บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1523: โจมตียามวิกาล
ตอนที่ 1523: โจมตียามวิกาล
เคลื่อนขอบเขต…ไปด้วยในตัว?
ชีฝูเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโล่งใจโดยพลัน
สำหรับตัวตนเช่นใต้เท้าจอมราชัน การเลื่อนขอบเขตนั้นมิได้ดูยากเย็นอันใด
“พอแล้ว จากกันตรงนี้เถอะ”
ชายหนุ่มไม่เคยต่อความยาวสาวความยืด แล้วกล่าวตัดบท จากนั้นเขาก็เก็บเก้าอี้หวายและกระโดดลงจากเมฆามงคลไป
ชีฝูเฟิงอ้าปากเหวอ ก่อนที่เขาจะกุมกำปั้นคำนับ “ใต้เท้าจอมราชัน ผู้น้อยจะมิผิดความไว้วางใจ และไปรอท่านที่ทวีปกกพิสุทธิ์แน่นอนขอรับ!”
ซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปโบกมือโดยมิหันกลับ “รีบไปเสีย”
เมื่อร่างของเขาค่อย ๆ หายลับนภา ชีฝูเฟิงก็จากไป
ยามนี้เป็นยามเย็น และตะวันอัสดงเหนือท้องนภาก็ยิ่งใหญ่จรัสสีสันเยี่ยงเปลวเพลิง
ซูอี้เดินสัญจรท่ามกลางป่าเขาราวทอดน่องชมทิวทัศน์
จนกระทั่งรัตติกาลมาเยือน ในที่สุดเขาก็เข้าเมือง ๆ หนึ่งไป
เมืองแห่งนั้นสว่างไสวด้วยแสงสีตระการตา คลาคล่ำด้วยผู้คน
เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายปรากฏกายขึ้นให้เห็นทุกซอกมุม มิขาดตัวตนจากชนกลุ่มต่าง ๆ ให้เห็นเรื่อยไป
ทว่าแทบไร้ร่องรอยของเหล่าเซียน
เขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี
แม้จะกล่าวกันว่ามีสรรพชีวิตมากมายเหลือคณาในโลกเซียน แต่ส่วนใหญ่ต่างเป็นตัวตนภายใต้วิถีเซียน
ต่อให้ค้นหาทั่วโลกหล้า ก็ยังหาเซียนพบได้ยาก
โดยเฉพาะในบางแดนดินห่างไกล กระทั่งเซียนผู้เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตจักรวาลยังล้วนเป็นตัวตนที่เหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้าทำได้เพียงแหงนมอง
ชายหนุ่มเดินไปบนตรอกถนนท่ามกลางราตรี เคลื่อนผ่านฝูงชนคลาคล่ำ ฟังเสียงอื้ออึงเจี๊ยวจ๊าว ทว่าหัวใจของเขาตกตะลึงเล็กน้อย
ทะยานนภาเปลี่ยนฟ้าดิน ทว่าข้าก็ยังคงเป็นคนเดินถนน
ความพลุกพล่านตรงหน้าเขาหาเกี่ยวอันใดกับผู้ผ่านทางเช่นเขาไม่
นี่คือวิถีฝึกตน
จะเล่นสนุกท่ามกลางโลกีย์ อ้อยอิ่งท่ามกลางความสุขชั่วประเดี๋ยวก็ทำได้ แต่ต้องเดินทางแสวงวิถีต่อเสมอไป
ถือครองหัวใจวิถีอันมิอาจถูกทำลาย มีความโดดเดี่ยวเป็นสหายร่วมทาง เสาะแสวงทั่วหล้าฟ้าดิน
