บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1522: ตัวการเบื้องหลัง
ภายใต้ท้องนภาไกล
บุรุษในชุดบัณฑิตขงจื่อคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนอากาศ
เบื้องหลังเขามีกลุ่มคนตามมา
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าชายในชุดบัณฑิตขงจื่อผู้นี้ก็คือเจ้าเฒ่าผู้ลอบคุยกับเขาตอนที่อยู่ในโถงบรรลุสรวงก่อนหน้านี้
หรือก็คือคนที่พวกหลิ่วอวิ๋นจิ้งเรียกว่าเป็น ‘หูไห่ตัวปลอม’!
เซียนผู้หนึ่งจากนครเซียนโฉลกเมฆา
หลังจากชายในชุดบัณฑิตขงจื่อและพรรคพวกมาถึง สายตาของเขากวาดมองซูอี้และหยุดที่ชีฝูเฟิง
เขาขมวดคิ้วกล่าว “มิคาดเลยว่าเจ้าเฒ่านี่ก็มีจุดประสงค์แอบแฝง และแย่งคนผู้นี้จากพวกหลิ่วอวิ๋นจิ้งได้!”
ดวงตาของซูอี้ดูพิกล และเข้าใจทันทีว่าชายในชุดบัณฑิตขงจื่อยังไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในแดนบรรลุสรวง
“เจ้าหาข้าเจอได้เช่นไร?”
ซูอี้เอ่ยถาม
เขากับชีฝูเฟิงได้ออกจากขุนเขากวางขาวตั้งนานแล้ว และแม้พวกเขาจะมิได้ซ่อนตัวตน ผู้อื่นก็หาพวกเขาไม่เจอในทันทีอยู่ดี
ทว่าพวกชายในชุดบัณฑิตขงจื่อดูจะล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว และมาดักรอตรงหน้าพวกเขา!
มีหรือซูอี้จะไม่ประหลาดใจ?
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกล่าวยิ้ม ๆ “คนที่ข้ามองหา ไม่ว่าเทพองค์ใด ๆ ก็ซ่อนมิได้!”
สิ้นคำ เขาก็โบกมือขึ้น “พาพวกเขาไป!”
ตู้ม!
เซียนสิบกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเขาลงมือโดยไม่ลังเล ทุกผู้ล้วนพุ่งเข้าหาชีฝูเฟิง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขามองชีฝูเฟิงเป็นภัย!
ชีฝูเฟิงเอื้ิอมมือออกไป แรงกดดันอันร้ายกาจถูกปลดปล่อยออกมา แล้วเซียนนับสิบคนที่พุ่งเข้ามาก็นิ่งกลางอากาศราวฝูงแมลงวันที่ถูกตรึง!
จากนั้นฝ่ามือที่ลอยค้างอยู่ของชีฝูเฟิงก็กำเข้าหากันแน่นขึ้น
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เซียนสิบกว่าคนซึ่งถูกตรึงอยู่กลางอากาศล้วนร่างแหลกระเบิด!
โลหิตทะลักไหลย้อมนภาจนกลายเป็นสีแดงฉาน
และนับแต่ต้นจนจบ ชีฝูเฟิงก็ดูเฉยชาไร้อารมณ์ หากล่าววาจาใดไม่
ทว่าอำนาจล้างบางเซียนเพียงหนึ่งพลิกฝ่ามือนั้นร้ายกาจโดยไร้กังขา
“ไอ้#!”
รอยยิ้มบนใบหน้าชายในชุดบัณฑิตขงจื่อแข็งค้าง เผลอหลุดอุทานคำหยาบออกมา
สันหลังและกระดูกของเขาส่งสัญญาณหนาววูบวาบแล่นขึ้นสมอง ทั่วทั้งร่างนิ่งงัน ขณะที่ตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“ทีนี้ เรามาคุยกันดี ๆ ได้หรือไม่?”
ซูอี้ถามพร้อมกับแย้มยิ้มบาง
“ข้า…”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างยากลำบาก และพริบตาต่อมาก็หันหลังเผ่นหนี!
เปรี้ยง!
ยันต์ลับชิ้นหนึ่งในมือเขาถูกขยี้จนแหลก เปลี่ยนร่างของเขาเป็นไอควันหายลับไปจากท้องฟ้าในพริบตา
ทว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกลับปรากฏขึ้น คว้าลำคอของเขาเอาไว้แน่น
“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ยันต์เมฆาเคลื่อนพิรุณโปรยใช้มิได้หรอก”
น้ำเสียงเฉยชาของซูอี้ดังขึ้น
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าผู้คว้าคอเขาไว้คือซูอี้ มนุษย์ผู้จุติสรวง!
