บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1521: วายุโชยคืนชีวิต
ตอนที่ 1521: วายุโชยคืนชีวิต
ภายใต้ท้องนภา
เมฆามงคลพัดพาร่างของซูอี้และชีฝูเฟิงไป
ซูอี้นั่งเอกเขนกบนเก้าอี้หวาย
ชีฝูเฟิงยืนอย่างนอบน้อมที่ด้านข้าง และยามดวงตาของเขามองซูอี้เป็นระยะ สีหน้าของเขาก็ยากจะซ่อนอารมณ์เดือดพล่านและภวังค์ความคิดได้
เขาเฝ้ารอมาแสนเนิ่นนาน และในที่สุดสวรรค์ก็ตอบแทนผู้มุมานะ ใต้เท้าจอมราชันกลับมาจนได้!
“บิดาเจ้า… สิ้นแล้วจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ถามเบา ๆ
ก่อนหน้านี้ยามได้ยินคำว่า ‘บิดา’ จากปากชีฝูเฟิง เขาก็เดาผลลัพธ์นี้ในใจแล้ว
แค่ว่าท้ายที่สุด หัวใจของเขาก็เชื่อไม่ลง
ชีฝูเฟิงพยักหน้ากล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ในยุคอวสารเซียน เมื่อข้าและบิดาพาเหล่าศิษย์ศาลาเซียนค้ำวายุไปหลบภัย เราโชคร้ายที่ถูกหายนะกวาดจนตายตกขอรับ”
“ยามนั้น คนส่วนใหญ่จากศาลาเซียนค้ำวายุของเราตายตก มีเพียงข้าและคนส่วนน้อยพ้นหายนะมาได้ แต่ถึงเช่นนั้น เราก็เสียหายหนักจากหายนะกันอยู่ดีขอรับ”
“ช่วงกาลผ่านมานี้ คนเหล่านั้นล้วนตายตกตาม ๆ กัน ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสัมภเวสีเดียวดายเช่นข้าเร่ร่อนลำพัง…”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็ถอนหายใจส่ายหัว “นี่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วขอรับ หลังหายนะอวสานเซียนจบลง ข้าก็พิทักษ์แดนบรรลุสรวงในขุนเขากวางขาวมิได้จากไปไหนเลย”
“เพราะก่อนบิดาข้าตายตก เขาเคยบอกว่าหากภายหน้าข้ามีโอกาส ให้ข้าอยู่ต่อในขุนเขากวางขาว”
“บิดาข้าบอกว่าท่านใต้เท้าจอมราชันจะไม่มีทางตายตกในศึกอนันตรัตติกาลได้แน่นอนขอรับ! สักวันหนึ่ง ท่านจะกลับมา!”
เมื่อซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดแสดงแววตาหวนรำลึกมิได้
เมื่อกาลก่อนยามหวังเย่เก็บตัวฝึกฝน จู่ ๆ เขาก็ถูกศัตรูไร้เทียมทานกลุ่มหนึ่งลอบโจมตี เกิดเป็นศึกนองเลือดร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเซียน
ในศึกนี้ หวังเย่สะบั้นคอศัตรูร้ายมากมายอย่างเดือดดาล แต่เขาเองก็บาดเจ็บสาหัสเกินเยียวยาจนต้องเวียนวัฏ
ทว่าในสายตาโลกหล้า หวังเย่ ‘จอมราชันอนันตรัตติกาล’ ผู้ยืนบนจุดสูงสุดแห่งโลกเซียนตายตกลงในศึกนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงขนานนามศึกนี้ว่า ‘ศึกอนันตรัตติกาล’!
ประการแรกเพื่อกล่าวถึงการสิ้นของจอมราชันอนันตรัตติกาล
ประการที่สองนั้นเพื่อกล่าวถึงความปั่นป่วนในโลกเซียนหลังการตายของหวังเย่ ทำให้โลกเซียนตกอยู่ในกลียุคอันเหมือนรัตติกาลนิรันดร์
ศึกนี้ยังแปรเปลี่ยนครรลองในโลกเซียนไปเสียสิ้น!
“บิดาเจ้า… ช่างน่าเสียดาย”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ
ชีจ่างเลี่ยนั้นเลิศล้ำ เขามีภูมิหลังเกินคาดหยั่ง ฝีมือสูงส่งในวิถีเซียน ครั้งหนึ่งหวังเย่เคยถือเขาเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีผู้สามารถก้าวสู่ขอบเขตมหาเซียนอย่างง่ายดาย และการจะบรรลุถึง ‘ขอบเขตมหาศาลสามระดับ’ ในภายหน้าก็มิถึงกับเป็นไปไม่ได้!”
