูซับซ้อนยิ่ง
บุคคลผู้นี้ยังมิย่างเท้าสู่ขอบเขตจุติมงคล ทว่าตลอดกาลนานมา เขากลับสยบทุกตัวตนในขอบเขตจุติมงคลจากจักรดาราหลักจนมิอาจโงหัวขึ้น
เรื่องนี้มิน่าอายเช่นไร?
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงโหยหวนรวดร้าวก็ดังขึ้นบนอากาศห่างออกไป
ผู้คนต่างสะพรึงกลัวยามเห็นว่าผู้ฝึกตนผู้หนึ่งพลันแปรเปลี่ยนเป็นจุณสลายหายไป
“นี่คือความล้มเหลวยามข้ามภัยพิบัติ…” บางผู้ดูตกตะลึง
กาลต่อมา สถานการณ์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
วิถีจุติสรวงนั้นมิได้ราบรื่นสำหรับคนทุกผู้ ขอเพียงไม่อาจฝืนภัยพิบัติบรรลุเซียนได้ พวกเขาก็จะถูกทำลาย!
แน่นอน ยังมีคนที่ได้เป็นเซียนไปถึงประตูโลกเซียนแล้วเช่นกัน
ทว่าจำนวนของพวกเขาช่างน้อยนิด ไม่ถึงหนึ่งในสิบ
ภาพอันโหดร้ายนี้ทำให้ตัวตนขอบเขตจุติมงคลมากมายซึ่งยังมิได้ลงมือเย็นวาบ
ผู้ฝึกตนบางผู้กระทั่งเลือกทิ้งโอกาสบรรลุเซียนนี้!
ไม่ว่าใครล้วนกลัวความตาย!
เซียนดาบชิงซื่อเองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องนภาไร้สิ้นสุด มุ่งสู่ประตูโลกเซียนอันแสนไกลโพ้น
ซูอี้ทำเพียงมองครู่หนึ่ง และเห็นได้ว่าเซียนดาบชิงซื่อรอดภัยพิบัติบรรลุเซียนได้
แม้เซียนดาบชิงซื่อจะประสบอันตรายมากมาย ท้ายที่สุดเขาก็ผ่านพ้นไปได้ และร่างของเขาก็หายเข้าไปในประตูโลกเซียน
ยามนี้ บนแท่นแปรเซียนเหลือคนเพียงสิบเศษ
“ยอมแพ้ไปก็ดีนะ การแสวงวิถีมิต้องรีบร้อนนักหรอก”
ทางฝั่งจักรดาราตงเสวียน นอกจากเซียนดาบชิงซื่อ ตัวตนอื่น ๆ ผู้เลือกเคลื่อนวิถีแทบจะปราชัยมิเหลือรอด
ยามนี้เหลือเพียงจอมภูตมู่หลิง มารดาบสกุลหวงและพวกอีกไม่กี่คน
พวกจอมภูตมู่หลิงล้วนละอาย
เดิมที พวกเขาคิดสู้จริง ๆ
ทว่าหลังประจักษ์ชะตาอันน่าสลดของผู้อื่น พวกเขาก็ล้วนใจสั่นไหวเกินฉุดรั้ง
ซูอี้ลุกขึ้น เก็บเก้าอี้หวายไปและกล่าวว่า “ข้าก็ควรไปเช่นกัน”
จอมภูตมู่หลิง มารดาบสกุลหวงและคนอื่น ๆ ล้วนผงะ งุนงงเล็กน้อย ซูอี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติมงคล เขาจะจุติสรวงบรรลุเซียนได้เช่นไร?