ซูอี้เสสรวล ยกมือโยนร่างของชายในชุดบัณฑิตขงจื่อให้ชีฝูเฟิง “ข้าให้เจ้า ข้าแค่อยากรู้ว่าไฉนนครเซียนโฉลกเมฆาจึงหมายตาข้าเท่านั้นแหละ”
ชีฝูเฟิงพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
“อย่านะ! ข้ายอมแล้ว! อย่าค้นวิญญาณกันเลย หาไม่ ข้าตายแน่และพวกเจ้าจะมิได้อันใดเลย!”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกรีดร้องอย่างหวาดผวา
ซูอี้กับชีฝูเฟิงมองหน้ากัน และเข้าใจทันทีว่าในวิญญาณของชายในชุดบัณฑิตขงจื่อน่าจะมีคำสาปต้องห้ามของใครบางคนอยู่ และเมื่อค้นวิญญาณ อีกฝ่ายจะตายอย่างแน่นอน!
อันที่จริง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ยิ่งเป็นขุมกำลังอันเก่าแก่ในโลกเซียน พวกเขายิ่งให้ความสนใจจิตวิญญาณของศิษย์ในสำนักมากขึ้นเช่นกัน
เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูค้นวิญญาณ พวกเขามักจะใช้สารพัดเคล็ดวิชาและวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างคำสาปต้องห้ามรักษาความลับในวิญญาณของศิษย์พวกตน
แน่นอนว่า นี่ไม่ใช่การกระทำเพื่อควบคุมศิษย์ของตน แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับของสำนักรั่วถูกศัตรูขโมยไปด้วยการค้นวิญญาณ
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “ตอบคำถามข้าสองข้อ แล้วข้าจะไม่เพียงไม่ฆ่าเจ้า แต่ยังมอบโอกาสให้เจ้ารอดชีวิตด้วย”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “ว่ามาเถิด”
ซูอี้ตอบว่า “ที่แดนบรรลุสรวง ไฉนเจ้าจึงหมายตาข้า?”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ตอบตามตรง ข้าหารู้ตัวตนและที่มาของท่านไม่ และมิรู้เรื่องใด ๆ เกี่ยวกับท่านเลย และเหตุผลที่ข้าหาท่านพบก็เพราะใช้เคล็ดวิชาหนึ่ง”
ซูอี้ว่า “โอ้ เคล็ดวิชาใดหรือ?”
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อกล่าว “เป็นเคล็ดวิชาหาคน เมื่อใช้มันจะสร้างการเหนี่ยวนำพิเศษไปยังเป้าหมาย”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ และเข้าใจ
ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อผู้นี้หารู้จักเขาไม่ แต่ยืนยันได้ว่าตนคือเป้าหมายที่มองหาจากการใช้เคล็ดวิชา!
และสาเหตุที่ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อมาดักรอตรงหน้าเขาได้ราวกับทำนายไว้ในยามนี้ก็เพราะเคล็ดวิชาดังกล่าวเช่นกัน!
“ใครสั่งให้เจ้าทำเช่นนั้น?”
ซูอี้ถาม
ชายคนนั้นกล่าวโดยไม่ต้องคิด “เจ้าสำนักส่งข้ามา!”
ชีฝูเฟิงกระซิบมาจากข้าง ๆ “เจ้านครเซียนโฉลกเมฆาคนปัจจุบันมีนามว่าซุนเซียวเฉิง ซึ่งคาดว่าจะเป็นเจ้าเฒ่าที่รอดจากหายนะยุคอวสานเซียน มีขอบเขตลึกล้ำยิ่ง เป็นมหาเซียนขอบเขตอัศจรรย์ผู้หนึ่งขอรับ”
มหาเซียนขอบเขตอัศจรรย์?
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ยังถือว่ารับมือกับตัวตนเหล่านี้ได้ยากยิ่ง
อันที่จริง อย่าว่าแต่มหาเซียนเลย กระทั่งเผชิญหน้ากับราชันเซียน โอกาสชนะก็ยังไม่มี เว้นแต่จะทุ่มพลังอย่างไม่คิดชีวิต
“ครานี้…”
ขณะที่ซูอี้กำลังจะพูดบางอย่าง ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อพลันกรีดร้องอย่างรวดร้าว พลังชีวิตเลือนหายไป
สีหน้าของชีฝูเฟิงเคร่งขรึมขึ้นขณะกล่าวว่า “ใต้เท้าจอมราชัน จิตวิญญาณของคนผู้นี้แหลกสลายไปแล้วขอรับ! ดูเหมือนจะมีผู้สัมผัสได้ว่าเขาถูกจับเป็น และฆ่าเขาโดยมิลังเลเลยขอรับ!”
