บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1528: อาหลีใบ้
ตอนที่ 1528: อาหลีใบ้
ดวงอาทิตย์อัสดงสาดส่องกระทบผิวน้ำ เกิดเป็นประกายสีแดงระยิบระยับ
ท่ามกลางกอหญ้าดกครึ้มแถวริมแม่น้ำ นกน้อยสองตัวกระพือปีกบินขึ้นสู่ฟากฟ้า
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบดังขึ้นไกล ๆ กำลังเดินเข้ามาใกล้ทีละน้อย
ถึงแม้ซูอี้ที่นอนอยู่บนกอหญ้าใกล้ริมแม่น้ำจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในที่ที่ห่างไกลออกไปร้อยจั้ง คนร่างผอมบางกำลังเดินมา
คน ๆ นั้นคือสาวน้อยนางหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์ตัวเก่าขาด ผิวสีน้ำผึ้ง มือหนึ่งหิ้วข้องใส่ปลา อีกมือหนึ่งถือหอกยาว
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น สาวน้อยเดินอย่างกระฉับกระเฉง มาถึงกอหญ้าบริเวณใกล้ ๆ ด้วยความชำนาญเส้นทาง
นางวางข้องปลาลงบนพื้น จากนั้นถือหอกยาวสำรวจสักครู่ ทันใดนั้นก็เสือกหอกยาวลงไปในน้ำ
ซ่า~
น้ำกระเซ็น ขณะที่ปลาตัวอ้วนใหญ่โดนหอกยาวแทงทะลุตัว จากนั้นจึงตวัดขึ้น
สาวน้อยถอดปลาออกจากหอกยาวด้วยความคล่องแคล่ว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็โยนเข้าไปในข้องปลาที่อยู่ข้าง ๆ
หลังจากนั้น นางจึงเริ่มเดินเลาะกอหญ้าละแวกใกล้ ๆ เพื่อตามล่าเหยื่อรายต่อไป
สาวน้อยก็เข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ
เอ๊ะ?
ทันใด สาวน้อยหันขวับไป ดวงตาใสสว่างเบิกกว้าง
นางเห็นซูอี้แล้ว!
เพียงแต่ว่า ในสายตาของนาง ชายหนุ่มในเวลานี้จะไม่แตกต่างจากศพที่โดนเสียบทะลุจนเป็นรูพรุนไปทั้งตัว เลือดเปรอะทั่วทั้งร่าง กระทั่งน้ำในแม่น้ำก็ยังไม่อาจชะล้างออกได้หมด
สาวน้อยถือหอกยาวแน่น ร่างผอมบางเกร็งราวกับคันธนู ระมัดระวังตัวขึ้นมา
ซูอี้ไม่ได้ขยับเขยื้อน
ทว่าชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกกังวล
สาวน้อยในชุดหนังสัตว์คนนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากนัก เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเข้าสู่หนทางการฝึกตนได้ไม่นาน รู้เพียงการฝึกลมปราณอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น ทั้งยังอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ
วิถียุทธ์สี่ขอบเขต โคจรโลหิต รวบรวมลมปราณ หลอมกำเนิด และไร้แพร่งพราย
นี่คือหนทางแห่งการฝึกตนของผู้เริ่มต้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปที่มีอยู่ดาษดื่น
สาวน้อยคนนี้ไม่อาจทำอันตรายต่อซูอี้ได้
เวลาผ่านไปทีละน้อย
สาวน้อยไม่ขยับเขยื้อน นางกำลังสังเกตซูอี้ด้วยความตั้งใจ จากตรงนี้สามารถมองออกได้ว่าสาวน้อยเป็นคนระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างมาก
นานมาก
นางเม้มริมฝีปาก ถือหอกยาวแน่น จึงขยับเข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง
จากนั้นนางก็ถือหอกยาวทิ่มไปที่ขาของซูอี้เบา ๆ ทีหนึ่ง
ซูอี้ “…”
เขาทำหน้าแทบไม่ถูก ไหนเลยจะมองไม่ออกว่าแม่สาวน้อยกำลังทดลองดูว่าที่แท้แล้วตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว?
คนตาย?
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ แม่สาวน้อยก็หมุนตัวทำท่าจะเดินจากไปด้วยความโล่งใจ
ทว่าในเวลานี้เอง นางก็มองเห็นร่างผู้ชายที่นางมองว่าเป็นศพลืมตาขึ้น กำลังมองดูตนเองอยู่
ชั่วขณะนั้น สาวน้อยส่งเสียงกรีดร้อง หมุนตัวได้ก็หนี ราวกับตกใจอย่างสุดขีด
ซูอี้ “…”
จะระมัดระวังตัวเองเกินไปแล้วกระมัง?
