บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1527: เตือนสติ
ตอนที่ 1527: เตือนสติ
สำหรับการตอบโต้เอาคืนก่อนตายของชายในชุดคลุมยาว ซูอี้เตรียมตัวรับมือก่อนหน้าแล้ว
เพราะอย่างไรคนผู้นี้ก็คือทูตสวรรค์!
ในตัวมีพลังและเคล็ดวิชามากมาย
แต่เมื่อเห็นอำนาจกฎเกณฑ์ผุดออกมาจากร่างสัตว์ดุร้ายซึ่งแปลงร่างจากชายในชุดคลุมยาวคนนั้นแล้ว มันก็ยังคงเกินความคาดหมายของซูอี้อยู่ดี
เพราะนั่นไม่ใช่พลังของเทพ
แต่เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่ากับขอบเขตราชันเซียน!
ซูอี้ไม่มีเวลาครุ่นคิดหรือหลบหลีก ได้แต่ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง
“ขึ้น!”
ม่านดาบฉากแล้วฉากเล่าปรากฏขึ้นตรงหน้าซูอี้ ราวกับแผงกั้นขนาดใหญ่
ม่านดาบแต่ละฉากล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังของดาบเก้าคุมขัง พลังวิถีทั้งหมดในขอบเขตแปรสุญตาของซูอี้ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น
ไม่มียั้งมือแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกัน พลังของขอบเขตราชันเซียนนั้นก็ถาโถมเข้าใส่
ปัง! ปัง! ปัง!
ม่านดาบฉากแล้วฉากเล่าแตกระเบิด
กลายเป็นเศษย่อยราวกับกระดาษ
การโจมตีอย่างเต็มกำลังของขอบเขตราชันเซียนสามารถสังหารราชันเซียนในใต้หล้าได้อย่างสบาย!
ส่วนซูอี้ ถึงแม้จะใช้พลังของดาบเก้าคุมขังอย่างเต็มกำลัง ทว่าระดับการฝึกตนของตัวเองมีจำกัด อย่างไรเสียอานุภาพก็ยังคงมีจำกัดตามไปด้วย
จึงเป็นเหตุให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสตามการพังพินาศของม่านดาบ
ฟ้าดินสั่นสะเทือน
คลื่นการทำลายล้างอาละวาด โหมซัดขึ้นกลางอากาศ ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน
จนกระทั่งหมอกควันฟุ้งกระจายหายไป
จึงเห็นว่าภายในการสู้รบ ชายในชุดคลุมยาวที่กลายร่างเป็นสัตว์ดุร้ายนั้นหายตัวไปจากโลกนี้แล้ว
ส่วนซูอี้ ยังคงมีชีวิตอยู่!
เพียงแต่ว่าอยู่ในสภาพบอบช้ำอย่างแสนสาหัสเท่านั้น
ร่างของเขามีบาดแผลขนาดใหญ่ เลือดไหลอาบ อวัยวะภายในล้วนได้รับความกระทบกระเทือนและเสียหายอย่างแรง กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส
แม้แต่มือที่ถือดาบแห่งโลกาข้างนั้นก็ยังสั่นระรัว!
สภาพเช่นนั้นหนักหน่วงยิ่งกว่าตอนที่เพิ่งผ่านมหาภัยพิบัติเพื่อก้าวสู่ขอบเขตแปรสุญตาเสียมาก
“ครั้งนี้เล่นหนักเกินไปแล้วจริง ๆ …”
มุมปากของซูอี้ขยับ รู้สึกเย้ยหยันตัวเองอย่างแรง
เดิมที เขาไม่จำเป็นต้องตามไล่ล่าชายในชุดคลุมยาวผู้นั้น
ยิ่งกว่านั้น นับแต่แรกเริ่ม เขาก็สามารถกำจัดหายนะผลกรรมของคนตกปลา และหลีกเลี่ยงการไล่ล่าที่เริ่มจากสถานสำเร็จในครั้งนี้ไปได้
ทว่าเพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่าง และเพื่อเป็นการฝึกฝนขัดเกลาความสามารถของตัวเอง ถือโอกาสนี้บรรลุขอบเขต สุดท้ายซูอี้ยังคงทำเช่นนี้
ผลที่ได้คือ เขาก้าวขามขอบเขตสำเร็จจริง ๆ
แต่ขณะเดียวกัน กลับต้องเสียเปรียบอย่างหนักในคืนแรกที่เพิ่งมาถึงแดนเซียน!
