บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1514: โถงบรรลุสรวง
ตอนที่ 1514: โถงบรรลุสรวง
วัดสรรพสุญตา
“สหายทัศนาจารย์ของข้าโคตรเจ๋งเลย!”
ยามหิมะตกหนักกลางเหมันตฤดู ฟ้าดินล้วนขาวโพลน เกล็ดหิมะเยี่ยงขนห่านโปรยปรายตาม ๆ กัน
หลวงจีนคงจ้าวตะโกนโหวกเหวกอย่างชื่นมื่น
ชิงถัง ชิงหว่าน เว่ยซาน และคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่อาจระงับความปรีดาบนใบหน้าได้
พวกเขาล้วนได้รับรู้จากปากของดาบพุทธะสรรพสุญตาถึงสิ่งที่ซูอี้กระทำในเขตแดนสมรภูมิ และต่างชื่นชมยกย่องไม่ขาด
โดยเฉพาะเมื่อดาบพุทธะสรรพสุญตากล่าวเสริมว่าจอมภูตมู่หลิงได้เป็นสักขีการเดินทางสู่โลกเซียนของซูอี้เองกับตา และกระทั่งทูตจากโลกเซียนยังทะเลาะกันแย่งตัวซูอี้
ทั้งหมดนี้ทำให้คนทุกผู้เบิกตากว้าง
ในแดนดินนั้น มีเพียงปราชญ์หงอวิ๋นและสุนัขพื้นเมืองซิงเชวียที่สุขุมเยือกเย็นกว่าผู้ใด
“เจ๋ง? ก็แค่งั้น ๆ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
สุนัขพื้นเมืองเหลือบมองหลวงจีนคงจ้าวอย่างเอือมระอา “อย่าลืมนะว่าซูอี้เคยฆ่าเซียนในแดนมนุษย์มาแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเขา หากทำเช่นนี้มิได้สิจึงเรียกว่าผิดปกติ”
“อย่าพูดเย็นชาเย็นนั้นเลย นี่เป็นเรื่องยินดียิ่งน่าฉลองนะ”
ปราชญ์หงอวิ๋นดุสุนัขพื้นเมืองเบา ๆ
สุนัขพื้นเมืองเหี่ยวเฉา เงียบวาจาไป
“ภายหน้า ไม่อาจรู้เลยว่าจะได้พบท่านอาจารย์อีกยามใด”
ชิงถังพึมพำ
หัวใจของนางบังเกิดเค้าความเศร้าหมอง
ชิงหว่านเองก็ก้มหน้าลง ขบริมฝีปากชุ่มฉ่ำสีแดงสดของนาง แม้จะห่างเพียงหนึ่งปี นาง… ก็คิดถึงนายท่านเช่นกัน…
“อย่าห่วงเลย ปราณวิถีเซียนในโลกมนุษย์นี้ทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ อย่างมากก็ครึ่งปี ข้าก็แน่ใจว่าจะหวนคืนโลกเซียนได้แล้ว”
ปราชญ์หงอวิ๋นกล่าวขึ้น “ถึงยามนั้น พวกเจ้าไปกับข้าได้นะ”
ดวงตาของคนทุกผู้เรืองประกาย หัวใจต่างชุ่มชื้นขึ้น
หากติดตามปราชญ์หงอวิ๋นไปยังโลกเซียนได้ก็ย่อมดีที่สุด!
ต้องทราบว่าเขตแดนสมรภูมิจะปรากฏขึ้นทุก ๆ พันปีเท่านั้น และในเมื่อสามารถติดตามปราชญ์หงอวิ๋นไปยังโลกเซียนได้ ใครเล่าจะยอมรอนานเพียงนั้น?
“การจะไปโลกเซียนไม่ใช่เรื่องผ่อนคลายไร้กังวลนะ ไม่ว่าจะเป็นที่ใด การฝึกฝนมหาวิถีก็ห้ามหย่อนยานแม้แต่น้อย กระทั่งในโลกเซียน เจ้าก็ยังต้องเผชิญภัยพิบัติบรรลุเซียนในภายหน้าอยู่ดี”
สุนัขพื้นเมืองกล่าวเตือนสติ
คนทุกผู้ผงะไป
……
“ยังไม่ทันก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคล แต่กลับถูกเหล่าทูตแรกเยือนจากโลกเซียนมากมายรุมแย่งตัว?”
“สมแล้วที่เป็นใต้เท้าซู เอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกหล้า!”
“เฮ้อ พอข้าคิดว่าโลกนี้ไร้ซึ่งใต้เท้าซู ข้าก็คิดเสมอว่าขาดบางอย่างไป”
“สิ่งใดคือตำนาน? แน่นอนว่าใต้เท้าซูก็คือตำนาน!”
