บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1520: ความไม่รู้
ตอนที่ 1520: ความไม่รู้
เสียงของชายชราร่างผอมสะท้านทั่วฟ้าดิน
วาจานั้นเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยินดีอันมิอาจปิดบัง
เขาก้มหัวเพื่อซ่อนดวงตาแดงฉานของเขาไม่ให้ถูกเห็น
เหล่าผู้พบเห็นล้วนเงียบวจี หัวใจปั่นป่วนล่องลอยมิอาจรักษา
หนึ่งตัวตนร้ายกาจอหังการกลับคุกเข่าลงทักทายซูอี้ตรงหน้า เทิดเกียรติเขาเป็น ‘จอมราชัน’!!
ภาพเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกเพียงอย่างเดียว
งุนงง!
เพราะถึงอย่างไร คนทุกผู้ก็รู้ว่าซูอี้คือผู้จุติสรวง เป็นผู้ฝึกตนมนุษย์คนหนึ่งซึ่งยังมิได้ก้าวสู่ขอบเขตจุติมงคลด้วยซ้ำไป
ใครเล่าจะคาดว่าชายชราร่างผอมผู้นี้จะคุกเข่าก้มหัว ถือเขาเป็นจอมราชัน?
สับสนแท้!!
คนทุกผู้ล้วนตะลึงงัน
ผลคือรอบข้างพลันเงียบสงัด กระทั่งสกุณายังหยุดขับขาน
คนทุกผู้หัวใจร่วงหล่น ร่างมิไหวติงเยี่ยงรูปปั้นดินเหนียว
“ชีฝูเฟิง… ที่แท้ก็เป็นเจ้า… มิน่าเล่าจึงมีปราณของ ‘จำนงแท้ครองโลหิต’ อยู่”
ซูอี้รำพึง
ความรู้สึกของชาติที่หกหวังเย่ปนเปออกมา
เมื่อนานมาแล้ว ขุนเขากวางขาวนี้คือแดนบรรพชนของศาลาเซียนค้ำวายุ
ชีจ่างเลี่ยคือบรรพชนผู้ก่อตั้งศาลาเซียนค้ำวายุ
ทว่าขณะเดียวกัน ชีจ่างเลี่ยก็ยังเป็นหนึ่งในสามสิบหกขุนพลใต้บัญชาของหวังเย่ด้วย!
และในความทรงจำของหวังเย่ เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่าชีจ่างเลี่ยมีบุตรผู้หนึ่งนามชีฝูเฟิง!
ก่อนหน้านี้ ซูอี้สังเกตแล้วว่าชีฝูเฟิงซึ่งนั่งอยู่ริมสระแปรเซียนมีปราณคุ้น ๆ
นั่นคือจำนงแท้ครองโลหิต!
เคล็ดวิชาพิเศษเฉพาะที่ชีจ่างเลี่ยบุกเบิกขึ้นเอง
ทว่าซูอี้ไม่คาดเลยว่าชายชราร่างผอมจะเป็นบุตรของชีจ่างเลี่ย!
“ใต้เท้าจอมราชัน ที่แท้ท่านก็จำผู้น้อยได้แล้ว”
ชีฝูเฟิงพึมพำ ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นชัดเจนจนเสียอาการเล็กน้อย
“ลุกขึ้นเร็วเข้า ไม่ต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าอีก”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
ชีฝูเฟิงลุกขึ้น ทว่าเขายังคงก้มหน้า แสดงความนอบน้อมจากใจ
“จอมราชัน… เขาจะเป็นจอมราชันไปได้เช่นไร… หรือข่าวลือในเขตแดนสมรภูมิจะเป็นความจริง?”
อวี่เฉินพึมพำในใจ
ที่สนามรบแรก เขาเคยได้ข่าวว่าซูอี้แห่งจักรดาราตงเสวียนถือครองอำนาจวัฏสงสาร เวียนวัฏฝึกฝนใหม่มามากกว่าหน
ทว่าเขาไม่เคยถือจริงจัง
และยามนี้ เขาเอนเอียงแล้ว!
“ไม่น่าเล่าสหายเต๋าซูจึงไร้ความกลัว ปรากฏว่าเขามีที่มาลึกลับเกินเข้าใจ ทว่า… เขาจะถูกเรียกเป็นจอมราชันได้เช่นไร?”
ยามนี้ ความเคลือบแคลงต่างพลุ่งพล่านในใจของเหล่าผู้จุติสรวง
ในอดีต พวกเขาถือว่าซูอี้เป็นตัวตนผู้เสมอภาคกัน คิดว่าแม้ความแข็งแกร่งของพวกตนจะต่างกันมากก็ยังถือว่าเป็นสหายผู้จุติสรวงจากโลกมนุษย์เหมือน ๆ กันได้
ทว่ายามนี้ พวกเขาพลันตระหนักว่าคิดผิดกันมาแต่แรก
ท้ายที่สุด ซูอี้และพวกเขาก็มิใช่คนประเภทเดียวกันเลย!
ไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์หรือโลกเซียนก็ตาม!
ชั่วขณะนั้น สายตาของพวกเขามองไปยังซูอี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งตกตะลึง เกรงขาม และประหลาดใจ!
ไม่เพียงพวกเขา แต่หลิ่วอวิ๋นจิ้ง หลัวอวิ๋นจงและตัวตนอื่น ๆ ในโลกเซียนต่างก็ผงะ
ผู้จุติสรวงคนนี้เป็นใครกันแน่?
เขามีที่มาลึกลับเช่นไร?
ไฉนเขาจึงถูกถือเป็นจอมราชัน?
พวกเขาอยากถามออกมาตรง ๆ หลายต่อหลายครั้ง
แต่เพราะอำนาจร้ายกาจน่าสะพรึงของชีฝูเฟิง ยามนี้จึงมิมีผู้ใดกล้าเอ่ยวจี!
มีเพียงหลิ่วอวิ๋นจิ้งที่ดูจะนึกบางอย่างออก ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง ดวงตาเบิกกว้างอย่างช่วยไม่ได้
ชีฝูเฟิง!!
บุตรของบรรพชนผู้ก่อตั้งขุมกำลังราชันเซียนอันดับหนึ่งแห่งแคว้นจิ่งเมื่อนานมาแล้ว!
กล่าวกันว่าชื่อของเขา ‘ฝูเฟิง’*[1] ถูกยกมาจากชื่อสำนัก
“เป็นผู้อาวุโสผู้นั้นจริง ๆ…”
หัวใจของหลิ่วอวิ๋นจิ้งสั่นสะท้าน
ยามนี้ แดนบรรลุเซียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในแดนบรรพชน ‘ขุนเขากวางขาว’ ของศาลาเซียนค้ำวายุ
ไฉนเลยจะไม่ชวนให้คิดเชื่อมโยง
ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็หมายความว่าชายชราร่างผอมผู้นี้คือตัวตนบรรพกาลซึ่งรอดชีวิตจากหายนะอวสานเซียน!
เพราะถึงอย่างไร ทั้งศาลาเซียนค้ำวายุและบรรพชนผู้ก่อตั้งมันชีจ่างเลี่ยล้วนหายไปในหายนะอวสานเซียนเมื่อนานมาแล้ว!
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิ่วอวิ๋นจิ้งก็ตะลึงเยี่ยงถูกอสนีบาต
ชีฝูเฟิงเป็นตัวตนบรรพกาลรุ่นลายคราม แต่กลับเรียกหนึ่งผู้จุติสรวงเป็นจอมราชันอย่างนอบน้อม!
ตัวตนของชายหนุ่มผู้นี้ควรเลิศเลอเพียงไร?
ความคิดของคนทุกผู้แปรเปลี่ยนนับพันตลบ
ทันใดนั้น กลุ่มตัวตนทรงพลังกลุ่มหนึ่งพลันปรากฏขึ้นไกล ๆ เหนือเวหา
ก่อนจะมีผู้มาถึง เสียงก็แว่วมาจากไกล ๆ
“หวังว่าจะไม่สายไปนะ”
“อย่าห่วงเลย ผู้ใดกล้าชิงผู้จุติสรวงกับเรา ฆ่าให้หมด!”
…และเมื่อตัวตนกลุ่มนั้นมาถึง พวกเขาก็อดผงะไปมิได้
พวกเขาเห็นสิ่งใด?
โลหิตและซากศพเกลื่อนพื้น!
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอันใดขึ้น?”
ชายชราผู้หนึ่งซึ่งนำหน้ามากล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
กลุ่มพวกเขามีกันสิบกว่าคน แต่ละผู้ล้วนดุดันทรงพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาเยี่ยงเจ้าหุบเขาเบญจพิษเลย
ทว่ายามนี้เมื่อพวกเขาปรากฏ คนทุกผู้ ณ แดนดินนี้ล้วนมิหวาดผวาลนลานเยี่ยงกาลก่อนอีกต่อไป
แต่กลับเผยความสงสารออกมาแทน
“พวกเจ้าหมายความเช่นไร? เบื่อชีวิตแล้วหรือ!”
ชายชราตวาดลั่นด้วยใบหน้าดำคล้ำ
การถูกผู้คนมองด้วยสายตาเวทนาทำให้พวกเขาล้วนอับอาย รู้สึกมิพอใจราวถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี
“ฆ่าซะ”
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะชายตามอง
“ขอรับ!”
ชีฝูเฟิงทะยานเวหา
ตู้ม!