อันที่จริง ชีจ่างเลี่ยเมื่อกาลก่อนอยู่ในขอบเขตมหาเซียนแล้วจริง ๆ!
โชคร้ายที่เขาประสบหายนะตายตกในยุคอวสานเซียน
“แล้วเจ้าเล่า ไฉนเจ้าจึงฟังคำสั่งของลัทธิไร้มลทิน?”
ซูอี้เอ่ยถาม
ชีฝูเฟิงกล่าวเสียงต่ำ “เรียนใต้เท้าจอมราชัน เมื่อปีก่อน ผู้อาวุโสผู้หนึ่งจากลัทธิไร้มลทินนาม ‘ม่อซานฉาน’ พากลุ่มศิษย์ลัทธิไร้มลทินกลุ่มหนึ่งมายังขุนเขากวางขาวขอรับ”
“ยามนั้นข้าซ่อนตัวอยู่ บังเอิญได้ยินบทสนทนาของพวกเขา และรู้ว่าในหนึ่งปี ประตูเชื่อมโลกเซียนจะเปิดขึ้นในแดนบรรลุสรวง ณ ขุนเขากวางขาว”
“บทสนทนาของพวกเขาทำให้ข้ารู้ว่าพวกเขากำลังหาหนึ่งบุคคลซึ่งคาดว่าจะเป็นร่างเวียนวัฏของท่านขอรับ!”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของชีฝูเฟิงก็แสนตื่นเต้น “ยามนั้น ข้าแสนปรีดาจนมิอาจสรรหาคำใดมาบรรยายอารมณ์ ณ ขณะนั้นได้ ข้ารู้สึกเพียงว่าหลังจากกาลผ่านแสนนาน ในที่สุดฟ้าก็มีตา ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
ซูอี้อดรำพึงในใจมิได้
ต้องบอกว่าหวังเย่นั้นเป็นผู้นำซึ่งโดดเด่นมากในวิถีเซียน
กาลก่อน ผู้เกลียดเขาเรียกเขาเป็นทรราช ใฝ่ฝันอยากสูบเลือดฉีกเนื้อเขาทุกวันคืน!
เหมือนเช่นชีฝูเฟิง เขารออยู่บนขุนเขากวางขาวแสนนานเพียงเพราะคำสั่งเดียวจากบิดา!
หากเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงถอดใจไปแล้ว
หลังสงบใจได้ ชีฝูเฟิงก็กล่าวต่อ “ยามนั้น แม้พวกเขาจะหาแดนบรรลุสรวงพบ พวกเขาก็มิอาจเปิดหอบรรลุสรวงและสระแปรเทพได้ ยามนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายออกตัวช่วย เผยความเต็มใจร่วมมือกับพวกเขาโดยหวังพึ่งบารมี แต่แท้จริงแล้วข้าโป้ปด รอที่นี่เพียงเพื่อยืนยันว่าวาจาของพวกเขาเป็นความจริงหรือไม่เท่านั้นขอรับ”
ถึงยามนี้ ซูอี้ก็เข้าใจในที่สุด “พวกเขาไม่สงสัยเจ้าหรือ?”
ชีฝูเฟิงหัวเราะเยาะตนเองพลางส่ายหน้า “ไม่ขอรับ กาลผ่านแสนนาน ยุคสมัยต่างไปแล้ว สัมภเวสีเร่ร่อนเดนตายจากยุคอวสานเซียนเช่นข้าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยเลย พวกเขากระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำขอรับว่าข้าเป็นใคร”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “เช่นนั้น เจ้าจำข้าได้เช่นไร?”
ชีฝูเฟิงกล่าวโดยไม่ลังเล “หากผู้น้อยเข้าใจไม่ผิด ยามใต้เท้าจอมราชันปราบเซียนขอบเขตจักรวาลนับร้อยเมื่อกาลก่อนด้วยฝ่ามือเดียว สิ่งที่ท่านใช้คืออำนาจศักดิ์สิทธิ์ของ ‘นครดาบในฝ่ามือ’ ขอรับ! และอำนาจวิเศษไร้เทียมทานนี้ ท่านเคยสอนมันแก่บิดาข้ามาก่อน!
