บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 152 อำลา
ณ ตระกูลหยวน
“ท่านพ่อ วันนี้น้องหวงไปสมัครเข้าร่วมกองทัพ ลูกจะไปส่งสักระยะหนึ่ง”
หยวนลั่วอวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคารพ
“นำของขวัญไปด้วย อืม เจ้าไปเลือกของล้ำค่าดี ๆ จากคลังออกมาสักเล็กน้อย แม้ว่าของสิ่งนั้นจะให้แก่หวงเฉียนจวิน แต่ที่สำคัญที่สุดจะต้องให้คุณชายซูอี้เห็นให้ได้ และห้ามสะเพร่าเป็นอันขาด เพื่อแสดงความจริงใจของตระกูลหยวนเราในครั้งนี้” หยวนอู่ทงตัดสินใจแน่วแน่
“ขอรับ!” หยวนลั่วอวี่ตอบรับโดยไม่ลังเล
ก่อนที่ฉับพลันนั้น น้ำเสียงของหยวนอู่ทงจะกลับกลายเป็นเย็นเฉียบ “เมื่อคืนนี้เจ้าใช้จ่ายเงินในศาลาคลื่นซัดทรายไปไม่น้อย ครั้งนี้ข้าจะเห็นแก่หน้าคุณชายซู ข้าจึงยังไม่เอาความกับเจ้า แต่จะดีที่สุดหากเจ้ารีบไสหัวกลับไปกองกำลังเกล็ดแดง!”
“ขอบพระคุณท่านพ่อที่เมตตา!” หยวนลั่วอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม ก่อนเดินออกไปอย่างมีความสุข
“ท่านพ่อ ข้าก็จะไปด้วย” หยวนลั่วซีที่อยู่ข้าง ๆ ลุกขึ้น และเดินออกไปอย่างลิงโลด โดยไม่ถามว่าหยวนอู่ทงจะเห็นด้วยหรือไม่
รับชมดังนั้น หยวนอู่ทงจึงพูดไม่ออก ในใจได้แต่ปลดปลง เฮ้อ เมื่อบุตรสาวโตแล้ว ก็ถึงเวลาที่นกน้อยจะออกจากกรงเสียที!
…..
ณ เรือนเงียบสุขสงบ
จางอี้เหรินเดินเข้ามาเคาะประตูเบา ๆ
ทว่าคนที่มาเปิดต้อนรับกลับไม่ใช่หวงเฉียนจวิน แต่เป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์และสง่างามคนหนึ่ง
แม้นางจะสวมเสื้อผ้าเรียบงาม ใบหน้างามงดเรียบเนียนไม่เสริมแต่งใด มันกลับไม่สามารถซ่อนใบหน้าบอบบางน่าทะนุถนอมนั้นได้
“แม่นางฉาจิ่น?” จางอี้เหรินตกตะลึง
เมื่อตอนนั้นที่อยู่บนชั้นดาดฟ้าเรือ เขาเคยเห็นหน้าคณิกาที่มีบุคลิกงดงามคนนี้แล้ว แต่กลับไม่คิดเลย ว่านางจะปรากฏตัวอยู่ที่เรือนเงียบสุขสงบแห่งนี้
หลี่โม่อวิ๋น หนีเฮ่าและพวกชายหนุ่มเหล่านั้นล้วนตกตะลึง และทึ่งกับรูปลักษณ์ที่งดงามของฉาจิ่น
หลายคนรู้สึกต่ำต้อย จนไม่กล้ามองหน้าตรง ๆ
ในใจหนานอิ่งก็ทอดถอนใจไปครู่หนึ่ง นางเป็นสตรี จึงรู้สึกอิจฉาต่อความงามของอีกฝ่ายเล็กน้อย เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ทั่วสำนักดาบชิงเหอ ดูเหมือนจะมีแค่เหวินหลิงเสวี่ยคนเดียวที่พอสูสี!
ฉาจิ่นค่อย ๆ ทำความเคารพ พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ยินดีที่ได้พบนายท่านจาง ข้าน้อยขอริอาจถามพวกท่านว่าต้องการมาเยี่ยมเยียนบ้านคุณชายของข้าน้อยด้วยเหตุใด?”