“ข้าสังหรณ์ว่าด้วยฝีมือของใต้เท้าซู เขาจะเปล่งประกายในโลกเซียนแน่นอน!”
…เมื่อข่าวจากเขตแดนสมรภูมิแพร่ออกไป ทั่วจักรวาลพร่างดาวก็ต่างเสวนาเกี่ยวกับนามหนึ่ง
ซูอี้!
สำหรับผู้ฝึกตนในโลกหล้า นามนี้เป็นเช่นมหาตะวันเหนือนภา เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวชั่วกาลนาน!
ทั่วหล้านภาสรวง ไร้ผู้ใดเทียบชั้นได้!
ตลอดกาลนานมา เขาทิ้งตำนานไว้ในโลกหล้าเกินคณานับ สร้างปาฏิหาริย์สะท้านทั่วทุกยุคสมัยหนแล้วหนเล่า
ยามนี้เมื่อเขาจากโลกมนุษย์สู่แดนเซียน ใครเล่าจะมิรำพึงทอดถอนใจ?
……
โลกเซียน
ดวงตะวันเรืองรองลอยเด่นเหนือท้องนภา
เหนือวิหารโบราณอันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง มีป้ายเขียนว่า ‘โถงบรรลุสรวง’
ตรงหน้าโถงหลักมีสระน้ำอันปกคลุมด้วยหมอกเซียนพราวแสงระยับหนึ่งแห่ง
สระแปรเซียน
สระน้ำแห่งนี้มีระยะพันจั้ง เปี่ยมด้วยรัศมีเซียนจรัสจ้า
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิง และยอดฝีมือนับร้อยผู้บรรลุเซียนสำเร็จต่างเดินออกจากสระแปรเซียนตาม ๆ กัน
ในหมู่พวกเขายังมีเซียนดาบชิงซื่อรวมอยู่ด้วย
“นี่คือโลกเซียนหรือ?”
“ดูสิ นั่นโถงบรรลุสรวง!”
“ว่าแล้วเชียว เป็นไปตามคำลือ เมื่อผู้จุติสรวงบรรลุเซียนเข้าสู่ประตูโลกเซียน พวกเขาก็จะมาถึงยังสระแปรเซียนตรงหน้าโถงบรรลุสรวง!”
“เมื่อเป็นเซียน ก็มิอาจเทียบได้กับอดีตกาล!”
…ทุกผู้เสวนากันอย่างตื่นเต้น สีหน้าล้วนเปี่ยมปรีดา
ขณะเดียวกัน อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิงและคนอื่น ๆ นั้นยังคงเยือกเย็นมาก
การเป็นเซียนนั้นก็แค่เข้าสู่วิถีเหนือจุติสรวงเท่านั้น
ความแตกต่างเดียวก็คือจากนี้ไป พวกเขาคือสมาชิกโลกเซียน ทุกสิ่งต้องเริ่มใหม่หมด!
ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะเจิดจรัสเฉิดฉายเช่นไรในโลกมนุษย์ ทันทีที่มาถึงโลกเซียน ทั้งฐานะ ลาภยศชื่อเสียงทั้งหมดในอดีตก็จะกลายเป็นเพียงอดีต
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าโถงบรรลุสรวงนี้ตั้งอยู่ในทวีปเซียนใด”
อวี่เฉินพึมพำกับตนเอง
โลกเซียนมีทวีปอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตสี่สิบเก้าแห่ง
ลือกันว่าในแต่ละทวีปเซียนจะมี ‘โถงบรรลุสรวง’ และ ‘สระแปรเซียน’ อยู่แห่งละที่ ควบคุมโดยขุมกำลังราชันเซียนต่าง ๆ ซึ่งรับหน้าที่คัดเลือกเฟ้นหาบุคคลจุติสรวง
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
หนึ่งหายนะอุบัติขึ้นในโลกเซียน สะบั้นโลกมนุษย์และเซียนออกจากกันแสนนาน
จวบวันนี้ ยังมิมีผู้ใดรู้กฎเกณฑ์ปัจจุบัน
“ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นใครกัน?”
“ข้าไม่รู้”
…หลายผู้สังเกตเห็นว่ามีชายชราร่างผอมผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่มิห่างจากสระแปรเซียนนัก
ชายชราผู้นั้นผอมแห้ง ในมือถือน้ำเต้าสุรา ดวงตาหลับพริ้มไร้วจีราวกำลังหลับใหล
“นี่คือทูตผู้หนึ่งหรือ?”
