บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1516: ทั่วหล้าแดนเซียน ไร้ผู้ใดหยุดยั้งได้
ตอนที่ 1516: ทั่วหล้าแดนเซียน ไร้ผู้ใดหยุดยั้งได้
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อพลันส่งกระแสปราณมาว่า “สหายน้อย หากรอให้ทูตจากลัทธิไร้มลทินมาถึง พวกเจ้าน่าจะต้องเผชิญอันตราย!”
ซูอี้ตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “เหตุใดจึงเห็นเช่นนั้นหรือ?”
ดวงตาของชายในชุดบัณฑิตขงจื่อวูบไหว “พวกเจ้าเป็นผู้จุติสรวงที่มายังโลกเซียนเป็นกลุ่มแรก จึงเป็นที่สนใจจากขุมกำลังใหญ่ทั่วแดนเซียนอยู่แล้ว”
“แต่รู้หรือไม่ว่า ไยจึงมีเพียงเราที่มารับตัวพวกเจ้าในวันนี้?”
“นั่นก็เพราะลัทธิไร้มลทินปิดข่าว และยังใช้วิธีการบางอย่างเบี่ยงเบนความสนใจของทั่วหล้า!”
“นับแต่ปีก่อน ลัทธิไร้มลทินแพร่ข่าวออกไปว่าประตูจากโลกเซียนสู่แดนมนุษย์น่าจะปรากฏขึ้นในแคว้นหมิง แคว้นจิน แคว้นไป๋และแคว้นอวี้ แต่กลับมิพูดถึงแคว้นจิ่งเลย!”
“จึงกล่าวได้ว่านี่คือการปล้นสวรรค์แปรตะวัน!”
“และสาเหตุที่ลัทธิไร้มลทินทำเช่นนี้ก็เพื่อควบคุมผู้บรรลุขอบเขตจุติสรวงสู่โลกเซียน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความสงสัยบางส่วนในใจของเขาก็ได้รับคำตอบในที่สุด
ก่อนยุคอวสานเซียน ทุกคราที่ประตูเชื่อมโลกเซียนเปิดออก มันจะก่อให้เกิดความสนใจอย่างล้นหลามในโลกเซียน
ขุมกำลังวิถีเซียนมากมายจะส่งตัวแทนมาเลือกศิษย์จากเหล่าผู้จุติสรวงตามกฎของศาลเซียนรวมศูนย์
หลังผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อประตูเชื่อมโลกเซียนเปิดขึ้นอีกครั้ง แดนบรรลุสรวงในแคว้นจิ่งก็รกร้าง มีเพียงตัวแทนเซียนสิบกว่าคนเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น แม้เซียนกลุ่มนี้จะมาจากขุมกำลังวิถีเซียนต่าง ๆ พวกเขาก็ล้วนแต่รับใช้ลัทธิไร้มลทินกันทั้งนั้น!
ก่อนหน้านี้ ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อยยามลัทธิไร้มลทินแข็งแกร่งพอจะครองแดนบรรลุสรวงนี้ไว้ผู้เดียว
และยามนี้ เขาก็เข้าใจแล้ว
ลัทธิไร้มลทินเริ่มวางแผนปิดหูปิดตาขุมกำลังวิถีเซียนอื่น ๆ ในโลกเซียนด้วยข่าวปลอมตั้งแต่ปีก่อนแล้ว
ขณะเดียวกัน ลัทธิไร้มลทินก็ลอบส่งกำลังมายึดครองแดนบรรลุสรวง ณ แคว้นจิ่งไว้อย่างเงียบงัน!
ซูอี้เอ่ยถาม “ลัทธิไร้มลทินมิกลัวข่าวหลุดออกไปเลยหรือ?”
“เมื่อปีก่อน ลัทธิไร้มลทินได้ส่งกำลังครอบครองแดนบรรลุสรวง ณ ขุนเขากวางขาวที่แคว้นจิ่งเอาไว้แล้ว”
“ด้วยเหตุนี้ แม้ข่าวจะแพร่งพรายออกไป ขุมกำลังวิถีเซียนใดเล่าจะกล้างัดข้อกับลัทธิไร้มลทิน?”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงความนับถือ “และการที่ลัทธิไร้มลทินหมายมาดจะรวบพวกเจ้าผู้จุติสรวงทั้งหลาย ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดี”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อก็กล่าวว่า “แต่หากสหายน้อยเต็มใจไปกับข้า ก็มิต้องห่วงว่าจะไร้จุดยืนในโลกเซียนหลังจากนี้!”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้
สรุปก็คือที่ไอ้แก่นี่พูดเสียยืดยาว เพราะยังอยากชิงตัวเขาไปอยู่ดี และอีกฝ่ายก็ต้องมีแผนอื่นอยู่มิต่างกัน!