ซูอี้อธิบายราวล่วงรู้เท่าทัน “ในอดีต ทูตแรกเยือนจากโลกเซียนจะสร้างบทประเมินขึ้น แม้จะมิได้ย่างก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคลก็ยังมีโอกาสเข้าเยือนโลกเซียนอยู่”
“แต่ยามนี้ดูเหมือนว่า… หลังกาลผ่านแสนนาน เรื่องทั้งหมดนี้จะแปรเปลี่ยนไปแล้ว”
ซูอี้ว่าพลางส่ายหน้าน้อย ๆ ทูตจากโลกเซียนผู้ปรากฏขึ้นครานี้ทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ
“เช่นนั้น สหายเต๋าซูตั้งใจจะไปโลกเซียนเช่นไรหรือ?”
จอมภูตมู่หลิงอดถามมิได้
ขณะที่ซูอี้กำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง เสียงอันทรงอำนาจจากในประตูสู่โลกเซียนก็ดังขึ้นอีกหน
“พวกเจ้าผู้ฝึกตนมนุษย์ทั้งหลายจงฟังบัญชา จงเรียกใช้ป้ายสัญลักษณ์ประวัติศึกของพวกเจ้าอย่างสุดกำลัง หากมีวาสนาพอเป็นที่ชื่นชอบของพวกข้า พวกเจ้าจะได้รับข้อยกเว้นเข้าสู่โลกเซียนได้!”
คนทุกผู้บนแท่นแปรเซียนตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนต่างผู้จะลงมืออย่างใจชื้น
ทันใดนั้น ป้ายสัญลักษณ์ศึกบนร่างคนทุกผู้ต่างเรืองรองส่องสว่างสู่นภา
จอมภูตมู่หลิงเองก็ลงมือต่อสู้เพื่อความหวังสุดท้ายนี้
มีเพียงซูอี้ที่อยู่เฉย
หากเขาอยากไปยังโลกเซียน เขาก็มิต้องให้ผู้อื่นมาคัดกรองเช่นนี้
ท้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้หัวใจทุกผู้เย็นวาบก็คือ ไร้ผู้ใดถูกเลือกโดยโลกเซียน!
ยามนี้ ซูอี้มิคิดรอคอยอีกต่อไป กล่าวลาพวกจอมภูตมู่หลิง “ทุกท่าน หากภายหน้ามีวาสนา ก็พบกันใหม่ในโลกเซียน ขอตัวก่อน”
เสียงยังไม่ทันสร่าง ร่างของเขาก็วูบไหวทะยานนภา มุ่งสู่ประตูโลกเซียนแสนไกล
“สหายเต๋าซูเขา…”
“นี่คือจะบุกเข้าไปหรือ?”
“หากไม่ได้มีการฝึกฝนในขอบเขตจุติมงคล ระหว่างทางสู่ประตูโลกเซียนก็จะถูกกีดขวางด้วยอำนาจร้ายกาจแห่งมิติเวลาโดยมิอาจเลี่ยง!”
“สหายเต๋าซูใช่ผู้บ้าบิ่นที่ไหน รอดูสิ!”
คนทุกผู้ล้วนตะลึงกับการลงมืออย่างใจกล้าของซูอี้
แทบจะในยามเดียวกัน เสียงประหลาดใจก็ดังออกมาจากในประตูสู่โลกเซียน
“คนผู้นี้ไร้ปราณวิญญาณเซียนในร่าง เห็นได้ชัดว่ามิได้ก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคล แต่กลับคิดฝ่าเข้าสู่ประตูแห่งโลกเซียน?”
“ส่งตัวเองมาตายโดยแท้…”
“ประตูเซียนอยู่เบื้องหน้า ใครเล่าจะมิหวั่นไหว? ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าโลกมนุษย์ตัดขาดกับโลกเซียนมาช้านาน บางทีคนผู้นี้อาจมิรู้ถึงอันตรายของการกระทำเช่นนี้ก็ได้กระมัง?”
“น่าเสียดายที่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ!”
“ผู้ใดฝ่าฝืนสู่ประตูเซียนล้วนมีแต่ต้องตายตก! นี่คือกฎเหล็กไร้ผู้ใดบิดพลิ้วได้แต่โบราณกาล!”