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ส่ายหน้าทิ้งภวังค์ความคิดในใจ ก่อนจะหันเดินเข้าไปภายในหอวาณิชที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
เขาตั้งใจจะขายสมบัติที่ใช้ไม่ได้ทั้งหมดเพื่อแลกกับศิลาเซียน
เมื่อก้าวออกจากหอวาณิช ชายหนุ่มก็แลกศิลาเซียนมาเพียงสามพันชิ้นเท่านั้น
ในแดนมนุษย์ไม่อาจหาทรัพยากรฝึกตนอย่างศิลาเซียนได้เลย
ทว่าในโลกเซียน มันเป็นค่าเงินชนิดหนึ่งซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในการฝึกฝนและซื้อขายสิ่งของ
น่าเสียดายที่หอวาณิชซึ่งใหญ่ที่สุดในเมืองนี้มีทรัพยากรการเงินจำกัด จึงมิได้สั่งสมศิลาเซียนไว้มากนัก
ซูอี้นำสมบัติออกมายังมิถึงเศษเสี้ยวหนึ่งก็ล้างศิลาเซียนจากหอวาณิชนี้ได้หมดเกลี้ยงแล้ว
‘หนทางต่อไป หากพบเมืองเซียนที่มีเซียนอยู่เยอะ ๆ ข้าก็สามารถใช้สมบัติที่มีติดตัวแลกกับทรัพยากรฝึกตนที่ข้าต้องการได้’
ชายหนุ่มครุ่นคิด
โลกเซียนมีสี่สิบเก้าทวีป
แดนดินแต่ละทวีปกว้างใหญ่เกินเทียบ มีเมืองมากมายนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่
ทว่ามีเพียงเมืองที่ใหญ่สูงสุดเท่านั้น จึงจะมีทรัพยากรที่ตอบสนองความต้องการของตัวตนวิถีเซียนได้
เมืองใหญ่เหล่านั้นมักถูกเหล่าผู้ฝึกตนในโลกนี้เรียกว่า ‘เมืองเซียน’
นี่คือประโยชน์ของโลกเซียน
ทรัพยากรฝึกฝนมีให้พบได้ทุกแห่งหน ขึ้นกับว่ามีกำลังซื้อหรือไม่
หากเป็นในโลกมนุษย์ ด้วยวิถีเต๋าของชายหนุ่ม คงจะหาทรัพยากรฝึกตนที่สนองความต้องการของเขาได้ยาก
“ลูกค้า อยากพักในร้านของข้าหรือไม่?”
ยามเขาผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งก็ออกมาถามอย่างกระตือรือร้น
ซูอี้ชะงักฝีเท้า
เขาเพิ่งมายังโลกเซียนในวันนี้ และยังหาที่พักดี ๆ ไม่ค่อยได้เลย
ทว่าเขากลับส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า “หากข้าอยู่ในโรงเตี๊ยมเจ้า เกรงว่าเมืองนี้อาจตกต่ำไปกับข้าด้วย”
เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมนั้นผงะไป
แต่ร่างของซูอี้ได้หายไปในหมู่ผู้คนเดินถนนแล้ว
“ถุ้ย! พวกผียาจก ไร้เงินตราพักในโรงเตี๊ยมยังกล้ามาคุยโอ่ตรงหน้าข้าอีก ตลกสิ้นดี”
เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมผรุสวาทอย่างดูถูก
ทันใดนั้น ชายผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นถามเบา ๆ “เขาเพิ่งพูดอันใดกับเจ้าหรือ?”
