บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1517: หนึ่งฝ่ามือกดเซียนลงคุกเข่า
ตอนที่ 1517: หนึ่งฝ่ามือกดเซียนลงคุกเข่า
ร่างของบุรุษคนนั้นกระตุกวูบ ขณะร้องครวญครางอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้น
วาจาของซูอี้เพิ่มความหนักอึ้งในบรรยากาศขึ้นสามส่วน!
“หากปล่อยคนบ้าผู้นี้ไป สำนักเซียนเมฆาโปรยของข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
สตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์หลากสีกล่าวขึ้น ในมือของนางถือขวดหยก ดวงตาเย็นเยียบ “ทุกท่าน ลงมือขวางคนผู้นี้ ปราบเขาให้สิ้นซากด้วยกันเถอะ!”
“ได้!”
ทันใดนั้น ยอดฝีมือจากสำนักเซียนเมฆาโปรยทั้งหลายซึ่งประจำอยู่ที่อื่นล้วนขยับเข้ามาตาม ๆ กัน คนนับร้อยล้อมซูอี้ไว้ทุกทิศทางเยี่ยงระลอกน้ำสอดประสาน
ทุกผู้ต่างใช้สมบัติ หมายมาดจะเอาชีวิต
แรงกดดันอันร้ายกาจแห่งวิถีเต๋าปกคลุมทั่วราวท้องนภาถล่ม
หลัวอวิ๋นจงและคณะทูตแรกเยือนต่างหน้าเปลี่ยนสี
เรื่องใหญ่แล้ว!
อวี่เฉิน ฉินซู่ซินและผู้จุติสรวงคนอื่น ๆ เองก็อ้าปากค้าง
การที่เซียนนับร้อยลงมือถือเป็นเรื่องใหญ่จนน่าหวาดผวาโดยมิต้องสงสัย เพียงมองจากระยะไกลก็ชวนให้รู้สึกสิ้นหวัง
“อยู่ดี ๆ กลับรนหาที่ตาย”
ดวงตาของชายหนุ่มเย็นเยียบ พาเซียนดาบชิงซื่อเดินไปเบื้องหน้าโดยมิแยแส
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนสะเทือนสรวงดังกึกก้อง
เซียนนับร้อยลงมือด้วยกัน ต่างผู้ล้วนใช้สมบัติเซียนในมือโจมตีซูอี้โดยไร้ความลังเล
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังเห็นฝีมือซูอี้ กระทั่งเซียนเหล่านี้ยังมิกล้าออมมือ
เปรี้ยง!
แดนดินสั่นสะเทือน หมู่เมฆาทั่วทศทิศมลายสูญ
รัศมีเซียนเจิดจรัสและเสียงคำรามแห่งสมบัติสะท้อนก้องทั่วทั้งฟ้าดิน และคลื่นทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ปกคลุมแดนดินที่ซูอี้ยืนอยู่อย่างทั่วถึง!
สีหน้าของชายหนุ่มปรากฏแววดูแคลนออกมา
ยามเขาอยู่ในขอบเขตแปรสามัญ เมื่อเผชิกับวงล้อมสังหารเช่นนี้ เกรงว่าคงได้แต่ต้องสู้ยิบตาเพื่อที่จะหลุดออกจากวงล้อมให้ได้
ทว่ายามนี้ เขาบรรลุขอบเขตแปรสัจธรรมเรียบร้อยแล้ว และครึ่งปีมานี้ เขาก็ตกตะกอนความคิดและวิถีเต๋ามาตลอด จึงสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแปรสุญตาได้ทุกเมื่ออย่างง่ายดาย!
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ แม้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต!
“แหลก!”
เสียงนั้นดังขึ้นเบา ๆ
ซูอี้สะบัดอาภรณ์ ขณะทะยานสู่เวหา มือขวาฟาดลงมา
ดุจท่านเซียนสูงส่งโจมตี ระเบิดโทสะเยี่ยงอสนีบาต!
ตู้ม!