แสงดาบเรืองวาบในฟ้าดิน ปราณดาบสีเลือดโหมกระหน่ำบ้าคลั่งทรงอำนาจ
อึดใจต่อมา เซียนแท้ขอบเขตสุญตาสิบกว่าคนซึ่งเผยตัวอย่างยิ่งใหญ่ล้วนตายตกอย่างอนาถ
และเมื่อเห็นเช่นนี้ คนทุกผู้หาแสดงความรู้สึกใดไม่
รนหาที่ตายโดยแท้!
ชีฝูเฟิงเก็บดาบยาวไปและกล่าวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าจอมราชัน ที่แห่งนี้มิควรอยู่นาน โปรดตามผู้น้อยออกจากที่นี่ก่อนเถิด”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
นี่มิใช่เวลามาระลึกความหลังกับชีฝูเฟิงจริง ๆ
แต่ก่อนจาก เขายังมีบางสิ่งต้องทำ
“ทุกท่าน”
ซูอี้หันไปกล่าวกับพวกอวี่เฉิน “ข้าขอกล่าวโดยมิปิดบัง หายนะฆ่าฟันที่เกิดวันนี้ดูจะมุ่งเป้ามายังข้าผู้เดียว และพวกเจ้าก็แค่ถูกข้าลากลงปลักโคลนมาด้วยเท่านั้น”
“สหายเต๋าซูมิต้องสนใจเรื่องนี้เลย ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”
อวี่เฉินดูซับซ้อน
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้า ถึงจุดนี้ หากมิเข้าใจคงโง่เต็มทน
ซูอี้กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ กาลต่อไป ข้าจะให้ชีฝูเฟิงลงมือช่วยพวกเจ้าออกจากที่นี่ ไปหาที่ปลอดภัยอยู่ด้วยกัน”
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน และคคนอื่น ๆ ล้วนเผยความปรีดาโล่งใจ
ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นกังวลอยู่อย่างจริงแท้ เพราะถึงอย่างไร เมื่อซูอี้จากไป กลุ่มเต๋าเซียนเหล่านี้ก็คงลงมือกับกลุ่มผู้จุติสรวงเช่นพวกเขาเพื่อสืบหาที่อยู่ของซูอี้อย่างมิอาจเลี่ยง!
“ทว่าข้ายังมีคำขออย่างมิเต็มใจอยู่อีกข้อ ก่อนช่วยพวกเจ้า ข้าจำต้องลบความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับวันนี้จากพวกเจ้าก่อน”
ทันทีที่วาจาของซูอี้ถูกกล่าว ทุกผู้ก็มองหน้ากัน
“ได้! ข้ารับปาก!”
อวี่เฉินตอบตกลงคนแรก
ทันใดจากนั้น ทุกผู้ต่างก็ตอบรับตาม ๆ กัน
พวกเขาทั้งหลายล้วนรู้แล้วว่าที่มาของซูอี้พิเศษลึกลับมากเกินไป ยิ่งรู้มาก ยิ่งเป็นภัยต่อชีวิตตน
ในทางกลับกัน การที่ซูอี้ทำเช่นนี้สามารถทำให้พวกเขาเลี่ยงมิต้องมารับผลกระทบจากซูอี้ได้
กล่าวสั้น ๆ คือ ยิ่งไม่รู้ยิ่งปลอดภัย!
ซูอี้พยักหน้า หันไปกล่าวกับชีฝูเฟิงว่า “เจ้าเชี่ยวชาญ ‘เคล็ดใจฝันวิญญาณแท้’ หรือไม่?”
ชีฝูเฟิงกล่าว “เข้าใจแล้วขอรับ!”
“ดี เจ้าช่วยลบความทรงจำเกี่ยวกับวันนี้ให้พวกเขาที จากนั้นเราก็ไปจากที่นี่กัน จำไว้ว่าอย่าทำร้ายจิตวิญญาณของพวกเขานะ”
“ขอรับ!”
ชีฝูเฟิงลงมือทันที
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็หันมองหลิ่วอวิ๋นจิ้ง
ยามนี้ หลิ่วอวิ๋นจิ้งดูจะสังหรณ์ถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดแล้ว และกล่าวเสียงสั่น “ท่านเอ๋ย หากข้าไร้ความทรงจำวันนี้ ข้าเกรงว่าจะถูกสอบสวนลงทัณฑ์โดยลัทธิไร้มลทินเอาได้ โปรด…”
ซูอี้โบกมือกล่าว “หากพวกเจ้ามิตอบรับ พวกเจ้าตายแน่”
หลิ่วอวิ๋นจิ้ง “…”
สีหน้าของเขามืดหม่น ในที่สุดก็กล่าวอย่างหดหู่ด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ข้าเข้าใจแล้ว วันนี้ที่ข้ารอดชีวิตก็นับเป็นพระคุณของท่านที่รามือ และยามนี้ก็แค่ลบความทรงจำ ข้า… หรือจะมีสิทธิ์ปฏิเสธ?”