เสียงนั้นลึกล้ำดึงดูด
เสี่ยวเอ้อคนนั้นเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว และสบเข้ากับคู่เนตรลึกล้ำเยี่ยงหุบเหว สติของเขาพร่ามัว ดวงตาหม่นประกาย
เขาพึมพำย้ำวาจาก่อนหน้านี้ของซูอี้ออกมา
ชายผู้อยู่ภายใต้เงาประทีปนั้นสวมชุดคลุมยาว สวมมงกุฎบนหัว ผิวกายกระจ่างเยี่ยงหยก สองมือไพล่หลัง ทั่วทั้งร่างให้ความรู้สึกสูงส่งเกินธรรมดา
มีเพียงแววตาลึกล้ำเยี่ยงหุบเหวคู่นั้นที่ประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
เมื่อฟังวาจาของเสี่ยวเอ้อ ชายสวมชุดคลุมยาวก็อดเสสรวลกล่าวมิได้ “สิ่งที่เขาพูดหาผิดเพี้ยนไม่”
เสียงยังไม่ทันสร่าง เขาก็หายวับไปเสียแล้ว
ครู่ต่อมา เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมพลันคืนสติ สีหน้าของเขาเปี่ยมความตกตะลึง
……
นอกเมืองนั้นรกร้างแร้นแค้น
ไกลออกไปมีขุนเขาทอดตัวลดหลั่นลงมาท่ามกลางราตรีเยี่ยงขนดอสรพิษมังกรเหนือโลกหล้า ดูไร้จุดสิ้นสุด
บนท้องนภา จันทราและหมู่ดาววูบไหวท่ามกลางหมู่เมฆนิลกาฬที่ลอยเอื่อย
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะเดินทอดน่องไปท่ามกลางสายลมราตรี อาภรณ์เขียวโบกสะบัด เพียงไม่กี่พริบตาก็หายลับ
แสนไกลถูกร่นเหลือเพียงชุ่น โลกหล้าช่างเล็กจ้อย!
“หากคืนนี้ข้าอยากหาที่พักสักที่ เกรงว่าคงต้องผัดไปก่อน”
ทันใดนั้น ซูอี้ผู้กำลังสัญจรในแดนดินพลันรำพึงเบา ๆ
เสียงยังมิทันสร่าง
ตู้ม!
ศรดอกหนึ่งพลันทะลวงผ่านนภาเข้ามา
รัศมีเซียนเจิดจรัสบนศรดอกนั้น เฉียบคมเยี่ยงอาชาห้อ ทะลวงสุญญะร้าวเป็นเส้นยาว
แสงสว่างเจิดจรัสไล่ความมืดแห่งราตรี เรืองประกายสาดแสงทั่วทั้งแดนดิน
เคร้ง!!!
ซูอี้ดูจะคาดการณ์ไว้แล้ว และดาบแห่งโลกาก็ทะยานขวางศรดอกนั้นไว้
อำนาจร้ายกาจจากลูกธนูสะเทือนมาทางซูอี้จนเลือดลมปั่นป่วนไปชั่วขณะ
หลังจากนั้นทันที เงาร่างทั้งสามพลันกระโจนผ่านท้องนภาโจมตีใส่ซูอี้อย่างดุดันขนาบทั้งซ้ายและขวา
หนึ่งเป็นชายร่างยักษ์สวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ถือหอกศึก
หนึ่งสตรีชุดเหลืองอันมีตราประทับอสนีบาตลอยเหนือศีรษะ
และชายชุดดำร่างผอมผู้ไร้อาวุธอยู่ในมือ
ทั้งสามเผยร่องรอยออกมา ขณะลอบสังหารอย่างดุเดือด ทุกสิ่งเกิดขึ้นแทบจะในพริบตาเดียวเท่านั้น
“สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตา และหนึ่งยอดฝีมือวิถีธนูเร้นกาย จัดทัพเช่นนี้ไม่เลวเลย”
ขณะซูอี้ครุ่นคิด จิตต่อสู้ก็เดือดพล่านขึ้นในดวงตาของเขาแล้ว!
วจีดาบแห่งโลกาดังกังวาน ระเบิดอำนาจดาบสะเทือนโลกหล้า
เมื่อเขาโบกมือ ปราณดาบก็ทะยานสู่เวหา พุ่งตรงเยี่ยงเส้นแสง เจิดจรัสถึงขีดสุด และยังทรงพลังเหลือเกิน
เปรี้ยง!
แดนดินถิ่นนี้พังทลาย สุญญะปั่นป่วนทุกหย่อมหญ้า
การโจมตีประสานของสามเซียนแท้ขอบเขตสุญตาถูกชายหนุ่มขวางไว้ทันควัน!