…เสียงหารือดังขึ้น
ยามนี้เอง คนทุกผู้บนแท่นแปรเซียนจึงรู้ว่าที่ประตูแห่งโลกเซียนไม่ได้มีทูตแรกเยือนเพียงหนึ่ง!
และบทสนทนาของพวกเขาก็ยังทำให้คนทุกผู้อดหลั่งเหงื่อเย็นแทนซูอี้มิได้
ผู้ใดฝ่าฝืนสู่ประตูเซียนล้วนมีแต่ต้องตาย!!
ในอากาศ อำนาจมิติเวลาทับซ้อนเยี่ยงระลอกวารีจากสวรรค์ขวางร่างซูอี้ไว้
ยิ่งเคลื่อนสูง กฎมิติเวลาก็ยิ่งรุนแรง
นอกจากนั้นยังมีอำนาจภัยพิบัติร้ายกาจมากมายอยู่เต็มไปหมด แปรเปลี่ยนเป็นพายุโหม อสนีบาต เพลิงศักดิ์สิทธิ์…
ไม่ว่าสิ่งใดก็สังหารตัวตนขอบเขตจุติมงคลลงได้ทุกเมื่อ!
ทว่าไม่คาดคิด ร่างของซูอี้กลับเหมือนมัจฉาแหวกวารีเชี่ยว ผ่านชั้นอำนาจมิติเวลา แหวกเหล่าพายุภัยพิบัติเข้าใกล้ประตูแห่งโลกเซียนมากขึ้นทุกขณะ
ไร้การกีดขวางใด ๆ แต่ต้นจนจบ กระทั่งบาดแผลยังไม่มี!
“นี่…”
พวกจอมภูตมู่หลิงบนแท่นแปรเซียนผงะอึ้ง ราวกับได้เป็นสักขีแก่ปาฏิหาริย์อันเป็นไปมิได้
ตกใจอย่างมาก!
คิดให้ตายอย่างไร พวกเขาก็มิคาดเลยว่าเขาเคลื่อนผ่านคลื่นอำนาจมิติเวลาจุติสรวงสู่ประตูเซียนอย่างราบรื่น มิต้องข้ามผ่านภัยพิบัติบรรลุเซียนได้เช่นไร
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหากเป็นผู้อื่นหาญกล้ากระทำ คงตายไปนานแล้ว!
“หือ!”
“เจ้าหนุ่มนี่ทำได้เช่นไร?”
“แปลกแท้ ปราณมหาวิถีในร่างคนผู้นี้สามารถเคลื่อนผ่านชั้นเขตแดนมิติเวลาได้โดยมิได้รับผลกระทบ!”
“เขาหลบได้กระทั่งอำนาจทำลายล้างจากกฎเกณฑ์วิถีเซียน!”
…เสียงประหลาดใจดังออกมาจากในประตูสู่โลกเซียนเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทูตจากโลกเซียนทั้งหลายล้วนตะลึงเกินเชื่อลงกันทั้งสิ้น
“ในโลกมนุษย์มีตัวตนท้าทายสวรรค์ ขยี้กฎเหล็กสั่งตายเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”
“ทุกท่านอย่าแย่งนะ ข้าขอจองคนผู้นี้ไว้ ผู้เลิศล้ำเช่นนี้แหละที่ ‘สำนักเซียนฉิงคัง’ ของข้าต้องการเป็นที่สุด!”
“ไม่ได้หรอก ตาเฒ่าผู้นี้ก็ถูกชะตาสหายน้อยผู้นี้เช่นกัน และยอมลงทุนเพื่อพาเขากลับไปฝึกในสำนัก!”
“คนเขายังไม่ทันเข้าสู่โลกเซียนเลย พวกเจ้าก็เริ่มแย่งกันแล้วหรือ?”
“ฮ่า ๆ ในเมื่อเขาเป็นที่ถูกชะตาของเราทั้งหลาย แม้หนทางจะมีอันตราย ข้าก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยประคองนำทาง มิให้เขาสะดุดหกล้มไปก่อนแน่นอน!”