รับชมภาพตรงหน้า เหล่าบุรุษโดยรอบต่างกลายเป็นคลุ้มคลั่ง พวกเขาเกือบจะตะโกนออกไป ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ บุคลิกแบบนั้น และใบหน้างามนี้… มันช่างดีจริง ๆ
เฉินเจิ้งเผยสีหน้าประหลาดใจ คิดในใจว่า สหายซูผู้นี้แข็งแกร่งจริง ๆ นึกไม่ถึงเลยว่ารับคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้มาปรนนิบัติได้!
“ใช่แล้ว พวกข้ามาเยี่ยมเยียนคุณชายซู” จางอี้เหรินพยักหน้า
ในตอนนั้น หวงเฉียนจวินที่ได้ยินข่าวมาก่อนหน้า จึงเอ่ยเชื้อเชิญขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นอ๋อง ท่านจาง เชิญพวกท่านเข้ามาเร็ว”
จางอี้เหรินขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้น “น้องหวง เจ้าขอบตาดำ และร่างกายดูอ่อนแรง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เอ่อ ไม่มีอันใด” หวงเฉียนจวินรู้สึกเก้อเขิน
ทันใดนั้น เขาพลันหันไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย คิ้วจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดแน่น “หลี่โม่อวิ๋น ทำไมถึงเป็นเจ้า?”
หลี่โม่อวิ๋นเห็นหวงเฉียนจวินนานแล้ว ในใจนั้นก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อเห็นอีกฝ่ายกับจางอี้เหรินพูดคุยกันอย่างออกรส ในใจราวกับถูกคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งถาโถมเข้าใส่ จนแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“อ้าว ยังมีพวกเจ้าอีก” เมื่อหวงเฉียนจวินเห็นหนีเฮ่ากับหนานอิ่ง แววตาจึงเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเล็กน้อย
หนีเฮ่ากับหนานอิ่งต่างก็นิ่งอึ้ง ทั้งคู่แสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ก่อนที่จะมา พวกเขาก็อดคิดไม่ได้ คนที่สามารถทำให้จวิ้นอ๋องมาอำลาด้วยตัวเองได้จะเป็นเทพเซียนจากที่ไหนกัน
แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอหวงเฉียนจวิน!
พวกเขาจะลืมได้อย่างไรกัน ตอนนั้นที่ชั้นเก้าของภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ แซ่หวงผู้นี้อยู่ข้าง ๆ ซูอี้มาโดยตลอด?
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในตอนที่พวกเขาเห็นหวงเฉียนจวิน ชั่วพริบตาหนึ่งก็ทำให้หนีเฮ่ากับหนานอิ่งเดาออก ว่าคนที่จวิ้นอ๋องต้องการมาเข้าพบนั้นคือใคร!
ภายในใจของพวกเขายากที่จะสงบลงชั่วครู่หนึ่ง และสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูดีขึ้น
“น้องหวงก็รู้จักพวกเขาหรือ?” จางอี้เหรินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“เป็นเรื่องปกติ เป็นคนรู้จักเก่าก่อน” หวงเฉียนจวินเอ่ยขึ้นพร้อมหัวเราะเสียงดัง
จางอี้เหรินเองก็หัวเราะเช่นกัน “นั่นย่อมเป็นเรื่องดี ครั้งนี้พวกเขาจะกลับไปหุบเขามารบุปผาโลหิตกับจวิ้นอ๋องด้วย ในเมื่อพวกเจ้ารู้จักกัน เช่นนั้นก็ใกล้ชิดกันมากเข้าไว้”
ในตอนที่สนทนากัน ทุกคนก็เดินมาถึงลานบ้านแล้ว
ในขณะเดียวกัน ซูอี้เดินออกมาจากห้องของตัวเองอย่างช้า ๆ ในชุดคลุมสีฟ้าอมเขียว ม้วนมวยผม ดูเป็นระเบียบ ทว่าผ่อนคลาย และคล้ายจะไม่สนใจสิ่งใด
เป็นเขาอย่างที่คิดไว้จริง ๆ!
หนีเฮ่ากับหนานอิ่งต่างก็ขื่นขม รู้สึกหดหู่จนพูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้ ครั้นถูกเลือกโดยจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง ยังทำให้พวกเขาลำพองใจ คิดว่าต่อจากนี้ไปตนเองจะสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้อย่างเสรี ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงความมุ่งมั่นของพวกเขา
แต่ใครจะคิดล่ะ ซูอี้เพื่อนร่วมรุ่น กลับทิ้งห่างพวกเขาไปมาก และสามารถยืนอยู่ในระดับสูงจนทำให้จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงมาพบด้วยตัวเองได้!