ทว่า ซูอี้ไม่รู้สึกเสียใจ
เดิมทีเขาก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว
ฝึกฝนขัดเกลาในเวลาเป็นตายเท่ากัน และเคยผ่านมามากแล้ว
“วันข้างหน้า ข้าจะไม่ไปงัดข้อกับเหล่าเทพพวกนั้นง่าย ๆ อีกแล้ว”
ซูอี้รำพึง
การต่อสู้ครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการลองเชิงเทพ!
ผู้แข็งแกร่งของนครเซียนโฉลกเมฆา รวมไปถึงชายที่สวมชุดคลุมยาวซึ่งมีฐานะเป็นทูตสวรรค์คนเมื่อสักครู่นั้น ต่างก็ฟังคำบัญชาของคนตกปลา
สำหรับแง่มุมหนึ่งแล้ว เขากำลังประลองกำลังกับคนตกปลานั่นเอง!
และในการประลองกำลังเช่นนี้ ซูอี้ไม่มีข้อได้เปรียบแม้แต่น้อย และระดับการฝึกตนก็กลายเป็นข้อด้อยที่ร้ายแรงที่สุดของเขาอีกด้วย!
อันที่จริง ในการต่อสู้กันครั้งนี้… มันก็นับเป็นการเตือนสติซูอี้ด้วยเช่นกัน
ควรต้องเข้าใจว่ากระทั่งผู้แข็งแกร่งอย่างหวังเย่ที่ก้าวสู่จุดสูงสุดในวิถีเซียน เมื่อครั้งนั้นก็ยังเคยโดนทวยเทพไล่ล่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ตามคำบอกกล่าวของ ‘ลั่วเหยา’ สตรีลึกลับคนนั้น ในบรรดาชาติก่อน ๆ ของเขา เคยมีอยู่สองชาติที่พ่ายแพ้ต่อทวยเทพ!
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะประมาทได้อย่างไร?
“วันข้างหน้า จะเชือดเหล่าทวยเทพที่มองว่าข้าเป็นหนามในตาเหล่านั้นให้หมดสิ้น!”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
เขาสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง แต่กลับรู้สึกเจ็บและปวดไปทั้งเนื้อทั้งตั้ว ทั้งยังมีทีท่าว่าจะล้มลงเมื่อไรก็ได้อีกด้วย
หลังเม้มริมฝีปากสักครู่ ซูอี้อาศัยจิตมุ่งมั่นที่เกินกว่าปกติธรรมดาฝืนพยุงร่างของตัวเองมุ่งหน้าออกไป
ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่รักษาบาดแผล แต่ต้องรีบหนีจากสถานที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ
แม่น้ำกว้างใหญ่ไพศาลสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในสายตาของซูอี้
เพียงแต่ สติของเขาเริ่มเลือนรางขึ้นทุกขณะ ทั้งเนื้อทั้งตัวรู้สึกหนักไปหมด อวัยวะในตัวราวกับไม่ยอมทำตามคำสั่ง
“ประมาทเกินไป เพื่อความสาแก่ใจชั่วครั้งชั่วคราว กลับทำให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพลำบากถึงเพียงนี้…”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะข้าประมาท แต่เห็นได้ชัดว่าเพราะภาวะจิตของข้าได้รับอิทธิพลจากหวังเย่ต่างหาก….”