สาวน้อยหนีไปแล้ว แม้กระทั่งข้องปลาก็ยังไม่เอาไปด้วย
มุมปากของซูอี้กระตุกด้วยความจนปัญญา
เขานอนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ หรี่ตามองดูพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไปอย่างช้า ๆ รับรู้สภาพร่างกายของตัวเองเงียบ ๆ
เส้นเอ็นขาด กระดูกหักเป็นผุยผงหลายแห่ง เลือดลมแทบไม่ไหลเวียน ผิวกายเต็มไปด้วยบาดแผลเป็นรูพรุน กระทั่งอวัยวะภายในก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ลำพังเพียงบาดแผลเหล่านี้ยังไม่เท่าไร
ที่หนักถึงตายคือ กลิ่นอายปราณราชันเซียนที่อัดแน่นอยู่เต็มภายในร่างกายของเขา
นั่นเป็นพลังที่รุนแรงเฉียบขาด เป็นการโจมตีอย่างเต็มกำลังของขอบเขตราชันเซียนที่ชายหนุ่มประสบเมื่อก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ จิตวิญญาณก็ยังอยู่ในอาการสาหัส ตกอยู่ในสภาวะห่อเหี่ยวที่คล้ายกับการ ‘แกล้งตาย’
ทั้งหมดนี้ ทำให้ซูอี้หมดถ้อยคำจะพูด
การได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้สาหัสมากจริง ๆ
หากไม่อาจขับพลังราชันเซียนที่อยู่ในร่างกายออกไปได้ ระดับการฝึกตนทั้งหมดในตัวเขาก็จะฟื้นฟูกลับคืนมาได้ยาก
หากว่าระดับการฝึกตนฟื้นฟูกลับมาไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าต่อให้เขามีพันเคล็ดวิชา หมื่นการรอบรู้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสมานฟื้นฟูบาดแผลในตัวได้
ทว่าขอเพียงแค่ไม่ตาย ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอันใดสำหรับเขาเลย
ซูอี้สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า โอกาสรอดที่มีอยู่น้อยนิดจนแทบมองไม่เห็นกำลังไหลอยู่ในร่างกายของตัวเอง
นั่นเป็นพลังของมหาวิถีอมตะ!
ก่อนที่อาไฉ่จะจากไปในตอนนั้น นางได้มอบหินฮุ่นตุ้นรองรับวิถีแก่เขาก้อนหนึ่ง ภายในเก็บรักษาพลังมหาวิถีอมตะเอาไว้
และในเวลานั้นเช่นกัน ซูอี้เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับมหาวิถีอมตะอย่างถ่องแท้ ความเข้าใจในวิถีต้องห้ามนี้จะถือได้ว่าเริ่มค้นหาวิถีหนทางเจอด้วยเช่นกัน
แต่ตอนนี้ พลังมหาวิถีที่สามารถทำให้คน ๆ หนึ่ง ‘ไม่ดับไม่สิ้น ตายแล้วเกิดใหม่’ นี้ กำลังประคับประคองและหล่อเลี้ยงร่างที่บาดเจ็บสาหัสของเขา
ถึงแม้จะเบาบางมาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี
“จากสภาพนี้ ไม่เกินหนึ่งเดือน ก็น่าจะฟื้นฟูระดับการฝึกตนของข้าได้บ้าง!”
ซูอี้กล่าวขึ้นเบา ๆ “เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ข้าก็สามารถหยิบโอสถออกมาจากเตาเสริมสวรรค์ได้ และซ่อมแซมบาดแผลให้หายอย่างเต็มกำลัง รวมถึงฟื้นฟูระดับวิถี!”
พระอาทิตย์ยามเย็นลาลับ แสงตะวันหายไป
ฟ้าดินอึมครึม แสงราตรีกำลังปกคลุมไปทั่ว
ทันใด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นพัก ๆ จากไกล ๆ
ยังคงเป็นสาวน้อยที่สวมชุดหนังสัตว์คนนั้น นางยังคงถือหอกยาวและระมัดระวังตัวเองยิ่ง ขณะเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม
“เหตุใดจึงกลับมาอีก?”
