บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1529: ปริศนาใบ้
ตอนที่ 1529: ปริศนาใบ้
หลายวันถัดมา ทุกครั้งเมื่อฟ้ามืดสนิท สาวน้อยที่ชื่อว่าอาหลีก็จะนำอาหารและยาสมุนไพรมายังถ้ำที่ซูอี้พักรักษาตัว
นอกจากนี้ นางยังนำชุดเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ทำจากหนังสัตว์มาให้เขาด้วย
ตามที่อาหลีบอกมา ชุดหนังสัตว์ชุดนี้เป็นชุดที่ปู่ของนางทิ้งไว้ให้
บางครั้ง นางก็จะหยิบหนังสัตว์กับพู่กันออกมา ใช้วิธีการเขียนตัวอักษรพูดคุยกับซูอี้
แต่สิ่งที่พูดคุยนั้นมีไม่มาก
ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ว่า ที่ตรงนี้ตั้งอยู่ใต้เชิงเขาที่มีชื่อว่า ‘สุดใต้’ ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำชางน้อย
หมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปมีชื่อว่าหมู่บ้านลำธารเมฆา มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณหกร้อยกว่าคน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นนายพราน ซึ่งประทังชีวิตด้วยการล่าเหยื่อกับหายาสมุนไพร
บิดามารดาของอาหลีตายตั้งแต่นางยังเล็ก จึงอาศัยอยู่กับปู่
เมื่อสามปีก่อน ตอนที่ปู่ของนางขึ้นเขาล่าสัตว์ เจอฝูงสัตว์ป่าบุกโจมตี เมื่อถูกช่วยชีวิตกลับมาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่นานนักก็จากไป
เหลืออาหลีเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่า ตามที่อาหลีเล่ามา นางยังมีพี่สาวอีกคน
เพียงแต่ว่าพี่สาวของนางบังเอิญเจอกับเซียนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านลำธารเมฆาเมื่อตอนอายุห้าขวบ ท่านเซียนคนนั้นรู้สึกถูกชะตาด้วยจึงรับพี่สาวของนางเป็นศิษย์ และพาเข้าสำนักเพื่อฝึกตน
หลังจากที่ได้รับความเห็นชอบจากปู่ของอาหลีแล้ว พี่สาวของนางจึงติดตามเซียนคนนั้นไป และนับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบปีแล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาหลีโศกเศร้าและเสียใจเป็นอย่างมาก
“อาหลี เหตุใดเจ้าจึงเป็นใบ้?”
วันนี้ตอนพลบค่ำ หลังจากที่หญิงสาวช่วยใส่ยาให้แล้ว ซูอี้ถามขึ้นมา
เขาฟื้นฟูกำลังขึ้นมาบ้าง จึงฝืนลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว
ชายหนุ่มครุ่นคิดนิ่ง
ดูท่าแล้ว เรื่องที่อาหลีกลายเป็นใบ้นี้จะต้องมาจากสาเหตุที่ร้ายแรงเป็นแน่ จึงได้มีปฏิกิริยาที่รุนแรงเช่นนี้
‘เมื่อข้าฟื้นฟูระดับการฝึกตนแล้ว จะช่วยรักษาจนนางหาย’
ชายหนุ่มกล่าวในใจ
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ ไกลจากถ้ำออกไปพลันมีเสียงหัวเราะเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ใบ้น้อย หลายวันมานี้เจ้าวิ่งมาที่นี่อยู่ตลอด มาทำอะไรเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองตามไป จึงเห็นว่าในป่าที่ห่างออกไป มีผู้ชายร่างบึกบึนคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเขาดุดันระคนเย็นชา
ส่วนร่างที่บอบบางของอาหลีกำลังขวางทางผู้ชายร่างบึกคนนั้นอยู่
“กล้าขวางทางข้าเช่นนั้นหรือ? ถอยไป!”
ผู้ชายร่างบึกบึนยกมือขึ้นผลักหญิงสาวจนล้มลงกับพื้น “ข้าอยากจะดูนักว่า ใบ้น้อยอย่างเจ้ากำลังทำเรื่องอะไรที่บอกใครไม่ได้อยู่!”
“ไสหัวไป!”
ผู้ชายร่างบึกบึนหมดความอดทน แล้วซัดฝ่ามือออกไป
เพียะ!
เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังขึ้น
อาหลีถูกตบจนร่วงไปกองอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าน้อย ๆ บวมแดง เบ้าตามีน้ำตาคลอ
ทว่านางยังคงกัดฟัน ทุ่มตัวเข้าไป กอดขาของผู้ชายร่างบึกบึนคนนั้นแน่น ปากก็ส่งเสียงร้องไม่ขาด
ทว่านางเป็นใบ้ จึงพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะอย่างน่ากลัว “ยิ่งเจ้าทำเช่นนี้ ก็ยิ่งแสดงว่าเจ้ามีเจตนาไม่ดี! ไสหัวไป!”
พูดจบ เขากระชากผมของอาหลีไปอีกด้านหนึ่งอย่างแรง
หญิงสาวเจ็บจนส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดออกมา
“ปล่อยนาง ไม่เช่นนั้น ข้าจะฆ่าเจ้า”
เสียง ๆ หนึ่งดังขึ้น
ไม่รู้ว่าซูอี้ลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อใด ภายในดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายเย็นยะเยือก
ร่างของผู้ชายบึกบึนแข็งทื่อ จากนั้นพลันหัวเราะเสียงเย็นชาออกมา “แสบนักนะใบ้น้อย อายุแค่ไหนกันเชียว กล้าดีแอบเลี้ยงผู้ชายไว้ข้างนอกแล้วหรือ!?”
อาหลีถูกเขากระชากผม เจ็บจนน้ำตาเล็ด
ทว่าเวลานี้ นางกลับไม่สนใจในสิ่งเหล่านี้ ส่งเสียงร้องไปยังซูอี้ด้วยความร้อนใจ ราวกับกำลังบอกให้ชายหนุ่มรีบหนีไปโดยเร็ว
ทว่าซูอี้กลับเดินตรงมาทางนี้
เขาเดินกะโผลกกะเผลก แต่ละก้าวที่เดินและดูลำบากมาก บาดแผลบนตัวที่ยังไม่สมานดีปริออกจนมีเลือดไหลออกมา
ทว่าเขากลับไม่ใส่ใจ
“ฮ่า ๆ ใบ้น้อย นี่คือผู้ชายที่เจ้าแอบคบอยู่เช่นนั้นน่ะหรือ? เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล กระทั่งเดินก็ยังไม่ไหว เหมือนกับขาไก่อ่อนเลย”
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
อาหลีดิ้นอย่างแรง
ทว่าผู้ชายร่างบึกบึนกำผมของนางแน่น ไม่ให้นางได้มีโอกาสตอบโต้เลยสักนิด
สายตาของซูอี้ยิ่งเย็นสะท้านขึ้น
ขณะที่อยู่ห่างจากผู้ชายคนนั้นเพียงแค่สิบจั้ง เขาก็ยกมือซ้ายขึ้น แตะลงกลางอากาศ
พลังจิตวิญญาณรวมตัว ฟันลงกลางอากาศราวกับดาบ
เอื๊อก!
ดวงตาของผู้ชายที่มีร่างบึกบึนเบิกค้าง ขณะอ้าปากกว้าง
จากนั้นร่างของเขาก็ร่วงลงกับพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง
สภาพร่างกายครบถ้วนไม่มีรอยด่างพร้อย ทว่าจิตวิญญาณของเขากลับถูกสังหารไปแล้ว!
หญิงสาวถึงกับนิ่งตะลึง
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าวขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “จบเรื่องแล้ว”
ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าของเขาดูซีดจนไร้สี บาดแผลบนตัวยังมีเลือดไหล ทว่าร่างสูงโปร่งกลับยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเสาเอกที่ค้ำฟ้า ให้ความรู้สึกมั่นคงไม่สั่นคลอน!
สายตาของอาหลีคลุมเครือราวกับไม่อยากจะเชื่อ
เสียงสุนัขเห่าดังขึ้นมาแต่ไกล จนหญิงสาวถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ
ใบหน้าน้อย ๆ ของนางเปลี่ยนไป รีบลุกพรวดพราดขึ้น ไปอยู่ตรงหน้าซูอี้ ใช้สองมือวาดไปมาด้วยความร้อนรน ปากก็ส่งเสียงอู้อี้เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง
“เจ้าต้องการให้ข้าหนีไปใช่ไหม?”