…เสียงเซ็งแซ่ดังออกมาจากในประตูสู่โลกเซียน
คนทุกผู้ในแท่นแปรเซียนต่างตกตะลึงจนกรามแทบร่วง
หวาดผวาเกินตระหนักเข้าใจ!
จากที่ได้ยิน เหล่าทูตจากโลกเซียนล้วนแย่งกันพาซูอี้กลับสำนักตน ซ้ำยังกล่าวว่าจะเป็นฝ่ายไปรับซูอี้เองด้วย!
ความต่างระหว่างบุคคลช่างแสนยิ่งใหญ่นัก
“ข้าแน่ใจว่าหากเรื่องวันนี้ถูกแพร่กลับไปในจักรดาราตงเสวียน คนทุกผู้ในโลกหล้าคงริษยาในโชคของใต้เท้าซูเป็นแน่แท้”
จอมภูตมู่หลิงพึมพำ
“โชคอันใด? ไม่เลย นี่คือความแข็งแกร่งต่างหาก!”
มารดาบสกุลหวงเอ่ยแก้ “หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าซูสำแดงอำนาจแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์อันกล่าวได้ว่าเจิดจรัสชั่วกาลนาน มีหรือคนจากโลกเซียนเหล่านั้นจะมองเขาต่างจากผู้อื่น?”
เมื่อคนทุกผู้ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็อดพยักหน้าอย่างเผลอไผลมิได้
ไร้ผู้ใดโต้เถียง จับผิดประเด็นใด ๆ ได้เลย
เพราะแต่ไหนแต่ไร ซูอี้ไม่เคยฉวยโอกาสใดเลย เขาพึ่งพาเพียงความแข็งแกร่งของตนทำให้เหล่าทูตจากโลกเซียนเป็นฝ่ายเร่งออกมาแย่งตัวกันเอง!
ทว่าท้ายที่สุด ซูอี้ก็ไม่ได้ยืมอำนาจใด!
เขาทะยานมุ่งตรง ฝ่าภยันตรายทั้งหลายดุจรุ้งทิพย์พุ่งสู่ประตูแห่งโลกเซียนในทันใด
และหายลับไป
สำเร็จ!
เขายังไม่ได้ก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคล ทว่ากลับจุติสรวงบรรลุเซียน ทำลายกฎเหล็ก ‘ผู้ใดฝ่าฝืนสู่ประตูเซียนล้วนมีแต่ต้องตาย’ เข้าสู่โลกเซียนได้สำเร็จ!
เหตุเช่นนี้กล่าวได้ว่า ‘เป็นเอกลักษณ์ชั่วกาลนาน’!
คนทุกผู้บนแท่นแปรเซียนตะลึงจิตหลุด
วันเดียวกันนั้น ทั้งประตูสู่โลกเซียน แท่นแปรเซียนและวิถีแรกเยือนล้วนหายไปตาม ๆ กัน
ท้ายที่สุด ผู้ฝึกตนทั่วเขตแดนสมรภูมิก็ถูกเคลื่อนกลับสู่จักรดาราของพวกตน
เขตแดนสมรภูมิซึ่งปรากฏขึ้นเป็นเวลาหนึ่งปีหายไปพร้อม ๆ กับเหตุการณ์นั้น
ณ วันดังกล่าว สิ่งที่เกิดในเขตแดนสมรภูมิเริ่มแพร่ออกไปในสี่จักรดารา ทั้งตงเสวียน ซีหาน เป่ยเยวียน และหนานหั่ว
ชั่วขณะนั้น โลกหล้าล้วนปั่นป่วนลือลั่น!
วันเดียวกันนั้น ดาบพุทธะสรรพสุญตาเองก็นำข่าวเกี่ยวกับซูอี้กลับสู่วัดสรรพสุญตา