“นี่เขาเพิ่งจะเข้าสู่โลกเซียนจริง ๆ หรือ?”
ชายร่างยักษ์ในชุดคลุมหนังสัตว์ดูประหลาดใจ
“หากเป็นคนธรรมดา ไฉนเราต้องลงมือเองด้วยเล่า?”
สตรีชุดเหลืองกล่าวอย่างเย็นชา
“อัศจรรย์นัก!”
ชายชุดดำแสยะยิ้ม
ขณะสนทนา ทั้งสามก็ล้วนสำแดงฤทธิ์ทรงพลัง โจมตีเข้าใส่ซูอี้รวดเร็วเยี่ยงสายฟ้า
นอกจากนั้น ศรร้ายกาจดอกเล่าดอกเล่าถูกยิงออกมาท่ามกลางรัตติกาล สกัดซูอี้ไว้ในจังหวะสำคัญอย่างโหดร้ายชั่วช้า
“ไร้ยางอายจริง ๆ…”
ซูอี้พึมพำ
เขาเป็นตัวตนที่เทียบได้กับยอดคนจุติสรวงขอบเขตรวมวิถี แต่กลับถูกกลุ่มเซียนแท้ขอบเขตสุญตารุมโจมตี
นี่มันรังแกกันชัด ๆ
เพราะถึงอย่างไร ความต่างชั้นของการฝึกฝนก็ห่างกันเกินไป
นอกจากนั้น พวกเขายังเป็นเซียนแท้ขอบเขตสุญตาซึ่งยังมีชีวิต ไม่ใช่สิ่งที่วิญญาณอาสัญจะเทียบชั้นได้
หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว ซูอี้หาได้กลัวไม่ ใช้ความแข็งแกร่งของตนก็ฆ่าอีกฝ่ายลงได้
เมื่ออยู่ในสถานการณ์สามรุมหนึ่ง เขาจะทยอยล้มไปทีละคนก็ยังได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาอย่างหนักหนา
ทว่าสถานการณ์ในคืนนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักว่าเขามิจำเป็นต้องดิ้นรนสุดตัวเช่นนั้นเลย!
เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีแค่สามเซียนแท้ขอบเขตสุญตา แต่ยังมียอดฝีมือวิถีธนูซุ่มอยู่อีกคน
นอกจากนั้น ชายหนุ่มยังไม่เชื่อด้วยว่าศัตรูคืนนี้จะมีเพียงคนเหล่านี้
ดังนั้น เรื่องด่วนที่สุดคือฆ่าศัตรู!
ใช้วิธีอันแข็งแกร่งที่สุด เอาชนะให้เร็ว!
หลังชั่วเจ็ดดีดนิ้ว
เปรี้ยง!!!
ดาบแห่งโลกาสะบั้นหอกศึกของชายร่างยักษ์ในชุดคลุมหนังสัตว์พร้อมเสียงเปรี้ยงสนั่น แล้วคมดาบก็ฟาดฟันตามลงมา
ศีรษะชุ่มเลือดกระดอนขึ้นบนอากาศ
ดวงตาของชายร่างยักษ์ในชุดคลุมหนังสัตว์เบิกโพลง สีหน้าเปี่ยมความตกตะลึง
เพราะอำนาจของดาบเล่มนี้จู่ ๆ ก็ร้ายกาจและทรงพลังอย่างไม่คาดฝัน เขาไม่อาจฝืนต้านด้วยอำนาจของเซียนแท้ขอบเขตสุญตาได้เลย!
โชคร้ายที่ยามมีปฏิกิริยา เขาก็กลายเป็นศพไร้หัวไปเสียแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สองคนที่เหลือรู้สึกหวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาล้วนงัดไพ่ตายโจมตีอย่างสุดกำลัง และล้วนระมัดระวังรอบคอบ
ทว่าสุดท้ายก็ไร้ผล
สิบสามชั่วดีดนิ้วต่อมา
ร่างของซูอี้ก็ทะยานผ่านนภาเยี่ยงอาชาตะบึง
ฉัวะ!
