บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1515: เหตุไม่คาดฝัน
ตอนที่ 1515: เหตุไม่คาดฝัน
กาลก่อน หลังหวังเย่เวียนวัฏ เซวี่ยเซียวจื่อเคยพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งเข้าอาละวาดในศักราชแห่งมารเพื่อหาที่อยู่ของหวังเย่
และเมื่อปีกว่าที่ผ่านมา ซูอี้ได้สนทนากับฉีเนี่ย ศิษย์เอกของเซวี่ยเซียวจื่อผ่านยันต์ลับในศักราชแห่งมาร!
ยามนั้นเองที่ซูอี้ได้รู้ว่าฉีเนี่ยเป็นเจ้าลัทธิไร้มลทิน คิดอยากสร้างศาลเซียนรวมศูนย์ขึ้นมาใหม่
แต่ซูอี้มิคาดเลยว่าเขาจะได้ยินชื่อลัทธิไร้มลทินตั้งแต่แรกเยือนโลกเซียนยามนี้
“เจ้าเป็นคนของลัทธิไร้มลทินหรือ?”
ซูอี้กล่าวกับชายชุดม่วง
“ข้าน่ะนะ ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นคนของลัทธิไร้มลทินหรอก”
ชายชุดม่วงมีนามว่าหลัวอวิ๋นจง เขาหัวเราะกับตนเองขณะกล่าวว่า “ว่ากันตามตรง สำนักของข้าอยู่ใต้อาณัติของลัทธิไร้มลทิน”
ซูอี้เข้าใจทันที
กล่าวโดยสรุปก็คือ สำนักซึ่งชายผู้นี้สังกัดเป็นขุมกำลังลูกของลัทธิไร้มลทิน
หลัวอวิ๋นจงกล่าว “ครานี้ ข้าสนองเจตจำนงของเจ้าลัทธิไร้มลทินฉีเนี่ยให้มารับตัวพวกเจ้า และในความคิดข้า คุณสมบัติของสหายน้อยควรค่าเป็นศิษย์ลัทธิไร้มลทินได้อย่างมิต้องกังวลเลย”
เจตจำนงของฉีเนี่ย?
ดวงตาของซูอี้เรืองประกาย ตระหนักแล้วว่าบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้น คลื่นมิติหนึ่งก็พลันกระเพื่อมไหวขึ้น ณ แดนดินห่างออกไป
จากนั้น ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ
เขาเป็นชายในชุดคลุม ใบหน้าซูบตอบ ดวงตาเฉียบคมเยี่ยงเหยี่ยว
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏขึ้น หลัวอวิ๋นจงและเหล่าเซียนทั้งหลายก็ผงะตกใจ ก่อนจะพากันคำนับทันควัน
“คำนับใต้เท้าหลิ่ว!”
เหตุนี้ทำให้อวี่เฉิน ฉินซู่ซินและคนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจ ตระหนักแล้วว่าตัวตนของชายในชุดคลุมผู้ถูกขานนามว่า ‘ใต้เท้าหลิ่ว’ ต้องไม่ธรรมดา
“เซียนแท้ขอบเขตสุญตาขั้นต้น”
ซูอี้ครุ่นคำนึง
สี่ขอบเขตวิถีเซียนประกอบด้วยเซียนขอบเขตจักรวาล เซียนแท้ขอบเขตสุญตา ราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ และจอมเซียนขอบเขตอัศจรรย์
เหนือขอบเขตวิถีเซียนทั้งสี่ยังมี ‘ขอบเขตมหาศาล’ ซึ่งถือว่าเป็นตำนานในหมู่ตัวตนวิถีเซียนอยู่ด้วย!
อย่างพวกหลัวอวิ๋นจงนั้นเป็นเพียงเซียนขอบเขตจักรวาล เป็นตัวตนขอบเขตแรกในวิถีเซียน
ส่วนชายในชุดคลุมซึ่งปรากฏขึ้นยามนี้เป็นเซียนแท้ในขอบเขตสุญตา!
อันที่จริง แม้โลกเซียนจะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มีสรรพชีวิตมากมายกระจายอยู่ ทว่ายอดฝีมือผู้ก้าวสู่วิถีเซียนได้โดยแท้จริงนั้นมีเพียงส่วนเดียว
เหมือนเช่นเหล่าเซียนขอบเขตจักรวาล พวกเขานับว่าเป็นคนใหญ่คนโตในสายตาสรรพชีวิต ณ โลกเซียนแล้ว
และเซียนแท้ขอบเขตสุญตาก็ครองแดนดินได้!