“สหายเต๋าหัวเราะอันใดหรือ?”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อขมวดคิ้ว
ซูอี้จับจ้องชายในชุดบัณฑิตขงจื่ออย่างลึกล้ำ และกล่าวว่า “ข้าแค่นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาได้น่ะ”
“ผู้ไร้สิ่งใดโดดเด่น หากมิใช่คนทรยศก็เป็นโจร”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อตกใจเพราะคำพูดนั้นจนใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาดุดันขึ้น
ซูอี้มองเขาอย่างไร้อารมณ์
ทว่าชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจเมื่อชายในชุดบัณฑิตขงจื่อสงบลง ทั้งยังมิได้ลงมือ
“ในที่สุดก็เจอพวกน่าสนใจแล้ว”
ซูอี้ออกความเห็นพลางหัวเราะ
“…”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อโกรธจนแทบอยากชกหน้าแย้มยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้าสักหมัด
น่าสนใจ?
เจ้าเป็นแค่ผู้จุติสรวงตัวจ้อย มีสิทธิ์อันใดมาล้อเลียนวางมาดใส่ข้า?
ขณะที่ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกำลังกรุ่นโกรธ ซูอี้ได้ก้าวไปอยู่ตรงหน้าเซียนดาบชิงซื่อแล้ว “ไป ออกจากที่นี่ก่อนแล้วไปเดินเล่นที่ผากวางขาวกัน”
วาจาเหล่านี้หาใช่การถ่ายทอดวจีไม่ มันจึงดังก้องภายในบริเวณโถงบรรลุสรวง
ทุกผู้ต่างหันมองมาด้วยความตกตะลึง
กระทั่งยอดฝีมือวิถีเซียนผู้ผนึกแดนดินใกล้เคียงเหล่านั้นยังมีทีท่าย่ำแย่
ก่อนหน้านี้ หลิ่วอวิ๋นจิ้งสั่งการไว้ว่าห้ามผู้ใดออกจากที่แห่งนี้จนกว่าทูตจากลัทธิไร้มลทินจะมาถึง!
ใครเล่าจะคิดว่าจะมีผู้บังอาจออกไป?
กระทั่งชายชราร่างผอมซึ่งนั่งอยู่ข้างสระแปรเทพยังเปลือกตากระตุก!
“สหายน้อย ผากวางขาวอยู่มิห่างจากที่นี่นัก หากอยากไปเดินเล่น รอจนกว่าทูตจากลัทธิไร้มลทินจะมาถึงก่อนก็ยังมิสาย”
หลัวอวิ๋นจงกล่าวขึ้น
ทูตแรกเยือนคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มเช่นกัน
พวกเขาล้วนประทับใจและชื่นชอบซูอี้
เหตุผลนั้นแสนง่ายดาย เป็นเพราะชายหนุ่มยังไม่ทันก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคล แต่กลับมาถึงโลกเซียนได้ด้วยความแข็งแกร่งตน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง!
“มิต้องหรอก”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ และเดินไปไกล
เซียนดาบชิงซื่อเดินตาม
หลัวอวิ๋นจงและคณะล้วนผงะไป
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิง และผู้จุติสรวงคนอื่น ๆ ยิ่งตกใจยิ่งกว่า
ที่แห่งนี้ถูกลูกน้อยเซียนของหลิ่วอวิ๋นจิ้งสกัดกั้นเอาไว้ แต่เขากลับจะออกไป มิรู้หรือว่าการฝืนฝ่าออกไปจะมีผลลัพธ์เช่นไร?
“เด็กนี่… หรือเขาจะสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลบางอย่างระหว่างสนทนากับข้าเมื่อครู่แล้วคิดจะหนี?”
เปลือกตาของชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกระตุก คิ้วขมวดแน่น
“หยุดนะ!”
ยอดฝีมือเซียนผู้หนึ่งในบริเวณใกล้เคียงเข้ามาขวาง
เขาเป็นชายร่างสูงในชุดเกราะ สายตาจ้องมองซูอี้อย่างมาดร้าย “ผู้ฝ่าฝืนออกไปโดยมิได้รับคำสั่งต้องถูกสังหารมิละเว้น!”
ยอดฝีมือเซียนคนอื่น ๆ ต่างมองมาอย่างไม่เป็นมิตร
“สหายน้อย รีบกลับมาเถิด ระวังอย่าล่วงเกินพวกเบื้องบนเลย!”