หากเปรียบเทียบแล้ว ความแตกต่างที่มากนั้นแค่คิดก็พอจะรู้ได้
หลี่โม่อวิ๋นกำมือทั้งสองแน่น ภายในใจครึ้มลงไปชั่วขณะ
ตอนนั้น เขาเคยมองว่าลูกเขยตระกูลเหวินคนนี้ไม่มีอะไรเลย และไม่ได้สนใจอะไร แต่วันนี้…อีกฝ่ายเติบโตขึ้นเป็นผู้มีชื่อเสียง ทำให้เขาได้แต่แหงนหน้าขึ้นมอง
ฝีมือห่างชั้นกันมากเกินไปจริง ๆ!
เหล่าบุรุษหนุ่มคนอื่น ๆ ล้วนมีสีหน้ายุ่งเหยิง และทยอยพากันจำฐานะของซูอี้ได้ทีละคน คนทั้งหมดต่างรู้สึกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นดั่งคำลวง ด้วยเหตุใดมันจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!
ถึงอย่างไร เมื่อหนึ่งปีก่อนซูอี้เป็นเพียงศิษย์ที่ถูกทิ้งและสูญเสียการฝึกฝนไป
แต่วันนี้ เขาทำให้จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้งมาอำลาด้วยตัวเอง!
“คุณชายซู เฉินเจิ้งมาเพื่ออำลา สักครู่จะเดินทางไปท่าเรือนอกเมือง ขึ้นเรือกลับไปหุบเขามารบุปผาโลหิต”
เฉินเจิ้งเดินไปข้างหน้า และคำนับด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้พยักหน้า จากนั้นหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมา ส่งให้กับหวงเฉียนจวิน “ข้าไม่มีสิ่งดี ๆ อะไรจะมอบให้เจ้า ดาบเล่มนี้เจ้าเก็บเอาไว้”
ตัวดาบเรืองแสงสีม่วงออกมาจาง ๆ หลังจากสังหารหนานเหวินเซียง ดาบประกายม่วงได้ถูกทิ้งไว้ มันเป็นดาบซึ่งถูกหลอมขึ้นโดยปรมาจารย์หลอมดาบแห่งนครหลวงอวี้จิง แคว้นต้าโจว
เมื่อเห็นดาบเล่มนี้ ฉาจิ่นมีแววตาที่แปลกไป
หลี่โม่อวิ๋นกับคนอื่น ๆ ต่างก็เหม่อลอย ใครจะไม่รู้จักดาบที่ซูอี้มอบให้ นี่มันอาวุธวิญญาณเล่มหนึ่ง!
“พี่ซู ข้า…”
หวงเฉียนจวินขอบตาแดง หากจากไปแล้ว ในใจคงยากที่จะตัดใจและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่
แต่ไม่รอให้เขาได้พูดอะไร ซูอี้ก็เอ่ยขัดขึ้นมา “ข้าไม่เคยเห็นบุรุษที่แสร้งทำเป็นซื่อขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องพูดจาไร้สาระแล้ว”
หวงเฉียนจวินส่งเสียงเอ่ยออกมา
ทำให้เฉิงเจิ้งและจางอี้เหรินอดหัวเราะขึ้นไม่ได้
“น้องหวง ข้ากับน้องสาวมาส่งเจ้าออกเดินทาง”
เมื่อเห็นเฉินเจิ้งที่อยู่ลานหน้าบ้าน หยวนลั่วอวี่นิ่งไปครู่ จากนั้นรีบแสดงความเคารพทันที “ข้าน้อยหยวนลั่วอวี่ คารวะจวิ้นอ๋อง!”
เฉินเจิ้งพยักหน้า เอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรคนที่สองของหยวนอู่ทง เป็นผู้บัญชาการกองพันแนวหน้าของเชินจิ่วซงผู้บังคับบัญชาการกองกำลังเกล็ดแดง ได้ยินมาว่าเชินจิ่วซงชื่นชมเจ้าเป็น ‘นายทหารระดับสูงแห่งกองกำลังเกล็ดแดง’ เป็นอย่างไร สนใจเข้ารับตำแหน่งกองทัพเกราะเขียวของข้าหรือไม่?”