ซูอี้ตบไหล่ของนางเบา ๆ กล่าวเสียงอ่อนโยน “มีข้าอยู่ ไม่ว่าใครมา ก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าดูไม่เชื่อ และกำลังพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าห่างออกไปมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้คือชาวบ้านของหมู่บ้านลำธารเมฆา ซึ่งมีกันอยู่สิบกว่าคน
คนที่เดินนำหน้าคือผู้เฒ่าในชุดสีเทาที่มีหน้าตาน่าเกรงขาม
“อาหลี เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“คน ๆ นี้เป็นใคร?”
“ลุงเมิ่ง สือขุยตายแล้ว!”
“อะไรนะ! ตายแล้ว!”
…เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น เมื่อพบว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นต่างก็พากันตื่นตระหนกและโกรธแค้น ขณะเบนสายตามองไปที่ซูอี้ซึ่งเป็นคนแปลกหน้า
ส่วนอาหลี คล้ายกับตื่นกลัวอย่างมาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ นางกลับยังคงใช้ร่างของตัวเองบังตัวชายหนุ่มเอาไว้
ผู้เฒ่าผู้สวมชุดสีเทาที่เป็นหัวหน้าขมวดคิ้วขึ้น ชายตามองดูอาหลี จากนั้นมองไปที่ซูอี้ พลางกล่าวเสียงเข้มขึ้นว่า “ขอถามว่าท่านคือใคร เหตุใดจึงมาที่หมู่บ้านลำธารเมฆาของข้า?”
ซูอี้ชี้ไปที่ศพของผู้ชายร่างบึกบึนที่อยู่ห่างออกไป กล่าว “ข้าเป็นคนฆ่าเขาเอง”
ตอบไม่ตรงคำถาม
ทว่าคำตอบรับเช่นนี้ ทำให้ทุกคนในที่นั้นสงบเงียบลงในทันใด
ผู้เฒ่าชุดสีเทาถึงกับหนังตากระตุก ก่อนจะกล่าวขึ้น “ในเมื่อท่านยอมรับมาตรง ๆ เช่นนี้ หรือว่า… เรื่องนี้ยังมีสาเหตุอื่นอยู่อีก?”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เขารังแกอาหลี”
ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน
คนร้ายคนนี้ เหตุใดจึงฆ่าคนง่ายดายถึงเพียงนี้?
และเวลานี้ หญิงสาวพลันหยิบหนังสัตว์กับพู่กันออกมา แล้วรีบเขียนอักษร
จากนั้นนางชูหนังสัตว์ขึ้น จึงเห็นอักษรที่เขียนบนนั้น ‘หัวหน้าหมู่บ้าน สือขุยกลัวว่าข้าจะเปิดโปงความลับของเขา ดังนั้นวันนี้จึงสะกดรอยตามข้ามาถึงที่นี่ เพื่อช่วยข้า พี่ซูจึงฆ่าเขา’
ความลับ?
ซูอี้ประหลาดใจ จากนั้นจึงเข้าใจแล้วว่าการปรากฏตัวของผู้ชายคนนี้ในวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
“ความลับอะไร? อาหลี เจ้าอย่าได้พูดจาใส่ร้ายคนอื่น!”
ผู้ชายร่างผอมร้องตะคอก “ตามที่ข้ารู้มา สือขุยไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อเจ้ามาก่อน เหตุใดเจ้ากลับเข้าข้างช่วยเหลือคนนอกทำร้ายเขาจนตาย? จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตสิ้นดี!!”
คนอื่น ๆ ก็รู้สึกโกรธแค้นด้วยเช่นกัน
ผู้เฒ่าชุดสีเทาที่เป็นแกนนำคนนั้นเป็นหัวหน้าของหมู่บ้านลำธารเมฆา มีนามว่าเมิ่งฉี
เขาเบนสายตามองไปที่อาหลี “อาหลี เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่? ขอเพียงเจ้าบอกสาเหตุความเป็นไปอย่างชัดเจน หากว่าคนผิดไม่ใช่เจ้า ข้าจะมอบความยุติธรรมให้”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ อย่างแรงทีหนึ่ง แล้วพยักหน้า
นางหยิบพู่กันขึ้นเขียนลงบนหนังสัตว์ เขียนอยู่นานมาก
เมื่อได้อ่านข้อความที่หญิงสาวเขียนแล้ว ซูอี้ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย
ความลับที่ว่านั้นก็คือ การตายของปู่ของอาหลีในตอนนั้นมีสาเหตุอื่น!