ทันทีที่ทุกผู้คิดเช่นนี้ เสียงอันทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในโถงบรรลุสรวงไกลออกไป
“เมื่อก้าวสู่วิถีเซียนก็เป็นคนของเรา สหายเต๋าทุกท่าน โปรดเข้ามาเถิด”
หัวใจของพวกอวี่เฉินเย็นเยือก คนทุกผู้มองหน้ากัน แล้วจึงเมินชายชราผู้นั่งขัดสมาธิถือน้ำเต้าสุราก่อนจะเดินเข้าไปในโถงบรรลุสรวงด้วยกัน
ในโถงหลักมีผู้รออยู่สิบกว่าคน เป็นชายหญิงทุกช่วงวัยซึ่งล้วนโอบล้อมด้วยรัศมีเซียน
ผู้นั่ง ณ ตำแหน่งประธานสูงสุดคือชายวัยกลางคนอาภรณ์สีม่วงซึ่งมีปราณเกินธรรมดา สวมมงกุฎบนศีรษะ ร่างเปี่ยมอำนาจยิ่งใหญ่
เมื่ออวี่เฉินและผู้บรรลุเซียนคนอื่น ๆ นับร้อยเดินเข้ามา พวกเขาก็ล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันถาโถม
นั่นคืออำนาจเซียนจากร่างของตัวตนวิถีเซียนเหล่านั้น!
“หรือผู้อาวุโสทั้งหลายจะเป็นทูตแรกเยือนหนนี้กัน?”
บางผู้อดถามไม่ได้
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว เหล่าเซียนทั้งหลายก็พากันหัวเราะคิกคัก
ชายชุดม่วง ณ บัลลังก์ประธานกล่าวเสียงเบา “ก่อนยุคอวสานเซียน ทูตแรกเยือนจะได้รับแต่งตั้งจากศาลเซียนรวมศูนย์ ทว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว”
“โลกเซียนทุกวันนี้ไร้ศาลเซียนรวมศูนย์มาเนิ่นนาน ย่อมแตกต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ชายวัยกลางคนชุดม่วงสวมมงกุฎก็กล่าวต่อ “แน่นอน พวกเจ้าจะถือเราเป็นทูตแรกเยือนก็ย่อมได้”
“เช่นนั้น ขอบังอาจถามผู้อาวุโสทั้งหลายว่ากฎเกณฑ์ทุกวันนี้เป็นเช่นไรหรือ?”
บางผู้กล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม
ชายวัยกลางคนชุดม่วงสวมมงกุฎกล่าวว่า “ง่ายมาก ยามนี้ ข้ามารอรับพวกเจ้าด้วยโองการของใต้เท้าฉีเนี่ย ผู้นำลัทธิไร้มลทิน”
เจ้าลัทธิไร้มลทินฉีเนี่ย!
มีหลายผู้สับสน
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิงและคนอื่น ๆ ต่างดูจะตระหนักถึงบางสิ่ง และสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาก
“นอกจากนั้น เรายังมีสองสิ่งที่ต้องทำ”
ชายชุดม่วงสวมมงกุฎกล่าว “ประการแรก พวกเจ้าแต่ละคนให้ระบุตัวตนและที่มา ส่งให้ลัทธิไร้มลทินตรวจสอบในภายหน้า”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ฉินซู่ซินก็อดกล่าวมิได้ “ไฉนลัทธิไร้มลทินจึงต้องตรวจสอบตัวตนและที่มาของพวกเราด้วยเจ้าคะ?”
ผู้อื่นเองต่างก็พบว่ามันประหลาด
ชายชุดม่วงสวมมงกุฎส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าไม่ทราบ นี่เป็นบัญชาของใต้เท้าฉีเนี่ย ข้าก็ทำตามเพียงเท่านั้น”
“ประการที่สองคือคัดเลือกศิษย์จากในหมู่พวกเจ้า”
ชายชุดม่วงสวมมงกุฎกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าทั้งหลายที่นี่มาจากขุมกำลังเซียนต่าง ๆ กัน และหากพวกเจ้าโชคดีพอเป็นที่ต้องตาพวกเขา ก็จะสามารถได้เป็นศิษย์ขุมกำลังวิถีเซียนได้โดยมิต้องผ่านบททดสอบใด ๆ”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว คนหลายผู้ก็ตาลุกวาว
พวกเขาเพิ่งมาถึงโลกเซียน ส่วนใหญ่แต่ละผู้ล้วนไร้รากฐาน หากถูกเลือกเป็นศิษย์ขุมกำลังวิถีเซียนบางแห่ง พวกเขาก็จะมีที่ให้พึ่งพิง!
เป็นเช่นคำพังเพยที่ว่าต้นไม้ใหญ่ให้เงาดี
บางผู้อดกล่าวมิได้ว่า “ผู้อาวุโส มิทราบว่าการคัดเลือกศิษย์นี้ใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์ คัดเลือกกันเช่นไรหรือขอรับ?”