ในหมู่ขุมกำลังผู้ฝึกตน เซียนแท้ขอบเขตสุญตากล่าวได้ว่าเป็นตัวตนเช่นเสาค้ำจุน
และราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตัวตนสูงสุดในแดนดินต่าง ๆ ในทวีปเซียน ถือได้ว่าเป็นตัวตนชั้นหนึ่งทั่วทั้งโลกเซียน
“พวกเจ้ารับโองการ ภายในสามวัน ใต้เท้าทูตจากลัทธิไร้มลทินจะมาด้วยตนเอง และก่อนทูตจะมาถึง ผู้ฝึกตนซึ่งจุติสรวงจากโลกมนุษย์สู่โลกเซียนยามนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามไปไหนโดยมิได้รับอนุญาต!”
ชายในชุดคลุมประกาศโองการด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
เกิดเสียงฮือฮา คนทุกผู้ตระหนักแล้วว่ามีสิ่งผิดปกติ
“ใต้เท้าหลิ่ว ไม่ใช่ท่านบอกหรือว่าให้ข้ารับผิดชอบเป็นทูตแรกเยือนจากลัทธิไร้มลทิน?”
หลัวอวิ๋นจงอดถามมิได้
“ข้าผู้นี้เพิ่งได้รับโองการ หารู้สถานการณ์ไม่”
ชายในชุดคลุมกล่าวเสียงเรียบ
กล่าวจบเขาก็โบกมือ “เข้ามา ผนึกรอบโถงบรรลุสรวงนี้เสีย มิให้ผู้ใดเข้าออกโดยมิได้รับคำสั่งจากข้า!”
“ขอรับ!”
ยอดฝีมือวิถีเซียนผู้มีปราณร้ายกาจกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น
พวกเขามีกันนับร้อย แต่ละผู้ล้วนแผ่ปราณดุดันแข็งกร้าว กระจายผนึกรอบโถงบรรลุสรวงในทันใด
เหตุนี้ทำให้สีหน้าของพวกหลัวอวิ๋นจงแปรเปลี่ยน
กระทั่งอวี่เฉินและฉินซู่ซินยังตระหนักว่าสถานการณ์มิชอบมาพากลและขมวดคิ้ว
ตกลงมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?
หลายผู้เริ่มเป็นกังวล!
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหลังมายังโลกเซียนได้ไม่นาน ใครเล่าจะยังใจเย็นอยู่ได้?
ซูอี้นำไหสุราออกมาจิบ พอเห็นคร่าว ๆ แล้วว่าคลื่นใต้น้ำของสถานการณ์นี้น่าจะพุ่งเป้ามาที่เขา
แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
“ใต้เท้าหลิ่ว ต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?”
ชายในชุดคลุมมีนามว่าหลิ่วอวิ๋นจิ้ง เขากล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าเองก็ทำตามคำสั่ง อีกประการ ระหว่างช่วงนี้ พวกเจ้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่นี่เช่นกัน”
“แน่นอน ข้าเองก็จะอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้านอกแดนแปรเซียนนี้เช่นกัน”
กล่าวจบ หลิ่วอวิ๋นจิ้งก็หันหลังจากไป
พวกหลัวอวิ๋นจงมองหน้ากันด้วยสีหน้ามืดหมอง
เหตุมิคาดฝันเช่นนี้ทำให้พวกเขากระทำตนไม่ถูก
“อย่าร้อนรนไปเลย เมื่อทูตจากลัทธิไร้มลทินมาถึง เรื่องก็จะจบโดยไม่ต้องให้ทุกผู้รอต่อไปแน่”
หลัวอวิ๋นจงกล่าวปลอบอย่างนุ่มนวล
แต่ถึงว่าเช่นนั้น มันก็ไม่อาจปัดเป่าความเคลือบแคลงในหัวใจผู้ใดได้เลย
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศมืดหมองหดหู่
สายตาจองซูอี้มองไปยังข้างสระแปรเทพอย่างครุ่นคิด
ณ ที่นั่นมีชายชราร่างผอมผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือมีน้ำเต้าสุรา เปลือกตาหลับพริ้มราวไม่รู้สึกรู้สาต่อเหตุใด ๆ ในแดนดินนี้ กระทั่งดวงตายังมิเปิดออกสักครั้ง
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ละสายตา ถ่ายทอดเสียงต่อเซียนดาบชิงซื่อโดยไม่แปรสีหน้า
“เหมือนเหตุวันนี้จะหมายหัวข้าอยู่ เตรียมตัวให้พร้อม ยามจาก ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
หัวใจของเซียนดาบชิงซื่อตกตะลึง ดวงตาของเขาหรี่ลงก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ สื่อเป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว
ซูอี้มิได้กล่าวอันใดอีก ทำเพียงดื่มสุราเงียบ ๆ
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตซูอี้
“สหายน้อย หากเจ้ายินยอมเข้าร่วมขุมกำลังเบื้องหลังข้า ข้าผู้นี้ก็มีหนทางพาสหายเต๋าจากไปก่อนได้นะ”
ดวงตาของซูอี้เหลือบน้อย ๆ ไปทางชายผู้หนึ่งในชุดบัณฑิตขงจื๊อมิห่างไปนัก
คนผู้นี้มีใบหน้าเรียวผอม หนวดเคราเยี่ยงกิ่งหลิว มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
นี่คือหนึ่งในเหล่าเซียนผู้เป็นฝ่ายออกปากเชิญซูอี้เข้าร่วมสำนักเมื่อครู่
ซูอี้ดูจะยิ้ม ทว่าก็มิได้ยิ้ม ถ่ายทอดเสียงตอบกลับ “เพื่อให้ข้าร่วมสำนักเจ้า เจ้าไม่ลังเลจะล่วงเกินลัทธิไร้มลทินเลยหรือ?”