อำนาจดาบอันร้ายกาจระเบิดออกจากมือของซูอี้
ฟ้าดินพลันสิ้นวจี
ฟ้าดินสนั่นไหวรุนแรง แดนดินแหลกร้าว ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย ทั้งหมดพลันตกสู่ภาวะหยุดชะงักราวถูกตรึงไว้
แม้กระทั่งสมบัติเซียนนับร้อยซึ่งทะยานสู่นภายังพากันสั่นสะท้าน เปล่งเสียงโหยหวน
ทันใดนั้น เสียงระเบิดรัวเร็วเยี่ยงเสียงกลองก็ดังขึ้น
สมบัติเซียนนับร้อยชิ้นแหลกสลายดุจแก้วอันเปราะบาง พวกมันระเบิดเป็นเศษซากหลากสีปลิวว่อน
และเมื่ออำนาจของดาบอันร้ายกาจเล่มนั้นกวาดเข้าใส่ เซียนนับร้อยคนก็ปลิวกระเด็นเยี่ยงเรือน้อยท่ามกลางวายุคลั่ง
โลหิตสาดกระเซ็น
เสียงกรีดร้องทะลวงสวรรค์
ชั่วขณะนั้น บริเวณที่ซูอี้และเซียนดาบชิงซื่อยืนอยู่ไร้ผู้ใดขัดขวาง!
“นี่…”
ทุกผู้ซึ่งรับชมอยู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ด้วยอำนาจหนึ่งฝ่ามือ กดเซียนลงคุกเข่าทั่วแดนดิน!
แทบทุกผู้ล้วนคิดว่าตนฝันไป ความเข้าใจดั้งเดิมถูกพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
เพราะถึงอย่างไร ใครเล่าจะคาดคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนมนุษย์ซึ่งยังไม่ทันก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคลจะทำได้?
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
หัวใจวิถีของอวี่เฉินสั่นสะท้านจนเสียอาการโดยสิ้นเชิง
ผู้จุติสรวงคนอื่น ๆ ต่างคล้ายได้พบกับเทพ!
พวกหลัวอวิ๋นจงล้วนตะลึงงัน
แม้เซียนดาบชิงซื่อจะรู้รายละเอียดบางประการของซูอี้อยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ เขาก็ยังอดตกใจมิได้
เขาพึมพำในใจ ที่แท้สหายเต๋าซูก็ทรงพลังเพียงนี้แล้ว!
“เด็กนี่… เขา…”
เมื่อเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อซึ่งลอบสนทนากับซูอี้ก่อนหน้านี้ก็ตกใจเสียจนแทบสะดุ้ง มิอาจหาวาจาใดมาบรรยายอารมณ์ของเขาได้
……
ยอดขุนเขากวางขาว
ใต้ต้นสนโบราณต้นหนึ่ง
“ข่าวแพร่ออกไปแล้ว ขุมกำลังใหญ่วิถีเซียนทั้งหลายต่างส่งตัวตนระดับสูงที่สุดของพวกเขาให้กระจายอยู่ในบริเวณขุนเขากวางขาวแห่งแคว้นจิ่ง”
“ตัวตนทรงอำนาจจากขุมกำลังวิถีเซียนทั้งหลายก็กำลังมุ่งหน้าสู่แคว้นจิ่งจากทุกแห่งหนเช่นกัน!”
“หลังจากได้รับข่าวนี้ ให้อพยพผู้จุติสรวงทั้งหมดไปยังสำนักเซียนเมฆาโปรยของเจ้าทันที!”
“หากภารกิจนี้ล้มเหลว สำนักเซียนเมฆาโปรยจะไต่สวนเจ้า!”
…หลังจากหลิ่วอวิ๋นจิ้งอ่านข่าวเมื่อครู่ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่ายามใด
“เมื่อปีก่อน ลัทธิไร้มลทินวางแผนปิดข่าวเกี่ยวกับแดนบรรลุสรวงในแคว้นจิ่งหมดแล้ว แต่ไม่คาดว่าสุดท้ายข่าวก็แพร่ออกไปอยู่ดี…”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งลอบรำพึง
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักได้ว่าสถานการณ์ทวีความเร่งด่วนมากขึ้นทุกขณะ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขางุนงงคือ ไฉนขุมกำลังวิถีเซียนอื่น ๆ จึงให้ความสำคัญกับผู้จุติสรวงเหล่านี้มากนัก
พวกเขากระทั่งคิดชิงคนกับลัทธิไร้มลทินอย่างไม่ลังเล!!
“เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอื่นอยู่แน่! หรือก็คือในหมู่ผู้จุติสรวงต้องมีตัวตนที่ขุมกำลังใหญ่วิถีเซียนในโลกหล้าหมายมาดได้มาอยู่!”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งอนุมานได้เช่นนั้น
เขาลุกขึ้นและเดินไปยังแดนบรรลุสรวง
ทว่ายังมิทันไร เสียงกรีดร้องสะเทือนทั่วหล้าก็ดังมาไกล ๆ
“เกิดเรื่องขึ้นหรือ?”