หลัวอวิ๋นจงเข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยความร้อนใจ
ขณะเดียวกัน เขาก็เตือนสติชายหนุ่มผ่านกระแสปราณว่าตัวตนวิถีเซียนนับร้อยเหล่านั้นต่างเป็นเซียนขอบเขตจักรวาลภายใต้บัญชาของหลิ่วอวิ๋นจิ้ง ซึ่งมาจากขุมกำลังเซียน ‘สำนักเซียนเมฆาโปรย’ แห่งแคว้นจิ่ง แม้จะมิใช่ขุมกำลังระดับราชันเซียน แต่รากฐานของพวกเขาก็แข็งแกร่งยิ่ง มิอาจมองข้ามได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้าอย่างมิแยแส
เมื่อกาลก่อน ขุมกำลังราชันเซียนส่วนใหญ่ในโลกหล้าหาอยู่ในสายตาซูอี้ไม่ อย่าว่าแต่หนึ่งสำนักซึ่งมิใช่กระทั่งขุมกำลังราชันเซียนเลย
จริงอยู่ที่เขายังมิได้เป็นเซียน แต่หากมิใช่ว่าราชันเซียนมาเอง เขาก็มิมีสิ่งใดต้องใส่ใจจริง ๆ!
“สหายน้อย…”
ขณะที่หลัวอวิ๋นจงกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
ซูอี้พลันกล่าวขึ้นว่า “โลกเซียนนั้นช่างกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่ข้ามิอาจไป หากข้าจะไป ทั่วหล้าแดนเซียนแห่งนี้ ก็ไร้ผู้ใดหยุดยั้งข้าได้”
กล่าวจบ เขาก็เดินจากไปไกล
หลัวอวิ๋นจงอดตะลึงมิได้
คนอื่น ๆ เองก็ผงะไป วาจาเหล่านี้ควรออกมาจากปากผู้จุติสรวงซึ่งเพิ่งมาถึงโลกเซียนหรือ!?
บ้า!
บ้าไปแล้ว!
อุปนิสัยก่อนหน้านี้ของซูอี้ทั้งเฉยชา ไร้อารมณ์ และดูสงบเงียบยิ่ง
ทว่ายามนี้ หลัวอวิ๋นจงและทูตวิถีแรกเยือนคนอื่นล้วนตระหนักแล้วว่าชายหนุ่มที่ตนประเมินว่าแตกต่างจากผู้อื่นนั้นกลับเป็นคนบ้า!
อวี่เฉินและฉินซู่ซินย่อมรู้ว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงใด และประจักษ์ทุกสิ่งตั้งแต่อยู่ในเขตแดนสมรภูมิแล้ว
ทว่าพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่ายามมาถึงโลกเซียน ความอหังการของซูอี้จะมิได้ลดลงเลย!
มันทำให้พวกเขารู้สึกละอาย
เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาผู้จุติสรวงยังดูขลาดเขลาก้มหัวยามเผชิญกับเหล่าเซียนเสียอีก!
ในหมู่พวกเขา เซียนดาบชิงซื่อดูสุขุมที่สุด
ตั้งแต่อยู่ในจักรดาราตงเสวียน ม่อชิงโฉวผู้มาจากตระกูลวิถีราชันเซียนพินอบพิเทาต่อซูอี้นัก กระทั่งตัวตนเหนือล้ำผู้ใดอย่างปราชญ์หงอวิ๋นยังมิเคยกล้าประเมินชายหนุ่มไว้ต่ำ
ยิ่งมิต้องพูดถึงว่ามีวิญญาณอาสัญวิถีเซียนตกตายด้วยมือเขามานับไม่ถ้วน รวมถึงวิญญาณอาสัญวิถีเซียนแท้ขอบเขตสุญตาอีกจำนวนมาก!
ด้วยเหตุนี้ มีหรือซูอี้จะสนใจเหล่าเซียนที่นี่?
“เจ้าคนกำเริบเสิบสาน เหล้าฉลองมิดื่มจะดื่มเหล้าลงทัณฑ์ เจ้าต้องถูกลงทัณฑ์สถานหนัก!”
ชายร่างสูงในชุดเกราะตวาดลั่นและลงมือทันที
ตู้ม!
เขายกแขนขวาขึ้น ฟาดหัตถ์ใหญ่เยี่ยงพัดเข้าใส่ซูอี้กลางอากาศ ระหว่างนิ้วทั้งห้าปรากฏรัศมีเซียนเรืองรองประสานกับกฎเกณฑ์ อำนาจของมันจึงร้ายกาจชวนสะพรึง
เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นเซียนผู้บรรลุสู่ขอบเขตจักรวาลแล้ว
อำนาจจากการโจมตีอันเรียบง่ายนั้นทำให้ผู้จุติสรวงมากมายหวาดผวา พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
มีเพียงอวี่เฉิน ฉินซู่ซิน และคณะเท่านั้นที่มีท่าทีปกติ ทว่าในใจของพวกเขาก็รู้สึกพรั่นพรึงมิต่างกัน คิดว่าหากเปลี่ยนเป็นตนคงต้องลงมืออย่างสุดกำลัง จึงจะพอประชันกับอีกฝ่ายได้
“ระวัง!”