หนึ่งคมดาบทะลวงผ่านอกสตรีชุดเหลือง ผลิบานเป็นบุปผาโลหิตที่ดูสะดุดตา
“เจ้า…”
สตรีชุดเหลืองอ้าปากจะพูดบางอย่าง ทว่าก่อนจะทันได้เอ่ยครบประโยค ร่างของนางก็ระเบิดเป็นละอองเลือดหายไปเสียก่อน
ชายร่างผอมคนสุดท้ายระเบิดพลังลุกไหม้ ใช้ยันต์เมฆาเคลื่อนพิรุณโปรยหนีไปทันที
ช่างโชคร้าย หากเขารู้ว่าชายในชุดบัณฑิตขงจื่อถูกจับเช่นไร เขาคงมิเลือกทำแบบนี้
จู่ ๆ ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้น และสิ่งที่ไวกว่าเขาคือดาบแห่งโลกาที่ฟาดลงอย่างดุดัน
ตู้ม!
ภาวะดาบฟาดฟันลงเยี่ยงน้ำตกไพศาล และร่างของชายร่างผอมก็แหลกสลายจากกัน
“บ้าเอ๊ยย!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในแดนดินแสนไกลอย่างเดือดดาล
ซูอี้เคลื่อนเข้าไปใกล้ในทันที
ทว่าจุดที่ปรากฏต้นเสียงนั้นร้างผู้คนมานานแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายอดฝีมือวิถีธนูผู้นั้นชิงหนีไปไกลก่อนแล้ว
ความเงียบหวนคืนสู่ฟ้าดิน
เพียงแต่ว่าบรรพตลำธารแดนนี้พังทลายเหี่ยวเฉา
ภายใต้แสงดาราริบหรี่ ซูอี้ผู้สวมอาภรณ์เขียวเก็บดาบแห่งโลกา นำไหสุราหนึ่งขึ้นยกดื่ม ก่อนจะหันหลังจากไป
ในร่างของเขา ‘ปราณวิญญาณเซียน’ สายหนึ่งพลุ่งพล่านขึ้นมา ทำให้อำนาจที่เขาใช้ไปเพื่อกระตุ้นปราณดาบเก้าคุมขังฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
‘ปราณวิญญาณเซียน’ นั้นถูกดูดซับบน ‘แท่นแปรเซียน’ ที่เขตแดนสมรภูมิและถูกกักเก็บอยู่ภายในร่างของซูอี้มาตลอด โดยตั้งใจจะใช้มันยามพิสูจน์วิถีสู่ขอบเขตแปรสุญตา
ทว่ายามนี้ เขาไม่อาจมัวเก็บหอมรอมริบ
เรื่องที่ด่วนที่สุดในขณะนี้คือต้องฟื้นการฝึกฝนโดยเร็วที่สุด
ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ซูอี้ยืมพลังของดาบเก้าคุมขังเพื่อฆ่าศัตรู!
อีกฝ่ายไร้ยางอายเกินไป เป็นไปไม่ได้หากเขาจะมิงัดไพ่ตายมาใช้
และด้วยขอบเขตฝึกฝนปัจจุบันของเขา พลังที่ปลดปล่อยออกมายามใช้อำนาจดาบเก้าคุมขังก็ย่อมแตกต่างจากกาลก่อนโดยสิ้นเชิง
มิคาดเลยว่ามันจะฆ่าเซียนแท้ขอบเขตสุญตาลงได้!
แม้อีกฝ่ายจะรู้ตัวและพยายามขัดขืนสุดกำลังก็ไร้ผล
หลังจากร่างของชายหนุ่มหายไปไม่นาน บุรุษผู้หนึ่งในชุดคลุมยาวก็ค่อย ๆ มายังสนามรบนี้
………………..