หัวใจของหลิ่วอวิ๋นจิ้งบีบรัดแน่นขึ้นจนสีหน้าเปลี่ยนผัน
เขาเพิ่งได้รับข่าวจากผู้ทรงอำนาจในลัทธิไร้มลทินว่า หากภารกิจล้มเหลว พวกเขาจะถูกสำนักเซียนเมฆาโปรยลงทัณฑ์
พริบตาต่อมาก็เกิดบางอย่างขึ้นในแดนบรรลุสรวง
มีหรือหลิ่วอวิ๋นจิ้งจะไม่ลนลาน?
เขาลงมือสุดกำลัง เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็มายังแดนบรรลุสรวง
จากนั้นเขาก็เห็นเหล่าผู้ใต้บัญชานอนเกลื่อนทั่วพื้น รวมถึงซูอี้และเซียนดาบชิงซื่อผู้กำลังจะออกจากแดนบรรลุสรวงไป
ไม่มีศัตรูภายนอก?
หลิ่วอวิ๋นจิ้งประหลาดใจ
เดิมที เขาคิดว่ามีขุมกำลังวิถีเซียนแห่งอื่นปรากฏกายขึ้นเพื่อแย่งชิงผู้จุติสรวง แต่ยามนี้ดูจะไม่ใช่เช่นนั้น
ขณะครุ่นคิด สายตาของหลิ่วอวิ๋นจิ้งก็จับจ้องไปยังชายหนุ่มกับเซียนดาบชิงซื่อนิ่ง ๆ พลางกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “หยุดนะ!”
เสียงนั้นสนั่นลั่นเยี่ยงสายฟ้า สะท้อนก้องทั่วทั้งฟ้าดิน
แรงกดดันแผ่ออกไปทั่วทั้งแดนดิน
นั่นคืออำนาจของเซียนแท้ขอบเขตสุญตา!
หลัวอวิ๋นจงและคณะอดหลั่งเหงื่อแทนซูอี้มิได้
เซียนแท้ขอบเขตสุญตาเป็นตัวตนชั้นหนึ่งจากทั่วแดนทวีป ซึ่งเป็นรองเพียงราชันเซียนเท่านั้น!
และหลิ่วอวิ๋นจิ้งก็เป็นผู้อาวุโสอันดับเจ็ดแห่งสำนักเซียนเมฆาโปรย ซึ่งโด่งดังก้องโลกมานาน!
แม้กระทั่งสำนักที่อยู่เบื้องหลังหลัวอวิ๋นจงกับเหล่าทูตแรกเยือนก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่คนชั้นนำเหล่านี้!
นี่คือการข่มอำนาจด้วยความต่างชั้น
ชายหนุ่มหรี่ตามองไปยังหลิ่วอวิ๋นจิ้งผู้ยืนขวางอยู่กลางอากาศในระยะไกล และกล่าวว่า “การฝึกฝนขอบเขตสุญตาขั้นต้น จึงจะมีคุณสมบัติมาสู้กับข้าได้”
เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากหลิ่วอวิ๋นจิ้ง!
ทว่าสิ่งนี้ทำให้ซูอี้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น
เขาปวดเศียรด้วยไม่อาจรู้ว่าตนแข็งแกร่งขึ้นเพียงไหนมาตลอด และยามนี้อาจเป็นโอกาสในการพิสูจน์!
หลังจากฟังวาจาของชายหนุ่ม เปลือกตาของทุกผู้ก็กระตุกอย่างรุนแรง
คนผู้นี้บ้าพอจะกล้าสู้กับเซียนแท้ขอบเขตสุญตาด้วยหรือ!?
หลิ่วอวิ๋นจิ้งเองก็ผงะไปชั่วขณะ ก่อนจะขมวดคิ้ว “คนจากสำนักเซียนเมฆาโปรยของข้าถูกเจ้าปราบหมดเลยหรือ?”
ซูอี้พยักหน้าพร้อมกับตอบ “ถูกต้อง”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งลอบตะลึงในใจ ขณะกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “มีผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเขาทำอันใดบ้าง?”
ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากสำนักเซียนเมฆาโปรยซึ่งถูกอัดลงไปกองกับพื้นกล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่น “ผู้อาวุโสเจ็ด หนึ่งฝ่ามือของเขาสยบพวกข้าลงกับพื้น กระทั่งสมบัติเซียนของเรายังถูกทำลายขอรับ”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวขึ้น เหล่ายอดฝีมือจากสำนักเซียนเมฆาโปรยต่างก้มหน้าด้วยความละอายคนแล้วคนเล่า
หลิ่วอวิ๋นจิ้งตะลึงงันเมื่อได้ยิน
หนึ่งฝ่ามือ สยบเซียนขอบเขตจักรวาลนับร้อย!?