นึกถึงตรงนี้ ซูอี้พลันสะดุ้งตื่นตัวขึ้นมา
ในการต่อสู้ห้ำหั่นเมื่อก่อนหน้านี้ ด้วยนิสัยของตัวเอง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังประลองกำลังกับคนตกปลาอยู่ ไม่มีทางรับมือโดยไม่มีการเตรียมตัวอันใดเป็นแน่
แต่หากว่าเป็นหวังเย่ เขาไม่ทำเช่นนี้แน่
เหตุผลก็เพราะภาวะจิตกับความกล้าหาญของหวังเย่ก่อตั้งขึ้นบนจุดสูงสุดแห่งวิถีเซียนนี้ จึงไม่ใส่ใจคู่ต่อสู้เหล่านี้เป็นธรรมดา
และก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน ถึงแม้คืนนี้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่ทว่าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
“คืนนี้ เจ้าทำข้าสาหัสมาก…”
ซูอี้แอบคิดในใจ “แต่ จะพูดไปแล้ว ก็ต้องโทษที่ข้าไม่ได้เตือนสติด้วยเช่นกัน”
เวลานี้เขานึกถึงเรื่องที่เจอในวันนี้ขึ้นมา เข้าใจแล้วว่าหลังจากที่ย้อนกลับสู่แดนเซียนอีกครั้ง ความทรงจำ ประสบการณ์ และความรู้สึกทั้งหลายของหวังเย่เริ่มปรากฏขึ้นถี่ ๆ
ดังเช่น ความรู้สึก ความเข้าใจ และความทรงจำ รวมไปถึงตอนที่สนทนากับชีฝูเฟิงขณะที่อยู่สถานสำเร็จ ณ ขุนเขากวางขาว …การรับรู้และภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในความทรงจำ ทั้งหมดล้วนมาจากหวังเย่แทบทั้งสิ้น!
ภายใต้อิทธิพลเงียบไร้ซุ่มเสียงเช่นนี้ ทำให้จิตเดิมของตัวซูอี้ได้รับผลกระทบไปด้วย!
ซูอี้เข้าใจดีว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ยกเว้นเสียแต่เขากำจัดความทรงจำและประสบการณ์ทั้งหมดของหวังเย่ทิ้ง มิเช่นนั้น วันข้างหน้าเวลาที่ท่องเดินอยู่ในแดนเซียนจะต้องเจอกับเรื่องลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ!
“ข้ารับมือกับตัวข้า ชักน่าสนุกขึ้นมาแล้ว…”
“ต่อไป เรื่องใดที่เจ้าพบเจอ ข้าจะล้ำหน้าให้หมดทุกเรื่อง!”
ซูอี้รำพึงในใจ
เขามองดูรอบ ๆ ไม่คิดอะไรมากอีก
แทบจะทุ่มเทพลังหยาดสุดท้ายในตัวไปจนสิ้น ขับเคลื่อนวัฏสงสารสลายหายนะผลกรรมที่โอบรัดอยู่บนตัวออกจนสิ้น
จากนั้นเขาก็ฝืนทนต่อไปอีกไม่ไหว ร่างร่วงลงมาจากกลางอากาศ ตกลงสู่แม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลสายนั้นส่งเสียงดัง
และหายลับไปตามกระแสคลื่นที่สาดซัด
…….
คืนวันนั้น
สถานที่ซึ่งซูอี้เคยต่อสู้ห้ำหั่น ผู้แข็งแกร่งแห่งนครเซียนโฉลกเมฆาบางส่วนทยอยปรากฏตัวขึ้น ทว่าหลังจากที่เสาะสำรวจเสร็จ สุดท้ายก็ไม่ได้ความอันใด
ข่าวคราวถูกส่งกลับไปยังนครเซียนโฉลกเมฆาในทันใด
“ล้มเหลว? เซียนแท้ขอบเขตสุญตาถึงยี่สิบตนกับเหล่าเซียนขอบเขตจักรวาล กลับไม่อาจจับตัวผู้สำเร็จตัวเล็ก ๆ ได้?”
“กระทั่งใต้เท้า ‘เฮยม่อ’ …ก็ยังตาย!?”