ซูอี้มองอีกฝ่ายอย่างลึกล้ำ และกล่าวว่า “บางครั้ง ความไม่รู้คือพรอันประเสริฐ”
เขาไม่กลัวจะถูกศัตรูของหวังเย่พบตัวหรอก
แต่เขาไม่อยากให้ผู้บริสุทธิ์อย่างพวกอวี่เฉิน ฉินซู่ซินมาเดือดร้อนไปเพราะตน
ยามนี้ สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้คือลบความทรงจำของพวกเขาในวันนี้เสีย และสิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญในโลกเซียนต่อจากนี้จะมิเกี่ยวกับเขา
ครู่ต่อมา
ชีฝูเฟิงกลับมาแจ้ง “ใต้เท้าจอมราชัน พวกเขาให้ความร่วมมือดีมาก เรื่องทั้งหมดลุล่วงแล้วขอรับ”
มิห่างไปนัก อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน และคณะกำลังพูดคุยกัน สีหน้าของแต่ละคนล้วนงุนงงประหลาดใจ ราวมิเข้าใจว่าก่อนหน้านี้เกิดอันใดขึ้น
รวมถึงพวกหลิ่วอวิ๋นจิ้งด้วย
แค่ว่าพวกหลิ่วอวิ๋นจิ้งนั้นยังนอนหมดสติมิฟื้นขึ้นมา
สิ่งนี้เป็นการกระทำอย่างจงใจของชีฝูเฟิง เพราะถึงอย่างไร หากคนเหล่านี้ตื่นขึ้น พวกเขาจะเข้ามาขัดขวางแน่นอน
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวเบา ๆ “ถึงอย่างไรนี่ก็แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากราชันเซียนจาก ‘แดนบริสุทธิ์แสงหยกพลิ้ว’ แห่งหุบเขาปู้โจวลงมือใช้วิชา ‘ขานวิญญาณ’ ความทรงจำที่หายไปวันนี้ก็จะหวนคืนมาได้”
“แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องในอนาคต…”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ส่ายหน้ากล่าว “พาพวกเขาไป”
“ขอรับ!”
ชีฝูเฟิงรับคำสั่ง นำน้ำเต้าลูกหนึ่งออกมาสูบอวี่เฉิน ฉินซู่ซิน และผู้จุติสรวงคนอื่น ๆ เข้าไปทันที
“ใต้เท้าจอมราชัน โปรดมากับผู้น้อยเถิด”
ชีฝูเฟิงกล่าว และด้วยหนึ่งโบกแขนเสื้อ เมฆมงคลขนาดสิบจั้งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ ยกร่างของเขาและซูอี้ทะยานเวหาไปด้วยกัน
เนิ่นนานหลังพวกเขาจากไป หลิ่วอวิ๋นจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างฟื้นสติขึ้นตาม ๆ กัน
“นี่… เรามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร?”
บางผู้งุนงง
“บ้าเอ๊ย ดูเหมือนความทรงจำของข้าจะหายไป!”
“เหมือนกันเลย…”
สีหน้าของพวกหลิ่วอวิ๋นจิ้งแปรเปลี่ยนอย่างร้ายกาจ สันหลังเย็นวูบวาบ
พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนผู้ก้าวเดินสู่วิถีเซียน มีหรือจะไม่รู้ว่าถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องในวันนี้?
“โชคดีที่เสียไปเพียงความทรงจำในวันนี้เท่านั้น ศัตรูมิน่าจะอยากฆ่าเรา แต่ต้องการปิดความลับบางอย่าง”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งพึมพำ
แต่เมื่อเขาเห็นคราบเลือดและสมบัติแตก ๆ เกลื่อนพื้นไปหมด ก็เป็นการยากที่เขาจะสงบใจ ใบหน้าเปี่ยมความหวาดผวา
ก่อนหน้านี้มีเซียนแท้ขอบเขตสุญตาตายลงที่นี่มากมายเพียงนี้หรือ?
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเป็นตัวตนร้ายกาจอันน้อยนิดจนนับได้ในแคว้นจิ่ง!!
“ดูเหมือนว่า การที่ข้ารอดชีวิตในวันนี้จะเป็นโชคเหลือล้นแล้ว…”
หลิ่วอวิ๋นจิ้งพึมพำ
[1] ศาลาเซียนค้ำวายุ ภาษาจีนใช้คำว่าฝูเฟิงเซียนเก๋อ (扶风仙阁) ซึ่งเป็นอักษรเดียวกันกับชื่อชีฝูเฟิง (戚扶风)
………………..