เมื่อสามปีก่อน ปู่ของอาหลีกับชาวบ้านอีกสามคนขึ้นเขาไปล่าสัตว์ด้วยกัน ระหว่างทาง ปู่ของอาหลีพบ ‘ดอกเมฆหิมะ’ ซึ่งเป็นสมุนไพรราคาแพง
ดอกเมฆหิมะหาพบได้ยาก และสามารถแลกเป็นเงินได้จำนวนมาก
เมื่อชาวบ้านอีกสามคนเห็นเช่นนี้ จึงเกิดความโลภขึ้นในใจ และพยายามจะแย่งดอกเมฆหิมะมา ทว่าปู่ของอาหลีไม่ยอม จึงเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
สุดท้ายปู่ของนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นว่าไม่รอดแน่แล้ว จึงเลือกที่จะมอบดอกเมฆหิมะด้วยความจำยอม เพื่อแลกกับการมีชีวิตรอด
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ปู่ของอาหลีไม่ได้ตายเพราะถูกฝูงสัตว์ป่ารุมทำร้าย แต่เป็นเพราะโดนชาวบ้านอีกสามคนรุมทำร้าย!
เพื่อเป็นการปิดปาก ชาวบ้านสามคนนี้จึงบังคับให้ปู่ของนางสาบานว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก มิเช่นนั้น วันข้างหน้าจะเอาคืนกับอาหลีผู้เป็นหลานสาวของเขา
ปู่ของอาหลีจึงยินยอม
ทว่าปู่ของอาหลีไม่คาดคิดว่าหลังจากที่เขาตายได้ไม่นาน เป็นเพราะกลัวว่าความลับจะถูกแฉ ชาวบ้านสามคนนั้นยังคงเข้ามาจัดการกับนาง
ตั้งใจจะใช้ยาพิษที่ชื่อว่า ‘หญ้าดาวพิษ’ ฆ่าให้อาหลีตาย
แต่ไม่คิดเลยว่า อาหลีจะดวงแข็ง ประกอบกับกินยาสมุนไพรบรรเทาพิษได้ทันเวลา จึงสามารถรอดมาได้
เพียงแต่ว่านับแต่นั้นเป็นต้นมานางก็กลายเป็นใบ้
เพื่อรักษาตัวรอด อาหลีอดทนไม่ได้เปิดโปงเรื่องนี้ แต่ทำเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้ชาวบ้านสามคนนั้นชะล่าใจอย่างช้า ๆ
ทว่าช่วงหลายวันมานี้ อาหลีมักจะออกจากบ้านดึก ๆ อยู่เป็นประจำ เพื่อมาดูแลซูอี้ จึงเป็นที่จับตามองของชาวบ้านทั้งสามคน!
และแล้ว เมื่อสักครู่ สือขุย ซึ่งเป็นหนึ่งในชาวบ้านสามคนนั้นจึงสะกดรอยตามมา
จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์เมื่อสักครู่ขึ้น
เมื่อรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าใจแล้วว่า เพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมบอกสาเหตุที่ต้องเป็นใบ้กับตัวเอง ทำให้เขารู้สึกสงสารเห็นใจขึ้นมาในทันใด
อายุยังน้อยก็ถูกทำร้ายจนถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อความอยู่รอด ยังต้องฝืนทนถึงเพียงนี้ ช่างไม่ง่ายเลย
ส่วนเมิ่งฉีผู้เฒ่าที่สวมชุดสีเทากับชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างพากันนิ่งตะลึง เห็นได้ชัดว่าตกใจกับ ‘ความลับ’ ที่อาหลีเขียน
“นี่… นี่เป็นความจริงหรือ?”
มีคนไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่จริง! ปู่ของอาหลีจะตายเพราะถูกสือขุยทำร้ายได้อย่างไร?”