ซุนเซียวเฉิงเกรี้ยวกราด สีหน้าหมองคล้ำ
ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักนครเซียนโฉลกเมฆา เขาก็เป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลมากคนหนึ่งในแดนเซียน
ทว่าเวลานี้ กลับรับมือกับข่าวร้ายนี้ไม่ทันอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่อาจจับตัวเป้าหมายกลับมาได้ ใต้เท้าองค์เทพจะต้องโกรธเป็นไฟอย่างแน่นอน….”
ซุนเซียวเฉิงถอนใจ
ตามที่ข่าวแจ้งมา เคล็ดวิชาไล่ติดตามเป้าหมายล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าไปแล้ว
และเช่นนี้ก็หมายความว่า วันข้างหน้าหากต้องการจับตัวเป้าหมายคนนั้นอีก เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร ความหวังเลือนราง!
เรื่องนี้ทำให้ซุนเซียวเฉิงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ราวกับนั่งบนตะปู
……
ค่ำคืนเดียวกัน
ริมธารนทีสายยาวแห่งยุคอันกว้างใหญ่ไพศาล
คนตกปลกร่างผอมบางยังคงนั่งตกปลาอยู่ตรงนั้น
ทว่าทันใด ราวกับจิตสามารถสัมผัสได้ เขาดึงตะขอขนาดเล็กตัวหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ลักษณะคล้ายกับเบ็ดตกปลา เพียงแต่มันร้าวเป็นเสี่ยง ๆ แล้ว
“อำนาจแห่งผลกรรมถูกทำลายไปแล้ว…”
คนตกปลาสีหน้าเคร่งเครียด “ดูท่า ผู้ถือครองวัฏสงสารคนนั้นคงรู้ตัวแล้ว ใช้พลังวัฏสงสารลบล้างหายนะผลกรรมที่ข้าทิ้งเอาไว้!”
“ซูเซียวเฉิงนั่น ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ!”
คนตกปลาขมวดคิ้ว
พลันเขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หยิบยันต์ลับแผ่นหนึ่งออกมา ทำการร้องเรียก “เฮยม่ออยู่หรือไม่?”
ยันต์ลับสงบเงียบ นานมากแล้วยังคงไม่มีเสียงตอบ
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้คนตกปลาถึงกับหนังตากระตุก เข้าใจได้ทันใดว่าเฮยม่อตายแล้ว!
คนตกปลารู้สึกเจ็บปวด
ขอบเขตวิถีของเฮยม่อไม่ถือว่าล้ำลึกมากเท่าใดนัก ช่วงเวลาสูงสุดก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตราชันเซียนเท่านั้น ทว่าเขาเป็นคนที่ทำงานไว้ใจได้ที่สุด และเป็นคนที่จงรักภักดีที่สุดคนหนึ่งในบรรดาทูตสวรรค์ที่อยู่ใต้บัญชาของคนตกปลา!
“ผู้ถือครองวัฏสงสาร แค้นนี้จะจบง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้!”
สายตาของคนตกปลาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง น่ากลัวนัก
……
หนึ่งวันให้หลัง
บนขุนเขากวางขาว
‘ม่อซานฉาน’ ทูตลัทธิไร้มลทินมาเยือนด้วยตนเอง
ผู้ที่ปรากฏตัวตามมายังมีตัวตนน่ากลัวจากขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ ในวิถีเซียน
ผู้ที่มีระดับการฝึกอ่อนที่สุดก็ยังอยู่ในขอบเขตราชันเซียน!
เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น อานุภาพน่ากลัวครอบคลุมไปทั่วฟ้าดิน
“ลัทธิไร้มลทินของเจ้าอุตส่าห์ทุ่มเทกายใจ วางแผนก่อนล่วงหน้า แต่สุดท้าย กระทั่งเงาของอีกฝ่ายก็ยังจับไม่ได้ ช่างน่าขันนัก!”