ซูอี้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งไร้เรี่ยวแรง
ร่างผอมบางของสาวน้อยแข็งทื่อเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หยิบหนังสัตว์ผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ คลี่ออกและชูให้ซูอี้ดู
ซูอี้เหลืองมองดู เห็นตัวอักษรคด ๆ งอ ๆ บรรทัดหนึ่งบนผืนหนังผืนนั้น
‘ข้าชื่ออาหลี มาเพื่อช่วยเจ้า ข้าเป็นใบ้’
ซูอี้ตะลึง ‘เป็นใบ้?’
มิน่าเล่า นางจึงไม่พูดแม้แต่คำเดียว
เมื่อเห็นว่าซูอี้ทำท่าเข้าใจขึ้นมาแล้ว สาวน้อยก็วางใจลงไม่น้อย ขณะหยิบถ่านไม้แท่งหนึ่งมาเหลาเป็นพู่กัน และเขียนลงบนหนังสัตว์
‘ประเดี๋ยว ข้าจะแบกเจ้าไปจากที่นี่ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ข้าจะช่วยใส่ยาให้’
นางเก็บหนังสัตว์กับพู่กัน เดินไปข้างหน้า แล้วย่อตัวลง พยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
จากนั้นใช้ร่างบอบบางของนางแบกซูอี้ขึ้นหลังโดยไม่สนใจคราบเลือดและคราบดินโคลนบนตัวเขาแม้แต่น้อย ออกจากกอหญ้าแห่งนั้นมุ่งหน้าเดินออกไป
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มยังไม่ได้กล่าวอันใดสักคำ
มีแต่สายตาที่เปลี่ยนไป แลดูอ่อนโยนขึ้นมา
สาวน้อยเป็นคนระมัดระวังตัวมาก ทว่ากลับมีจิตใจที่ดีงาม ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก
แสงราตรีราวกับน้ำ ดวงจันทร์ขาวผ่องล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า
บนผืนแผ่นดิน สาวน้อยที่เพิ่งอายุสิบห้าสิบหกแบกซูอี้เดินเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็ม ๆ ในสายตามองเห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ไกล ๆ
ภายในหมู่บ้าน มีบ้านหินที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ตั้งอยู่หลายหลัง กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่าง ๆ อย่างไร้ระเบียบ
หน้าบ้านหินบางบ้านมีการก่อกองไฟ แสงไฟส่องสว่าง ร่างของคนจำนวนมากกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟ พลางดื่มสุรา พลางสนทนาพาทีกันอย่างคึกคักเฮฮา
ทว่าสาวน้อยไม่ได้ตรงไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น แต่แบกซูอี้เดินอ้อมเป็นวงกว้าง มายังเชิงเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหมู่บ้าน
ต้นไม้ใบหญ้าที่นี่ดกครึ้ม เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่าน
สาวน้อยเดินตรงไป ไม่นานนักก็มาถึงถ้ำที่มีพุ่มหญ้าอำพราง
ถ้ำอยู่ไม่ใหญ่มากนัก มีอาณาบริเวณเพียงไม่กี่จั้งเท่านั้น อาศัยแสงจันทร์ที่เลือนราง ชายหนุ่มก็มองเห็นกองหญ้าที่ปูพื้นจนหนาเตอะ ซึ่งข้าง ๆ มีหนังหมีพับวางอยู่
นอกจากนี้ก็ไม่มีของสิ่งอื่นอีก
สาวน้อยวางตัวซูอี้ลงบนกองหญ้านั้นอย่างช้า ๆ จากนั้นหยิบผืนหนังกับพู่กันออกมา เขียน ‘เจ้าพักผ่อนที่นี่ไปก่อน ข้าจะกลับไปเอายา’
แล้วสาวน้อยก็หมุนตัวเดินออกจากถ้ำแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ซูอี้ซักถาม
ภายในถ้ำแห้งมาก ซูอี้มองออกว่ากองหญ้าหนาเตอะที่นั่งทับนั้นเพิ่งปูเสร็จไม่นาน
หลังจากที่พบหน้ากันครั้งแรก เห็นได้ชัดว่าแม่สาวน้อยคิดจะช่วยตัวเองแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมาเตรียมพร้อมไว้ก่อนล่วงหน้า โดยใช้กองหญ้าปูเป็นเตียงให้ตัวเองภายในถ้ำแห่งนี้
หนังหมีผืนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผ้าห่มที่เตรียมให้ตนเอง…
ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะเหตุใดแม่สาวน้อยจึงไม่พาตนเองไปในหมู่บ้านที่มีคนมากมาย สาเหตุเดาได้ไม่ยาก
เพราะเกรงว่าจะเป็นที่จับตามองของคนอื่น และทำให้เกิดความเดือดร้อนที่ไม่น่าเกิดขึ้น!