ผู้ชายร่างผอมคนนั้นร้องตะโกน
เมิ่งฉีกล่าวเสียงเข้ม “หากว่าข้าจำไม่ผิด คนที่ไปล่าสัตว์พร้อมกับปู่ของอาหลีในครั้งนั้น นอกจากสือขุยแล้ว ยังมีพวกเจ้าอีกสองคนกระมัง?”
เขาเบนสายตามองดูผู้ชายร่างผอมคนนั้น รวมไปถึงผู้ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเหมือนหนวดปลาดุก
ชั่วครู่เดียว จึงเกิดเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมา
“ใส่ร้ายป้ายสี! ลุงเมิ่ง ท่านอย่าเชื่อเด็กคนนี้เป็นอันขาด!”
ผู้ชายร่างผอมคนนั้นร้องตะโกนด้วยความโกรธ
ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นก็กระทืบเท้าแล้ว พูดจาด้วยความดุดัน “ไม่ผิด เห็นชัด ๆ ว่าอาหลีกำลังใส่ร้ายพวกเราอยู่! การตายของปู่นาง เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย?”
อาหลีส่ายหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
หากว่ามีหลักฐาน นางต้องอดทนจนถึงวันนี้ด้วยหรือ?
“ไม่มีหลักฐาน ก็แสดงว่าใส่ร้าย!”
ผู้ชายร่างผอมตะคอก
“อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้เลย ลุงเมิ่ง ก่อนหน้านี้เจ้านั่นก็ยอมรับแล้วว่าเขาเป็นคนฆ่าสือขุย! เรื่องนี้ จะจบลงง่าย ๆ เช่นนี้ไม่ได้หรอกระมัง?”
ผู้ชายวัยกลางคนพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
คนอื่น ๆ พยักหน้าตาม
ที่แท้แล้วปู่ของอาหลีตายอย่างไรยังคงเป็นปริศนา
แต่ตอนนี้ สามารถมั่นใจได้ว่า คนนอกคนนั้นฆ่าสือขุยตาย!
เมิ่งฉีมีสีหน้าสับสน เห็นได้ชัดว่าเกิดความลังเลขึ้นแล้ว
เวลานี้ จู่ ๆ ซูอี้ก็ถามขึ้น “อาหลี เจ้ามั่นใจว่าคนร้ายที่ฆ่าปู่ของเจ้า เหลือแค่พวกเขาสองคนนี้เท่านั้น?”
อาหลีพยักหน้า
ซูอี้กล่าว “ก็ดี ถือโอกาสนี้ ช่วยเจ้าชำระความแค้นนี้ให้จบสิ้นกันไป”
สีหน้าของเมิ่งฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ท่านคิดจะทำอะไร?”
ซูอี้ไม่สนใจ
เขาชี้ออกไป
ปัง!
ผู้ชายร่างผอมคนนั้นเหมือนกับโดนฟ้าผ่า คุกเข่าลงกับพื้น บนใบหน้ามีแต่ความเจ็บปวด ตัวก็สั่นระริก
ทุกคนตกใจจนรีบถอยไปข้างหลังในทันใด มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ หรือว่าผู้ชายที่เนื้อตัวมีแต่บาดแผลเต็มไปหมดคนนั้นจะเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง!?
ดวงตาลุ่มลึกของซูอี้จับจ้องดูผู้ชายร่างผอมคนนั้น กล่าวน้ำเสียงบางเบา “การตายของปู่ของอาหลี เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”
ผู้ชายร่างผอมที่เดิมทีแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา พลันแสดงสีหน้าเหม่อลอยขึ้นมา ตอบตามจิตใต้สำนึก “เกี่ยวขอรับ”
ทุกคนต่างก็ตื่นตะลึง
ชายหนุ่มเบนสายตามองไปทางผู้ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดทรงปลาดุกคนนั้นอีกครั้ง
ผู้ชายวัยกลางคนตกใจจนเหงื่อท่วมตัว เมื่อถูกมองมา เขาก็รีบหมุนตัวหนีเหมือนกับกระต่ายตื่นตูม
ทว่าเพิ่งจะก้าวขาออกไป จิตวิญญาณพลันถูกพลังน่ากลัวกลุ่มหนึ่งสะกดเอาไว้ ตัวพับตัวอ่อนลงไปกองอยู่กับพื้น สั่นระริกไปทั้งตัว เจ็บปวดเกินจะทน
ซูอี้ถาม “เรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่?”