มีคนหัวเราะ กล่าวเยาะเย้ย
หน้าของม่อซานฉานบูดบึ้งจนดูไม่ได้
“น่าเสียดาย นับแต่บรรพกาลมา แดนเซียนเปิดเป็นครั้งแรก ตัวตนเหล่านั้นจะต้องเป็นสุดยอดที่สุดในแดนมนุษย์อย่างแน่นอน ใครเล่าจะคิดว่ากลับโดนคนอื่นแย่งไปครองก่อน”
มีคนทอดถอนใจ
“ที่แท้แล้วฝีมือใครกันแน่?”
“ไม่เห็นพวกสำนักเซียนเมฆาโปรยที่ถูกคนลบความทรงจำไปแล้วหรอกหรือ? เป็นไปไม่ได้ที่จะสืบหาเบาะแสเจอได้อีก!”
มีคนกัดฟัน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะจบง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
มีคนพูดเสียงหนักแน่น
ทว่าท้ายที่สุด เหล่าบุคคลสำคัญจากขุมกำลังระดับสุดยอดของแต่ละแดนเซียนเหล่านี้ก็จนปัญญา สุดท้ายทยอยแยกย้ายกลับ
“ส่งคำสั่งของข้าลงไป ในช่วงเวลานี้ ตามหาตัวคนที่น่าสงสัยทั้งหมดในแคว้นจิ่งอย่างเต็มกำลัง!”
ก่อนที่ม่อซานฉานจะออกไป ได้สั่งทิ้งไว้
ผู้น้อยคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “ใต้เท้า คนที่น่าสงสัยนี้มีรูปเหมือน ชื่อแซ่ หรือลักษณะเด่นอื่น ๆ อันใดหรือไม่ขอรับ?”
ม่อซานฉาน “…”
เวลานี้เขาจึงเข้าใจแล้วว่ามัวแต่อลหม่านกันอยู่นาน จนกระทั่งถึงตอนนี้กระทั่งชื่อของเป้าหมายก็ยังสืบไม่ได้
ส่วนรูปเหมือน เลิกนึกถึงได้เลย
ในโลกนี้ ตัวตนที่เก่งวิชาปลอมโฉมมีอยู่มากมายนัก
อีกทั้ง ตอนนี้ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว เป้าหมายนั้นจะไม่ป้องกันระวังตัวเองได้อย่างไร?
ยิ่งคิด ม่อซานฉานก็ยิ่งปวดหัว
ขณะที่จิตใจกระสับกระส่าย ม่อซานฉานร้องตะคอก “ให้เจ้าไปสืบก็รีบไปสืบ จะพูดร่ำไรให้มากความให้ได้อะไรขึ้นมา?”
“ขอรับ!”
ผู้น้อยตกใจกลัว รีบรับคำสั่งออกไป
“ตอนนี้ สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้คือ ร่างกลับชาติเกิดใหม่ของหวังเย่จะต้องอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้นเป็นแน่”
“หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ทรราชหวังเย่… กลับมาแล้ว!”
พอนึกถึงตรงนี้ ม่อซานฉานรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาอย่างประหลาด สันหลังหนาววาบ
ตัวตนคนใดก็ตามที่พอจะรู้เรื่องราวในอดีตของทรราชหวังเย่ จะต้องรู้ดีว่าเขาคือตัวตนที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง!
ในวันเดียวกัน ฉีเนี่ยเจ้าลัทธิไร้มลทินได้รับแจ้งข่าวนี้
ตอนนั้น ฉีเนี่ยกำลังดีดฉินอยู่ใต้ต้นสนโบราณ
จากนั้น เขาก็ฟาดฉินตัวนั้นพัง
นี่เป็นฉินตัวที่สองที่ถูกเขาฟาดพัง
เป็นเพราะตอนที่สนทนาข้ามภูมิกับซูอี้ในตอนนั้น เขาก็เคยฟาดฉินพังไปตัวหนึ่ง
ความรู้สึกในตอนนั้นเวลานั้น เหมือนกับเวลานี้นัก!!
………………..