ชายในอาภรณ์บัณฑิตขงจื๊อกล่าวอย่างสุขุม “ในโลกเซียนทุกวันนี้ ระบบระเบียบพังทลาย โลกหล้าปั่นป่วน แม้ลัทธิไร้มลทินจะเป็นขุมกำลังยักษ์ใหญ่ชั้นหนึ่งในโลกหล้า ก็มิอาจใช้หนึ่งมือบังนภาได้อยู่ดี!”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แน่นอนว่าข้ารู้ว่าสหายเต๋ามีข้อเคลือบแคลง มิกล้าเชื่อวาจาคนแปลกหน้าเช่นข้า ดังนั้นคืนนี้ข้าจะแสดงฝีมือเล็กน้อย เมื่อสหายเต๋าเห็น ข้าก็เชื่อว่าสหายเต๋าจะรู้ว่าข้ามีฝีมือพาสหายเต๋าไปด้วยกันจริง ๆ”
ซูอี้ร้องโอ้ แล้วพลันถามขึ้น “บอกข้าได้หรือไม่ว่าโถงบรรลุสรวงนี้ตั้งอยู่ที่ใด?”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื๊อดูจะยินดีสนทนากับซูอี้ เขากล่าวยิ้ม ๆ “ที่นี่คือขุนเขากวางขาวแห่งแคว้นจิ่ง เมื่อนานมาแล้ว เดิมทีที่นี่เคยเป็นแดนบรรพชนของขุมกำลังอันดับหนึ่งในแคว้นจิ่ง ‘ศาลาเซียนค้ำวายุ’ และเดิมทีโถงบรรลุสรวงกับสระแปรเซียนแห่งนี้ก็เคยอยู่ในปกครองของศาลาเซียนค้ำวายุ
“ทว่าศาลาเซียนค้ำวายุนั้นถูกทำลายไปนับแต่ยุคอวสานเซียนแล้ว ขุนเขากวางขาวทุกวันนี้ก็เหลือเพียงดินแดนแร้นแค้นไร้หย่อมหญ้ากับโถงบรรลุสรวงและสระแปรเซียนนี้เท่านั้นแหละ”
กล่าวจบ เขาก็ทอดถอนใจ “กาลเวลาแปรผัน หายนะยุคอวสานเซียนแปรเปลี่ยนทุกสิ่งในโลกเซียนไปโดยสิ้นเชิง และขุมกำลังสะเทือนแดนดินในกาลก่อนเยี่ยงศาลาเซียนค้ำวายุต่างก็สลายหายในธารสายยาวแห่งประวัติศาสตร์สิ้นแล้ว”
ซูอี้อดเงียบไปไม่ได้
แคว้นจิ่ง!
ขุนเขากวางขาว!
ศาลาเซียนค้ำวายุ!
เขาหรือจะมิรู้จักชื่อคุ้นเคยเหล่านี้?
แคว้นจิ่งคือหนึ่งในทวีปเซียนทั้งสี่สิบเก้า
ศาลาเซียนค้ำวายุคือขุมกำลังราชันเซียนอันดับหนึ่งในแคว้นจิ่ง
และบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลาเซียนค้ำวายุก็เคยรับใช้ศาลเซียนรวมศูนย์มาก่อน มีนามว่าชีจ่างเลี่ย
สมญานาม ‘ราชันดาบจ่างเลี่ย’!
ราชันเซียนโดยแท้จริงผู้หนึ่ง
เหตุที่ซูอี้รู้กระจ่างนักเป็นเพราะชีจ่างเลี่ยผู้นี้คือหนึ่งในสามสิบหกขุนพลใต้บัญชาของหวังเย่เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งเคยติดตามซูอี้ ณ สนามรบในด่านสวรรค์ชั้นเก้าแห่งโลกเซียน!