หยวนลั่วอวี่ตกใจ อดไม่ได้ที่จะกล่าวสวน “เรื่องนี้ข้าน้อยรับไม่ไหวพ่ะย่ะค่ะ”
“หากต่อจากนี้ไปเจ้าสนใจ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ” เฉินเจิ้งเอ่ยขึ้น
หยวนลั่วอวี่ยิ้มตอบรับกลับไป
จากนั้น เขานำกล่องหยกมอบให้กับหวงเฉียนจวินและเอ่ยขึ้น “นี่คือเกราะพันเกล็ด น้องหวงรับเอาไว้ ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยของข้า”
เกราะพันเกล็ด!
เฉินเจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ “บิดาเจ้าลงทุนมากจริง ๆ หมวกเกราะชิ้นนี้ สามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของคนที่มีขอบเขตรวบรวมลมปราณได้ แม้จะเอาทองมาแลกก็ยังไม่ได้”
เขารู้อยู่แก่ใจ ของล้ำค่าชิ้นนี้ถูกนำเสนอต่อหน้าซูอี้แทนที่จะมอบให้หวงเฉียนจวิน
ว่ากันตามจริง ด้วยเกียรติยศของหวงเฉียนจวิน ไม่พอที่จะทำให้หยวนอู่ทงลงทุนมากมายเช่นนี้
เริ่มแรกหวงเฉียนจวินยังไม่จริงจังมากนัก ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่ตกใจ ปากอุทานขึ้นด้วยความซึ้งใจ “นายน้อยหยวน ไม่ซิ… พี่หยวน ท่านสมกับเป็นพี่น้องกับข้าจริง ๆ”
หลี่โม่อวิ๋น หนีเฮ่า และหนานอิ่งที่อยู่ไม่ไกลต่างเห็นสิ่งนี้ จึงเผยความหงุดหงิดออกมาภายในใจ
นึกถึงปีนั้น หลี่โม่อวิ๋นเป็นถึงผู้นำของคนรุ่นใหม่แห่งเมืองกว่างหลิง ในขณะที่หวงเฉียนจวินเป็นเพียงเด็กเสเพลในเมืองคนหนึ่ง
ใครจะคิด ว่าหลังจากที่ย้ายไปแล้ว ฐานะของทั้งสองฝ่ายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งพลิกฟ้าคว่ำดินเช่นนี้!
แต่สำหรับหนีเฮ่ากับหนานอิ่ง พวกเขาเข้าใจได้ชัดเจน หวงเฉียนจวินแค่อาศัยบารมีของซูอี้ ถึงได้ถูกปฏิบัติเป็นพิเศษเช่นนี้ ซึ่งนั่น… มันก็ทำให้พวกเขาได้แต่อิจฉาความโชคดีของหวงเฉียนจวิน!!
ไม่นาน เฉินเจิ้งก็บอกลาจากไป
และที่ทำให้หลี่โม่อวิ๋น หนีเฮ่า และหนานอิ่งโล่งอก คือการที่ซูอี้ไม่เอาผิดพวกเขาที่มีบุญคุณความแค้นต่อกันเมื่อกาลก่อน
แต่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี นั่นเป็นเพราะบางที… เหตุที่อีกฝ่ายไม่เอาความ อาจเป็นเพราะในสายตาซูอี้ พวกเขาก็เป็นได้เพียงมดปลวกเดินดิน ขณะที่ซูอี้เป็นพญาอินทรีอยู่บนฟ้า
แตกต่างราวฟ้ากับดิน!