ทว่ากลับไม่พบสิ่งใดเลย
สิ่งนี้ทำให้ชีฝูเฟิงตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ไม่ต้องเดาหรอก ข้าพอจะรู้แล้วว่านครเซียนโฉลกเมฆาแห่งนี้กระทำการเพื่ออันใด”
ซูอี้กระซิบ
คนตกปลา!
เทพผู้สตรีถือหอกเรียกเป็น ‘เฒ่าผู้ฉลาดแยบยล’!
คนตกปลาถือครองอำนาจแห่งผลกรรม และครั้งหนึ่ง ซูอี้เคยชิง ‘หญ้าเจียรสวรรค์’ และได้รับ ‘ตะขอเกี่ยวกรรม’ ชิ้นหนึ่งของคนตกปลาในสนามรบแรก
เพราะเหตุนี้ สตรีถือหอกจึงเตือนซูอี้ให้ระวังหายนะผลกรรมจะปรากฏขึ้นกับเขา
แม้จะทิ้งตะขอเกี่ยวกรรมไป ก็มิอาจทำลายหายนะแห่งผลกรรมนี้ลงได้!
และยามนี้ ซูอี้เพิ่งมาถึงแดนบรรลุสรวง ชายในชุดบัณฑิตขงจื่อจากนครเซียนโฉลกเมฆาก็ใช้เคล็ดวิชาหาเขาเจอทันที
ซึ่งดูผิดปกติอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มกล้าสรุปโดยไม่ต้องคิดก็ได้ความว่า การกระทำของนครเซียนโฉลกเมฆาที่มีต่อเขาในยามนี้ต้องมาจากคำสั่งของ ‘คนตกปลา’ แน่นอน!
มีเพียงอำนาจ ‘ผลกรรม’ ที่ว่านั่นเท่านั้นที่คนจากนครเซียนโฉลกเมฆาจะหาเขาเจอได้โดยใช้เคล็ดวิชา!
ทว่าชายหนุ่มหาประหลาดใจไม่
ในสนามรบแรก สตรีถือหอกเคยกล่าวไว้ว่านางมีวิธีกำจัดหายนะผลกรรมนี้
ทว่าซูอี้ก็ปฏิเสธนาง
เหตุผลนั้นยังเรียบง่ายอย่างมาก เพราะเขาเองก็สามารถสะบั้นปัญหานี้ได้!
เหตุผลที่เขาไม่จัดการเรื่องนี้เสียแต่ต้นก็เพราะต้องการใช้ตนเป็นเหยื่อเพื่อทดสอบว่าคนตกปลาเก่งกล้าสามารถเพียงไรเท่านั้น
ยามนี้เขาพอจะตัดสินได้บ้างแล้ว
แม้จะเป็นเทพ คนตกปลาก็มิอาจมายังโลกเซียนได้ด้วยตนเอง และทำได้เพียงส่งเจตจำนงให้นครเซียนโฉลกเมฆาทำงานให้เขา!
“ในโลกเซียนทุกวันนี้ พวกเจ้าเคยได้พบเทพบ้างหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
“ไม่ขอรับ”
ชีฝูเฟิงส่ายหน้า “ทว่าผู้น้อยได้ยินมาว่าเทพทั้งหลายใช้เจตจำนงแทรกซึมตามที่ต่าง ๆ ในโลกเซียนอย่างเงียบเชียบ อยู่เบื้องหลังขุมกำลังเซียนบางแห่ง และอาจมีอำนาจเทพอยู่เบื้องหลังเกินคณานับขอรับ!”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
นี่เป็นเรื่องธรรมดา
แม้ว่าเหล่าเทพจะไม่อาจมายังโลกนี้ได้ แต่สามารถส่งทูตสวรรค์ของตนมายังโลกเซียนได้
“ใต้เท้าจอมราชันอาจจะไม่ทราบบางเรื่อง ที่จริงแล้ว โลกเซียนทุกวันนี้ อย่าว่าแต่เทพเลยขอรับ กระทั่งตัวตนระดับตำนานใน ‘ขอบเขตมหาศาลสามระดับ’ บางผู้ยังเก็บตัวเงียบราวสิ้นสูญ มิกล้าออกมาปรากฏตัวในโลกหล้าง่าย ๆ เลยขอรับ”
ชีฝูเฟิงกล่าว “ยักษ์ใหญ่ค้ำนภาเหล่านี้ล้วนเก็บตัวเงียบ สงสัยว่าจะกำลังหลบหายนะอันมิอาจคาดเดาบางอย่างขอรับ”
“เหมือนเช่นเซวี่ยเซียวจื่อจากลัทธิไร้มลทิน ว่ากันว่าเขาเริ่มเก็บตัวเมื่อนานมาแล้ว และมิได้ปรากฏตัวเลยสักครั้ง”
ซูอี้กล่าวอย่างประหลาดใจ “หลบหายนะ?”