“จริง…จริงหรือ?”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งอดถามมิได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาผู้นี้ไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดได้
“เรียนใต้เท้าหลิ่ว เป็นความจริงขอรับ ทว่าที่มาของเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะสหายน้อยกระทำการชั่วช้า เขาแค่อยากออกไปพักผ่อนที่ผากวางขาวเท่านั้นขอรับ”
หลัวอวิ๋นจงกล่าวขึ้นจากไกล ๆ ขณะที่เหล่าทูตวิถีแรกเยือนต่างพยักหน้ายืนยันคำกล่าวนั้น
วาจาเหล่านี้ไม่เพียงตอบคำถามของหลิ่วอวิ๋นจิ้งเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยพูดแก้ต่างให้ชายหนุ่มด้วย
คิ้วของหลิ่วอวิ๋นจิ้งยิ่งขมวดหนัก
เขาตระหนักชัดเจนว่าบางอย่างผิดปกติ
ชั่วขณะนั้น เขามองซูอี้ด้วยแววตาเปลี่ยนไป
“อยากประมือกับข้าหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยถาม
ทุกผู้มองหน้ากันอย่างงุนงง ผู้ใดในโลกหล้าจะเคยเห็นผู้ฝึกตนมนุษย์เป็นฝ่ายท้าประลองกับเซียนแท้ขอบเขตสุญตามาก่อนบ้าง?
“มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เขาจึงมิเห็นหัวข้าเลย…”
สีหน้าของชายในชุดบัณฑิตขงจื่อถมึงทึง พลันพบว่ายามตนสนทนากับซูอี้เมื่อครู่ เขาคือตัวตลก!!
หลิ่วอวิ๋นจิ้งเงียบไป
หลังจากนั้นเนิ่นนาน เขาก็กลั้นใจถามขึ้นว่า “ท่านเอ๋ย ข้าเองก็ทำตามคำสั่ง หาใช่เจตนาตนไม่ โปรดอย่าทำให้ข้าเสียหน้าเลย”
เขาว่าพลางประคองกำปั้นคำนับซูอี้ราวกำลังขอขมา
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกผู้ตกตะลึง หนึ่งเซียนแท้ขอบเขตสุญตามิกล้ารับคำท้าประลองจากผู้จุติสรวง!?
บางผู้ก็เห็นว่าที่หลิ่วอวิ๋นจิ้งไม่กล้ารับคำท้าเป็นเพราะรู้สึกพรั่นพรึง!
ซูอี้กล่าวอย่างผิดหวังทันที “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ ก็อย่าขวางทางข้า”
กล่าวจบ เขาก็เดินออกไปพร้อมเซียนดาบชิงซื่อ
“ช้าก่อน!”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งรีบกล่าว
“เจ้าจะหยุดข้าหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
หลิ่วอวิ๋นจิ้งส่ายหน้าพลางกล่าวขึ้นว่า“ท่านอาจยังไม่รู้ว่า อีกไม่นานแดนบรรลุสรวงนี้จะเกิดการฆ่าฟันอันเกินทำนายขึ้น หากต้องการจะไป ท่านก็ไปกับข้าจะดีกว่า เมื่อไปถึงสำนักเซียนเมฆาโปรย ข้าจะปฏิบัติต่อท่านเยี่ยงแขกผู้มีเกียรติชั้นหนึ่งเลย”
กล่าวจบ เขาก็กวาดตามองไปทางพวกอวี่เฉิน “พวกเจ้าก็เหมือนกัน มีเพียงการไปกับข้าเท่านั้นที่จะรอดจากหายนะสังหารเกินคาดคิดนั้นได้”
หน้าของพวกเขาล้วนเปลี่ยนสี เมื่อสัมผัสได้ถึงเค้าอันตราย
“ใต้เท้าหลิ่ว เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ?”
หลัวอวิ๋นจงอดถามมิได้
หลิ่วอวิ๋นจิงลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “ขุมกำลังวิถีเซียนบางแห่งได้ส่งกลุ่มยอดฝีมือระดับสูงมายังแคว้นจิ่งแล้ว จุดประสงค์คือชิงตัวผู้ฝึกตนมนุษย์จุติสรวงที่นี่!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าวออกมา บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้น
อวี่เฉิน ฉินซู่ซินและคนอื่น ๆ สังเกตเห็นแล้วว่าสถานการณ์ในยามนี้ทวีความอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ!
ซูอี้หรี่ตาลง หากวาจาของหลิ่วอวิ๋นจิ้งเป็นความจริง เช่นนั้นก็เกรงว่าเรื่องทั้งหมดนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะเขา!!