เมื่อส่งหวงเฉียนจวิน เฉินเจิ้ง และจางอี้เหรินออกไปแล้ว ซูอี้พลันหมุนตัวกลับไปในลานบ้าน
“คุณชายซู เร็ว ๆ นี้ข้าจะต้องกลับไปรับใช้กองกำลังเกล็ดแดงแล้ว ต่อจากนี้หากท่านเดินทางไปมหานครกุ่นโจว ขอโอกาสให้ข้าเลี้ยงเหล้าท่านสักครั้งหนึ่ง” หยวนลั่วอวี่เอ่ยเสียงเบา
“เหมือนกับที่จ่ายเงินดื่มเหล้าเมื่อคืนหรือ?” หยวนลั่วซีพ่นลมหายใจออกมา เหลือบมองพี่ชายที่แสนเจ้าชู้ของนาง
ชั่วขณะหนึ่งหยวนลั่วอวี่รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
ขณะที่แววตาของฉาจิ่นค่อย ๆ ต่างไปจากเดิม
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่มีท่าทางผ่อนคลาย เพียงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น “เรื่องหลังจากนี้ ก็ค่อยพูดหลังจากนี้เถอะ”
“คุณชายซู เร็ว ๆ นี้ท่านเองก็วางแผนจะออกไปจากมหานครอวิ๋นเหอหรือ?” หยวนลั่วอวี่อดไม่ได้ที่จะถาม
“ถูกต้อง” ซูอี้พยักหน้า
เขาไม่อาจฝึกฝน ณ ที่แห่งนี้จนกระทั่งสำเร็จ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ และหากมัวอยู่แต่มหานครอวิ๋นเหอ คงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุได้!
หยวนลั่วอวี่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ท่านวางแผนจะไปที่ใด?”
ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะเอียงหูฟัง
“ยังบอกไม่ได้”
ซูอี้ส่ายหน้า หากว่าเขาจะต้องไปจริง อย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องไปพบเหวินหลิงเสวี่ยก่อน
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หยวนลั่วซีจึงอดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้ ปากเอ่ยวาจา “คุณชายซู เมื่องานเลี้ยงวันเกิดท่านพ่อในวันที่สามเดือนสามจบลง ข้าก็จะเดินทางไปฝึกที่ตำหนักเทียนหยวน และไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะยังได้เจอคุณชายอีกหรือไม่…”
“ไปฝึกที่ตำหนักเทียนหยวนหรือ?”
ซูอี้ตกใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสริมต่อว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าและข้าอาจจะได้พบกันอีก”
หยวนลั่วซีดีใจมาก นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่กังวานขึ้น “คุณชายซู หรือว่าจุดหมายถัดไปของท่าน คือตำหนักเทียนหยวน?”
“ถูกต้อง” ซูอี้พยักหน้า
เขาไม่เคยลืมภรรยาในนามคนนั้นของตัวเองหรอก
แน่นอน ยังมีเว่ยเจิงหยาง คนคนนี้… หากเขาไม่เก็บเจ้าเด็กนี่ที่พยายามสวมเขาให้ คงรู้สึกรำคาญใจคล้ายคันไม่อาจเกา
ไม่นาน หยวนลั่วอวี่กับน้องสาวก็ร่ำลากลับไป
ซูอี้จึงเดินกลับเข้าไปในห้อง และฝึกบำเพ็ญเหมือนอย่างเมื่อก่อน
การบำเพ็ญแม้ไม่อาจบรรลุอย่างรวดเร็ว แต่กลับสามารถฝึกฝนเคล็ดจากคัมภีร์เขากลายสู่อิสระ เพื่อฝึกฝนพลังจิตวิญญาณได้
ฉาจิ่นยืนแกร่วอยู่คนเดียวไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงหยิบไม้กวาดขึ้นมาเริ่มทำความสะอาดใบไม้กับกลีบดอกไม้ที่ตกอยู่ในลานบ้านอย่างเงียบ ๆ
ในเวลาเดียวกัน
ณ สำนักดาบชิงเหอ จู้กู่ชิงละสายตา บนใบหน้าที่งดงามเผยความพึงพอใจออกมา “ไม่เลว จากความฉลาดและพรสวรรค์ของเจ้า ย่อมสามารถเข้าร่วมฝึกที่ตำหนักเทียนหยวนได้แล้ว”
เหวินหลิงเสวี่ยโค้งคำนับพลางเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
จู้กู่ชิงเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ข้ารับปากพี่สาวเจ้าไว้แล้ว หากครั้งนี้กลับไปตำหนักเทียนหยวน จะต้องพาเจ้ากลับไปด้วย เจ้าไปเก็บของ สักครู่หนึ่งพวกเราจะออกเดินทางกัน”
เหวินหลิงเสวี่ยมึนงงทันที อีกครู่หนึ่งจะออกเดินทาง?