ชีฝูเฟิงกล่าว “ขอรับ เขาลือกันเช่นนั้น แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่ายักษ์ใหญ่ค้ำนภาเหล่านี้หลบอันใดอยู่”
ตัวตนทั้งหมดในโลกเซียนซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น ‘ยักษ์ใหญ่ค้ำนภา’ และ ‘ตำนานไร้ผู้เทียบ’ นั้นล้วนแต่เป็นตัวตนอันไร้เทียมทานซึ่งก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนกันทั้งสิ้น
หรือก็คือตัวตนในขอบเขตมหาศาลสามระดับ!
หวังเย่แต่เดิมก็เป็นหนึ่งในตำนานเหล่านั้น
“ดูเหมือนว่าโลกเซียนทุกวันนี้จะแตกต่างจากในกาลก่อนโดยสิ้นเชิงเลย…”
ซูอี้รำพึง
ชีฝูเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง “ใต้เท้าจอมราชันเพิ่งกลับมา และภายหน้า ท่านจะคุ้นชินกับสถานการณ์ในโลกหล้า หวนคืนสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนได้ขอรับ!”
ซูอี้ส่ายหน้าพร้อมยิ้มบาง “มิต้องรีบร้อน”
ประการแรกคือปลดเปลื้องความอาวรณ์ และผลกรรมที่หวังเย่ทิ้งไว้
เติมเต็มความอาวรณ์ในอดีตชาติ สะบั้นผลกรรมเก่าก่อน และก้าวข้ามหวังเย่ในศึกประชันจิตใจ!
หากทำเช่นนี้ ความคิดของเขาก็จะมิถูกรบกวนอีก!
กาลต่อมา ซูอี้ก็ถามรายละเอียดเกี่ยวกับวิถีเต๋าที่เสียหายของชีฝูเฟิงในเชิงลึก
ต้องบอกว่าวิถีเต๋าที่เสียหายของชีฝูเฟิงนั้นร้ายแรงอย่างยิ่ง หากมิใช่ตำนานสูงสุดอย่างเหล่ายักษ์ใหญ่ค้ำนภา เกรงว่าคงไร้โอกาสฟื้นตัว!
แน่นอนว่า เรื่องนี้ย่อมไม่ยากสำหรับซูอี้เลย
ด้วยประสบการณ์และความทรงจำชั่วชีวิตของหวังเย่ แม้ชายหนุ่มจะไม่อาจช่วยชีฝูเฟิงฟื้นวิถีเต๋าที่บาดเจ็บได้ด้วยตนเอง เขาก็ยังสามารถให้เคล็ดวิชาฟื้นวิถีแก่อีกฝ่ายได้!
“เก็บเคล็ดวิชานี้ไปฝึกฝนให้ดี แล้วไม่ถึงสามปี เจ้าจะสามารถฟื้นอาการบาดเจ็บของวิถีเต๋าจนหายดีได้”
ซูอี้นำม้วนหยกชิ้นหนึ่งออกมาสลักมรดกเคล็ดวิชาหนึ่งนาม ‘คัมภีร์ปั้นวิญญาณแปรพิรุณ’ ลงไป จากนั้นก็ส่งให้ชีฝูเฟิง
ชีฝูเฟิงแสนตื้นตัน
แล้วซูอี้ก็นำยันต์ลับอีกชิ้นส่งให้ชีฝูเฟิง “หลังหาที่พักดี ๆ ให้ผู้จุติสรวงเหล่านั้นได้ ให้เจ้านำยันต์ลับนี้ไปยัง ‘เมืองเมฆาล่อง’ ณ ทวีปกกพิสุทธิ์เพื่อช่วยข้าหาของบางอย่างที”
“ยันต์ลับชิ้นนั้นมีสิ่งที่เจ้าต้องการถามเอาไว้”
“และเจ้าแค่ถือยันต์ลับนี้ไว้กับตัว เมื่อข้ามาถึงทวีปกกพิสุทธิ์ ข้าก็จะติดต่อเจ้าได้เช่นกัน”
ชีฝูเฟิงรับยันต์ลับชิ้นนั้นมา และตอบตกลงอย่างเคร่งขรึม
ก่อนจะถามขึ้นทันที “แล้วท่านล่ะขอรับ?”
“ข้าหรือ…”
ดวงตาของซูอี้เผยประกายหวนคิดถึง “ข้าคิดจะเดินเล่นในโลกนี้สักหน่อย และเคลื่อนขอบเขตไปด้วยในตัวน่ะ”
………………..