สายตาของผู้ชายวัยกลางคนเลื่อนลอยขึ้นมา พยักหน้าตามจิตใต้สำนึก “เกี่ยวขอรับ”
ทันใด ทุกคนต่างเงียบเสียง
เมิ่งฉีถอนหายใจขึ้นมาทีหนึ่ง
ต่อหน้าผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง จำเป็นต้องมีหลักฐานด้วยหรือ?
เพียงแค่ใช้วิชาเล็กน้อยก็สามารถทำให้คนอื่นก้มหน้ารับผิดแต่โดยดีได้แล้ว!
อาหลีมีสีหน้าสับสน ทั้งดีใจและเสียใจ ร่างบางสั่นน้อย ๆ สามารถดูออกได้ว่าแม่สาวน้อยตื่นเต้นมากเพียงใด!
ซูอี้งอนิ้ว
ผู้ชายร่างผอมกับผู้ชายวัยกลางคนต่างก็หมดสติ ตายไปอย่างเงียบ ๆ
จิตวิญญาณของพวกเขาถูกสังหารไปแล้ว!
เมื่อจบเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ซูอี้จึงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาหลี เจ้าพึงพอใจหรือไม่?”
หญิงสาวพยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับอืม
ในดวงตาเรียวยาวใสสะอาดคู่นั้นของนางเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย ราวกับไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้
สักพักใหญ่ ๆ ไม่รู้เช่นกันว่าสาวน้อยนึกเรื่องเศร้าอะไรขึ้นมา ดวงตาจึงแดงก่ำขึ้นมา น้ำตาทำท่าจะไหลลงมา
ซูอี้ตบไหล่ของนางเบา ๆ จากนั้นเบนสายตามองไปยังพวกของเมิ่งฉี แล้วกล่าวขึ้นว่า “สามคนนี้ ข้าเป็นคนสังหารเอง ตอนนี้ ใครต้องการจะแก้แค้นแทนพวกเขาอีก?”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบ
ทุกคนต่างก็เงียบกริบเหมือนจักจั่นจำศีล
ได้เห็นฝีมือที่เรียกว่าเทพของซูอี้เช่นนั้นแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายที่มีวิชาการฝึกตนเพียงแค่ตื้นเขินเหล่านี้จึงตกใจกลัวมาก
เมิ่งฉีสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่ง โค้งพลางกล่าวขออภัย “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพวกเราโง่เขลา ผู้อาวุโสได้โปรดให้อภัยด้วย!”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “สำหรับข้าแล้ว เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเรื่องหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับอาหลีแล้ว กลับเป็นเคราะห์ร้ายแรงเกินจะทน หากว่าพวกเจ้ารู้สึกเจ็บแค้นใจ สามารถมาเอาเรื่องกับข้าได้ ข้าจะอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่ง”
เมิ่งฉีสะท้านไปทั้งตัว รีบส่ายหน้า กล่าวด้วยความหวาดกลัว “ผู้อาวุโสอย่าได้โกรธไป พวกข้าเป็นเพียงแค่ชาวป่าธรรมดา ๆ เท่านั้น จะบังอาจทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างไร? ท่านจงวางใจ หลังจากที่กลับไปแล้ว ข้าจะชำระล้างความอยุติธรรมให้แก่อาหลี!”
ซูอี้โบกมือพลางกล่าวตัดบท “พวกเจ้ากลับกันไปได้แล้ว”
หากไม่ใช่เพราะอาหลี เขาก็ขี้เกียจจะถือสาเอาความคนเหล่านี้
พวกของเมิ่งฉีรีบกลับไปอย่างเร่งรีบราวกับได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่
จนกระทั่งเห็นว่าพวกเขาหายลับไปแล้ว ซูอี้จึงกล่าว “อาหลี”
อาหลีเงยหน้ามอง “หืม?”