หลัวอวิ๋นจงชิงลงมือแล้ว ร่างของเขาวูบไหวขณะพยายามช่วยชายหนุ่มต้านการโจมตีนี้
แม้วาจาก่อนหน้านี้ของซูอี้จะบ้าระห่ำ ทว่าเขาก็มิอาจทนมองเมล็ดพันธุ์ชั้นดีอย่างชายหนุ่มถูกทำลายลงได้
“โอ้ เจ้าน่ะมองอยู่เฉย ๆ ก็พอ”
เสียงหนึ่งถอนหายใจเบา ๆ อย่างจนใจ ก่อนซูอี้จะสะบัดแขนเสื้อของเขา
ร่างของหลัวอวิ๋นจงซึ่งเพิ่งเคลื่อนเข้ามาถูกขวางไว้ด้วยอำนาจล่องหน ส่งเขาคืนจุดเดิม
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ
เป็นเพียงหนึ่งฝ่ามือวูบไหว แต่กลับเหมือนขุนเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนขยับ สลายฝ่ามือที่ชายร่างสูงตบเข้ามาจนหายไป
ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น ทุกผู้ต่างตะลึงเมื่อเห็นว่าเกราะของชายร่างสูงพลันแหลกเป็นผุยผง
จากนั้นร่างของชายตัวสูงก็ถูกหนึ่งฝ่ามือกดลงกับพื้น ร่างอ่อนปวกเปียกทั้งยังโชกเลือด มิอาจทราบว่ากระดูกแตกแหลกไปกี่ชิ้น!
หนึ่งฝ่ามือปราบเซียน!
การโจมตีอันทรงพลังนี้ทำให้ทุกผู้ทึ่มทื่อแทบสติหลุด
นี่…นี่เป็นความแข็งแกร่งที่ผู้จุติสรวงมีได้หรือ!?
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน เริ่นฉางชิงและคณะมองหน้ากัน หัวใจแต่ละผู้ล้วนตกตะลึง
ยามนี้ ตัวตนผู้กล่าวได้ว่าเป็นผู้นำมนุษย์ผู้จุติสรวงตระหนักจนขึ้นใจว่าความต่างชั้นระหว่างพวกตนกับซูอี้ใหญ่หลวงเพียงใด!
หลัวอวิ๋นจงและคนอื่น ๆ ชะงัก ใบหน้าเปี่ยมความตกตะลึง ชายหนุ่มผู้นี้ท้าทายสวรรค์เพียงนี้เลยหรือ?
ต้องทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้ยังมิได้บรรลุสู่ขอบเขตจุติมงคลด้วยซ้ำ!!
“เป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร…”
เซียนร้อยกว่าคนซึ่งประจำการอยู่ใกล้กับโถงบรรลุสรวงต่างก็ตกตะลึงจนกรามแทบร่วง
พวกเขาเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับชายร่างสูงผู้นั้น จึงเข้าใจดีว่าชายร่างสูงมีการฝึกฝนขอบเขตจักรวาลอันเลิศล้ำทรงพลังเพียงใด
แต่ไม่คาดเลยว่าชายคนนั้นจะถูกหนึ่งฝ่ามือปราบสิ้นท่าเยี่ยงแมลงวัน!
สิ่งที่น่าพรั่นพรึงที่สุดก็คือ ก่อนปราบชายร่างสูงลง ชายหนุ่มผู้นั้นยังส่งหลัวอวิ๋นจงกลับที่เดิมของเขาอย่างง่ายดาย!
ชายชราผู้นั่งบนริมสระแปรเซียนซึ่งหลับตามาตลอดลืมตาขึ้นมองร่างสูงของซูอี้จากไกล ๆ แต่ยามใดมิอาจทราบ
แววตาหมองมัวของเขาเผยประกายอันมิอาจพรรณนา
ชั่วขณะนั้น เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบ
บรรยากาศดูราวกับถูกแช่แข็ง
มีเพียงเสียงอันเฉื่อยชาของซูอี้ดังขึ้นมาว่า “ฝ่ามือนี้ถือเป็นการเขย่าภูขู่พยัคฆ์ ต่อจากนี้ ผู้ใดกล้าขวางทางข้าอีกจะต้องรับผลกรรม”