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ถูกต้อง”
ยามนั้น เหตุที่เขาใช้อำนาจ ‘นครดาบในฝ่ามือ’ ออกมานั้นก็เพื่อทดสอบชีฝูเฟิงเช่นกัน เพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะจำมันได้หรือไม่ และเพื่อยืนยันตัวตนของอีกฝ่าย
ต่อมา ทั้งสองสนทนากันเนิ่นนาน
และไม่นาน ซูอี้ก็ได้รู้เรื่องราวมากมาย
ประการแรก โลกเซียนทุกวันนี้แตกต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิงอย่างแท้จริง
หลังจากยุคอวสานเซียนผ่านไป ระบบระเบียบของโลกเซียนนั้นปั่นป่วนรวนเร สารพัดขุมกำลังเซียนผุดขึ้นดุจดอกเห็ดหลังพิรุณโปรย
กาลก่อน ขุมกำลังราชันเซียนและตระกูลราชันเซียนแทบทั้งหมดสลายหายไปท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลาไปแล้ว
ทว่าก็ยังมีขุมกำลังโบราณจำนวนน้อยที่รอดหายนะอวสานเซียนมาได้!
ขุมกำลังส่วนน้อยนั้นก็เช่นลัทธิไร้มลทิน อารามบงกช สกุลทังโบราณซึ่งเคยเป็นขุมกำลังยักษ์ใหญ่ก่อนการอุบัติแห่งหายนะอวสานเซียน
ทุกวันนี้ ขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ยังคงมีตัวตนในโลกหล้า
สามสุขาวดีแห่งหุบเขาปู้โจวและตระกูลมหาเทพบางแห่งก็ยังรอดชีวิตอยู่
ทว่าในโลกหล้าทุกวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นขุมกำลังใหม่
ขุมกำลังใหม่บางแห่งกระทั่งเติบโตเป็นพฤกษาสูงตระหง่านในทุกวันนี้ ทรงอำนาจเพียงพอประชันกับขุมกำลังโบราณ!
นอกจากนั้น จากวาจาของชีฝูเฟิง จวบยามนี้ยังมิมีผู้ใดกล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์โบราณรอดชีวิตอยู่ในโลกเซียนมากน้อยเพียงไร
เพราะหนึ่งตระกูลโบราณจะปรากฏขึ้นเป็นระยะ
ท้ายที่สุดแล้ว แม้หายนะอวสานเซียนจะกวาดทั่วโลกหล้า มันก็มิอาจทำลายรากฐานแห่งขุมกำลังผู้ฝึกตนลงได้โดยสมบูรณ์
ยามนี้ หลังจำศีลไปเนิ่นนาน โลกหล้าได้แปรเปลี่ยนไปอย่างทรงพลัง และโลกเซียนก็มาเยือนยุครุ่งเรืองอีกครั้ง
เหมือนเช่นวายุโชยคืนชีวิตยามไฟป่ามอดดับ
ยังเข้าใจได้อีกด้วยว่าโลกเซียนทุกวันนี้ได้คืนชีวิตใหม่จากการล่มสลาย!
แม้โลกนี้จะบังเกิดขุมกำลังฝึกตนใหม่ไม่จบสิ้น พวกเขาก็สามารถสืบกลับสู่ต้นตอได้ และท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังเป็นมรดกแห่งกาลเวลาซึ่งเหลือรอดแต่โบราณ
นอกจากนั้น ซูอี้ยังได้รู้ว่าแม้ลัทธิไร้มลทินจะรู้นานแล้วว่าร่างเวียนวัฏของเขายังมีชีวิตอยู่ และเป็นไปได้มากว่าจะหวนคืนโลกเซียนก็ตาม
คนพวกนั้นก็ยังไม่รู้ถึงตัวตนของเขาอยู่ดี!
หาไม่ ผู้จุติสรวงทั้งหมดคงมิถูกกักตัวไว้ในแดนบรรลุสรวง
ส่วนข่าวการเวียนวัฏของหวังเย่นั้นยังเป็นความลับสูงสุดสำหรับขุมกำลังเซียนอื่น ๆ และมีเพียงยักษ์ใหญ่ค้ำนภาจำนวนน้อยเท่านั้นที่ล่วงรู้
กำลังคนที่ลัทธิไร้มลทินและขุมกำลังเซียนต่าง ๆ นั้นเป็นเพียงการทำตามคำสั่งเท่านั้น
กระทั่งพวกเขาเอง ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจับผู้จุติสรวงเหล่านี้ไปเพื่อการใด
เหตุผลที่ชีฝูเฟิงรู้ก็เพราะเขาแอบฟังเบาะแสบางอย่างจากปากผู้อาวุโสลัทธิไร้มลทิน ‘ม่อซานฉาน’ มาได้
เมื่อแรกได้ยิน ซูอี้ยังรู้สึกว่าแปลกอยู่เล็กน้อย
ทว่าเมื่อครุ่นคิดสักหน่อย เขาก็เข้าใจ
ไม่ว่าจะเป็นลัทธิไร้มลทินหรือผู้อื่น พวกเขาก็ล้วนอยากปราบร่างเวียนวัฏนี้ของหวังเย่ลงอย่างเงียบ ๆ!