กระทั่งยามชีจ่างเลี่ยไปอยู่ที่ศาลเซียนรวมศูนย์ก็ยังมาจากคำสั่งของหวังเย่!
แน่นอน นี่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
ยามนั้น หวังเย่ยังมิได้ก้าวสู่จุดสูงสุดในวิถีเซียน เป็นเพียงผู้ฝึกตนราชันเซียนเท่านั้น
จากความทรงจำของหวังเย่ ชีจ่างเลี่ยออกจากศาลเซียนรวมศูนย์หลังเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน กล่าวกันว่าเขาเดินทางไปยังโลกเร้นลับแห่งหนึ่งในโลกเซียนเพื่อจดจ่อกันการฝึกฝน
จากนั้นมา หวังเย่ก็สิ้นการติดต่อกับชีจ่างเลี่ย
‘กระทั่งศาลาเซียนค้ำวายุยังถูกทำลายในหายนะอวสานเซียน ดูเหมือนตัวตนบรรพกาลอย่างชีจ่างเลี่ยก็คงเผชิญยุคอวสานเซียนไปเช่นกัน… หาไม่ มีหรือเขาจะทนมองสำนักที่ตนตั้งพังทลายไป?’
ซูอี้ครุ่นคิด
หนึ่งหายนะอันกวาดทั่วโลกเซียนแปรเปลี่ยนเรื่องราวมากมายอย่างจริงแท้
และยามหวังเย่เวียนวัฏ หายนะอวสานเซียนนั้นก็ยังมิบังเกิด
ดังนั้น ความทรงจำของหวังเย่ในใจซูอี้จึงเป็นเรื่องก่อนหายนะอวสานเซียนทั้งสิ้น!
ในยุคอวสานเซียน ซูอี้มิอาจรู้ว่ามีขุมกำลังวิถีเซียนล่มสลายมากมายเพียงไร และตัวตนค้ำสวรรค์ตายตกไปกี่ผู้
ยามนี้ เขารู้เพียงว่าศัตรูร้ายของหวังเย่ เซวี่ยเซียวจื่อยังมีชีวิตอยู่ และลัทธิไร้มลทินของเซวี่ยเซียวจื่อก็ยังมีตัวตนในโลกหล้า
‘จากนี้ เราต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ในโลกเซียนทุกวันนี้ก่อน แล้วเติมเต็มความปรารถนาที่หวังเย่มิอาจทำให้บรรลุได้ รวมถึงบุญคุณความแค้นต่าง ๆ ด้วย’
ซูอี้ครุ่นคิด
อำนาจกรรมวิถีของหวังเย่ยังคงส่งอิทธิพลต่อความคิดของซูอี้
ศึกประชันจิตใจนี้ยังคงดำเนินอยู่อย่างไร้เสียง
และยามนี้ ซูอี้ก็พบหนทางทำลายสถานการณ์แล้ว
นั่นคือสะบั้นอาวรณ์ของหวังเย่ที่ต้นตอ เติมเต็มความปรารถนาอันมิอาจบรรลุผลของหวังเย่
กล่าวคือให้ตนแบกรับ ‘ผลกรรม’ ของหวังเย่ในชาตินี้เอง!
เมื่อทำเช่นนั้น เขาก็จะชนะศึกประชันจิตใจได้!
สิ่งที่หวังเย่เสียใจ เขาชดเชยให้ได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมวิถีของหวังเย่จะมีคุณสมบัติใดมาแทนที่เขา?
“สหายเต๋าซูคิดกระจ่างแล้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นซูอี้เงียบไปเนิ่นนาน ชายในอาภรณ์บัณฑิตขงจื๊อก็อดถามมิได้
ซูอี้กล่าวขณะเหลือบมอง “จวบยามนี้ เจ้ายังมิบอกข้าเลยว่ามาจากสำนักใด”
ชายในอาภรณ์บัณฑิตขงจื๊อแย้มยิ้มลึกลับ “อย่าห่วงเลย เมื่อสหายน้อยตอบตกลงมากับข้า ภายหน้าก็จะกระจ่างแจ้งเอง”
“ข้าบอกเจ้ายามนี้ได้เพียงว่า ขุมกำลังเบื้องหลังข้าหากลัวคำขู่ของลัทธิไร้มลทินไม่!”
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะหยอกเย้าอีก จึงกล่าวว่า “มิต้องหรอก หากข้าอยากไป มิต้องให้ผู้ใดช่วยก็ได้”
เมื่อถูกปฏิเสธตรง ๆ เช่นนี้ ชายในชุดบัณฑิตขงจื๊อก็ตกใจ คิ้วค่อย ๆ ขมวดหากัน
………………..