อย่างไรเสียก็ดี คนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนอย่างเขา ทั้งยังมีบาดแผลเต็มตัว หากเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน คงจะต้องระมัดระวังตัวจนทำในสิ่งที่ไม่คาดคิดบางอย่างออกมา!
ทว่าสาวน้อยตรึกตรองถึงปัญหาข้อนี้ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ นางจึงจัดให้ตัวเองพักอยู่ในถ้ำแห่งนี้เพื่อรักษาตัว
เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว ซูอี้ก็พยักหน้าน้อย ๆ แม่สาวน้อยคนนี้ไม่เพียงแต่มีจิตใจดีงาม ความคิดความอ่านก็ยังละเอียดรอบคอบ มองการณ์ไกล
ไม่นานนัก สาวน้อยก็กลับมา
สาวน้อยฝังหินแสงจันทร์ที่ใช้สำหรับส่องสว่างลงบนผนังหินด้านหนึ่งของตัวถ้ำ ทันใดนั้น ความมืดมิดบางส่วนภายในถ้ำก็ถูกขับไล่ออกไป
จากนั้นนางจึงหยิบน้ำร้อนกับผ้าเช็ดตัวออกมา ทำท่าแสดงให้ชายหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้นรู้ว่าจะเริ่มเช็ดคราบเลือดและสิ่งสกปรกบนตัวให้
เช็ดด้วยความระมัดระวังและเบามือ ราวกับกลัวว่า หากแตะโดนบาดแผลเหล่านั้นจะทำให้ซูอี้รู้สึกเจ็บ
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ
สาวน้อยจึงเช็ดคราบเลือดบนตัวซูอี้ออกจนหมด ระหว่างนั้นยังเปลี่ยนน้ำร้อนถึงสิบกว่าหน
เมื่อเช็ดตัวจนเสร็จเรียบร้อย ปลายหางตาของสาวน้อยก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ชัดว่าเหนื่อยมากแล้ว
ทว่านางไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ยังหยิบยาสมุนไพรที่ใช้รักษาบาดแผลออกมา และเริ่มช่วยใส่ยาให้ซูอี้
บางทีอาจเป็นเพราะพูดไม่ได้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ นางจึงไม่ได้กล่าวคำใดออกมา
เขาปล่อยให้นางใส่ยาบนบาดแผลของตน
เขาเพียงแค่มองดูแม่สาวน้อยใส่ยาอย่างขมักเขม้นเงียบ ๆ จิตใจที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กนั้นถูกห่อหุ้มด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่รอมาแสนนาน
ในการต่อสู้เพื่อมหาวิถี เขาเมื่อในอดีตคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินแห่งมหาแดนดิน เป็นตำนานสุดยอดของจักรดาราตงเสวียนที่ไม่มีใครเทียบเทียม และก็เป็นทรราชหวังเย่ที่ใคร ๆ ในแดนเซียนได้ยินชื่อแล้วเป็นต้องขยาด…
เขาทั้งอหังการ โดดเดี่ยว เข้มแข็ง จิตใจประดุจภูเขาที่ไม่เคยสั่นคลอน
แต่เขาก็รู้ดีว่า ในสายตาของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า ตน…เป็นเพียงแค่คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตายที่ต้องการความช่วยเหลือคนหนึ่งเท่านั้น
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ลักษณะนิสัยและอากัปกิริยาของสาวน้อยจึงมีคุณค่า
นานมาก
ในที่สุดสาวน้อยก็ใส่ยาเสร็จ
นางปาดเหงื่อบนหน้าผาก มองดูซูอี้ที่ถูกโปะด้วยยาจนทั่วตัว ราวกับภาคภูมิใจอย่างมาก รอยยิ้มถึงกับผุดขึ้นบนริมฝีปาก
ผิวของสาวน้อยเป็นผิวสีน้ำผึ้ง เห็นได้ชัดว่าตากแดดตากลมมาเป็นเวลานาน ผมและผิวดูแห้งหยาบ ร่างผอมบาง สวมใส่ชุดหนังสัตว์ตัวเก่า ๆ ขาด ๆ แม้กระทั่งเครื่องประดับสักชิ้นก็ยังไม่มี
ลักษณะของนางถือว่าพอดูได้เท่านั้น ไม่ได้สวยอะไรเลย
เมื่อเห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับเด็กยากจนที่เติบโตขึ้นกลางป่ากลางเขา
ทว่านางในเวลานี้ กลับแลดูงดงามเป็นพิเศษในสายตาของซูอี้