หากข่าวนี้แพร่ออกไป มันจะชักนำคู่แข่งร้ายกาจและปัญหาเกินจำเป็นแก่พวกตนมากมาย
เพราะถึงอย่างไร เกียรติยศของหวังเย่ก่อนตายตกในโลกเซียนนั้นสูงส่งเกินไป และยังมีกลุ่มสหายรักร่วมเป็นร่วมตาย รวมถึงผู้ใต้บัญชาผู้ภักดีมหาศาล!
เมื่อข่าวแพร่ออกไป หากสหายของหวังเย่เหล่านั้นยังมีชีวิต มีหรือจะมิมาหาด้วยตนเอง?
เหมือนเช่นชีฝูเฟิง บุตรแห่งชีจ่างเลี่ยผู้เฝ้ารอเพียงให้หวังเย่กลับมาอยู่แสนนาน!
“ต่อจากนี้ ข้าจะหาที่ให้ผู้จุติสรวงเช่นข้าพำนักกันก่อน เจ้ามีที่ดี ๆ จะแนะนำหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ชีฝูเฟิงตอบอย่างเคร่งขรึม “เรียนใต้เท้าจอมราชัน เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อย่าให้เป็นธุระของท่านเองเลย ปล่อยให้ผู้น้อยจัดการเถิดขอรับ ผู้น้อยประกันได้ว่าพวกเขาจะได้ที่พำนักอันดีในโลกเซียนนี้แน่นอน”
ตลอดกาลนานมา แม้เขาจะอยู่ในขุนเขากวางขาวเป็นส่วนใหญ่ แต่บ่อยครั้งเขาก็ออกไปเยี่ยมเยือนทั่วโลกา สานสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย กระทั่งได้พบสหายเก่าบางคน
สำหรับเรื่องนี้ ชีฝูเฟิงนั้นแสนมั่นใจ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าจัดการ”
ซูอี้พยักหน้า
โลกเซียนนั้นกว้างใหญ่อย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไป กระทั่งเหล่าเซียนผู้ครองแดนยังเดินทางไปได้เพียงไม่กี่ที่ตลอดชั่วชีวิต
อวี่เฉิน ฉินซู่ซิน และเหล่าผู้จุติสรวงทั้งหลายรอดจากปัญหาไปได้ไม่ยาก
เพราะถึงอย่างไร โลกเซียนก็ไพศาลเกินไป
ซูอี้นำไหสุราหนึ่งออกมายกดื่ม ก่อนจะถามขึ้นกะทันหัน “ผ่านไปตั้งนาน การฝึกฝนของเจ้าก็ยังอยู่ในขั้นต้นขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ เจ้าไปพบคอขวดอันมิอาจทะลวงได้หรือ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของชีฝูเฟิงก็ปรากฏความเศร้าหมอง “ตอบใต้เท้าจอมราชันตามตรง มันไม่ใช่คอขวดหรอกขอรับ แต่ผู้น้อยประสบหายนะในยุคอวสานเซียน วิถีเต๋าเสียหายเกินเยียวยา สิ้นหวังก้าวสู่ขอบเขตสูงกว่าแล้วขอรับ…”
สำหรับราชันเซียนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ผู้ต้องหยุดลงที่ขอบเขตนี้ชั่วชีวิต นี่คือการบาดเจ็บร้ายแรงยิ่ง
ความตายนั้นดูเล็กจ้อย
ความทรมานที่มิอาจเคลื่อนขอบเขตได้นั้นทรมานที่สุด!
เหมือนเช่นหวังเย่เมื่อกาลก่อน เขาเองก็วิถีเต๋าเสียหายเกินเยียวยาใน ‘ศึกอนันตรัตติกาล’ จนต้องเวียนวัฏฝึกฝนใหม่!
ซูอี้ครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า “วิถีเต๋าที่เสียหายในขอบเขตราชันเซียนนั้นมิเชิงแก้มิได้อย่างจริงแท้หรอก ในเมื่อเจ้าพบข้า ข้าก็จะพยายามช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ”
ร่างของชีฝูเฟิงชะงัก ใบหน้าเบิกบาน ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างอยู่นั้นเอง
เสียงหัวเราะลั่นอย่างลิงโลดภาคภูมิก็ดังมาไกล ๆ
“ฮ่า ๆๆ ไอ้หนู ห่างกันมิทันไร เราก็พบกันอีกเสียแล้ว! นี่เรียกอันใด? ชะตาไงเล่า!!”