“อย่าร้อนใจไป พวกเจ้าต้องรอสหายเต๋าคนสุดท้ายมาถึงก่อน”
ชายชุดม่วงสวมมงกุฎกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยามนั้นเอง…
ตู้ม~
สระแปรเซียนนอกโถงหลักพลันกระฉอกเคลื่อน
ร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งเดินออกมาจากสระแปรเซียน
อาภรณ์เขียว เฉยชาไร้มลทิน เขาคือซูอี้!
“โถงบรรลุสรวง…”
ดวงตาของซูอี้วูบไหวเหม่อลอยเล็กน้อย
ประสบการณ์ของชาติที่หกกำลังสะท้อนในใจซูอี้ ณ ยามนี้
เหล่าผู้เฒ่าเมื่อกาลก่อน อริร้ายในอดีต และความทรงจำการสัญจรในโลกเซียนแห่งนี้…
เขาระลึกมันขึ้นได้ทีละน้อย
ราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวันวาน
“สหายเต๋าซู!?”
“ที่แท้ก็เป็นเขา”
“ว่าแล้วว่าเขาต้องมายังโลกเซียนแน่ ๆ”
อวี่เฉิน ฉินซู่ซินและเซียนอื่น ๆ ล้วนแสดงสีหน้ากระจ่างแจ้ง
สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ เหล่าเซียนในโถงต่างพากันลุกขึ้นเดินไปนอกโถงหลัก
ดูเหมือนจะอยากเป็นฝ่ายออกไปต้อนรับซูอี้!
“สหายน้อยผู้นี้เป็นผู้มากฝีมืออย่างจริงแท้! เชิญเข้ามาเร็วเถิด!”
เซียนผู้หนึ่งกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สหายน้อย ข้าคือผู้ดูแลสำนักเซียนฉิงคัง หากเจ้าปรารถนา ข้าจะเป็นตัวแทนสำนักเลือกเจ้าเป็นทายาทหลักของสำนักได้เป็นกรณีพิเศษเลยนะ!”
มีผู้กล่าวเงื่อนไขเอ่ยเชื้อเชิญซูอี้อย่างตรงไปตรงมา
“ทายาทหลักอันใด ข้าประกันได้ว่าขอเพียงสหายน้อยตามข้ามา เจ้าจะมีโอกาสได้เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักข้าในภายหน้า!”
มีบางผู้ให้สัตย์โอ้อวดดังสนั่น
บางผู้สบถด่าอย่างร้อนใจ “แย่งกันไปทำไม? ไม่ว่าเงื่อนไขจะวิเศษเพียงใด สุดท้ายก็ขึ้นกับสหายน้อยจะเห็นด้วยหรือไม่อยู่ดี”
“ทุกท่านต่างรู้ว่าการทะยานสู่โลกเซียนได้โดยไม่ได้ก้าวเท้าสู่ขอบเขตจุติมงคลหาได้ยากยิ่งเพียงไร! เมื่อข้าอยู่ที่นี่ ไม่ว่าสหายน้อยจะระบุเงื่อนไขเช่นไร บรรพตมนตราสวรรค์ของข้าก็ยอมรับทั้งนั้น!”
…ชั่วขณะนั้น เหล่าเซียนล้วนรีบร้อนแย่งตัวซูอี้ กระทั่งทะเลาะกันจนหน้าแดงก่ำ
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นทำให้พวกอวี่เฉินผงะไป
ใครเล่าจะคิดว่าเหล่ายอดฝีมือวิถีเซียนผู้เมื่อครู่ยังแสนสูงส่งยิ่งใหญ่ดูจะแปรเปลี่ยนท่าทีไปเมื่อพบซูอี้?
และซูอี้ดูจะกลายเป็นบุคคลเนื้อหอมไปเสียแล้ว!
เมื่อเทียบกัน การปฏิบัติต่อพวกเขาดูจะเย็นชาเกินไป…
ซูอี้มิคาดว่าเมื่อมาถึงโลกเซียน เขาจะถูกต้อนรับ ‘อย่างกระตือรือร้น’ เพียงนี้ และอดขำมิได้ในชั่วขณะนั้น
ท้ายที่สุด ชายชุดม่วงสวมมงกุฎก็ลุกขึ้นกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “ข้าว่านะ ให้สหายน้อยผู้นี้เป็นศิษย์แท้ในลัทธิไร้มลทินก็พอแล้ว พวกเจ้าอย่าเถียงกันเลย!”
ลัทธิไร้มลทิน!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าผู้ทรงอำนาจวิถีเซียนก็ผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพากันถอนหายใจ
ไร้หนทางอื่น ขุมกำลังของพวกเขาแต่ละคนนั้นมิอาจเทียบกับยักษ์ใหญ่วิถีเซียนเช่นลัทธิไร้มลทินได้จริง ๆ
ลัทธิไร้มลทิน?
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาจำศัตรูร้ายดั้งเดิมของหวังเย่ผู้หนึ่งขึ้นได้
เซวี่ยเซียวจื่อ!