ซูอี้ไอแห้ง ๆ ทีหนึ่ง แล้วกล่าว “พยุงข้าที”
พอพูดออกมา เขาก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วน
แต่ช่วยไม่ได้ เขาในตอนนี้ทำได้เพียงแค่ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเล็กน้อยเท่านั้น ร่าง ๆ นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป แม้กระทั่งจะเดินก็ยังยาก…
หญิงสาวราวกับได้สติกลับมาก รีบเดินไปประคองแขนของซูอี้ แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปในถ้ำ
จนกระทั่งได้นั่งลงบนกองหญ้านุ่ม ๆ แล้ว ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจยาว ๆ
ส่วนอาหลีก็ลุกขึ้นและยืนอยู่ข้าง ๆ เงียบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
หลังจากประสบกับเรื่องราวเมื่อสักครู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตใจของสาวน้อยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง!
ซูอี้คิดสักครู่ จู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา “เมื่อสามวันก่อน ตอนที่เจ้าตัดสินใจจะช่วยข้า ไม่กลัวหรือว่าคนที่ช่วยจะเป็นคนไม่ดี?”
สาวน้อยมีจิตใจดีงามมาก ทว่าความคิดอ่านของนางก็ละเอียดอ่อนและระมัดระวังตัวมากเช่นกัน
เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อใจคนนอกที่มีบาดแผลเต็มตัวง่าย ๆ อย่างแน่นอน
เมื่อได้ฟังความ อาหลีราวกับได้สติกลับมา จากนั้นหยิบหนังสัตว์กับพู่กันออกมาเขียนอย่างรวดเร็ว
‘จิตสำนึกบอกกับข้าว่า พี่ซูไม่ใช่คนเลว และตอนนั้นข้าก็เสี่ยงดวงดูด้วยเหมือนกัน’
“เสี่ยงดวง?”
‘ใช่แล้ว ข้าอยากจะออกไปจากหมู่บ้านตั้งนานแล้ว อยากจะไปหาพี่สาวเพื่อช่วยแก้แค้นให้ท่านปู่ แต่ไม่มีโอกาสสักที พวกของสือขุยไม่ยอมให้ข้าออกไปจากหมู่บ้าน แต่การปรากฏตัวของพี่ซู ทำให้ข้ามองเห็นความหวัง ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจลองเสี่ยงดวงดูสักครั้ง’
อาหลีเขียนบอกความรู้สึกที่แท้จริงที่อยู่ภายในใจและความคิดของตัวเอง ‘ตอนนั้น ข้าคิดว่าต่อให้พี่ซูเป็นคนไม่ดี แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นคนช่วยชีวิตพี่ซู คิดว่าท่านไม่น่าจะทำร้ายข้า’
ซูอี้พยักหน้า
เช่นนี้สิจึงเป็นเหตุเป็นผล
คนจิตใจดีงาม ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนโง่เขลา
อาหลีมีความคิดเช่นนี้ จึงสมเหตุสมผล
แววตาของซูอี้ลุ่มลึก ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “อาหลี บางทีนี่อาจจะเป็นวาสนา วันข้างหน้า ข้าไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้ากลับมาพูดได้อีกครั้งเท่านั้น ยังจะทำให้เจ้าบรรลุสิ่งที่ปรารถนาอีกด้วย”
หญิงสาวถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
ตอนนี้ นางยังไม่รู้หรอกว่าคำพูดที่ซูอี้พูดมาทั้งหมดในวันนี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ทว่าหลังจากผ่านพ้นวันเวลาที่ยาวนาน ย้อนกลับมาทบทวน วันเวลาที่นางไม่อาจลืมเลือนก็คือที่ริมน้ำข้างหมู่บ้านลำธารเมฆาในครั้งนั้น ช่วงเวลาที่คอยดูแลซูอี้ในถ้ำเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งนี้
รวมถึง คำพูดที่ซูอี้เคยกล่าว
ทุก ๆ คำ ทุก ๆ ประโยคราวกับสลักลงไปในหัวใจ เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่เคยลืมเลือน
……
กลางดึก
เมิ่งฉี หัวหน้าของหมู่บ้านลำธารเมฆาแวะมาหา
อีกทั้งยังนำโอสถจำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งมีมากถึงสิบกว่าชนิด
โอสถแต่ละชนิดล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องไม้อย่างดี
หนึ่งในจำนวนนั้นที่ล้ำค่าที่สุดคือเห็ดโลหิตเจ็ดแฉก
เมื่อเห็นโอสถวัฒนะตัวนี้แล้ว อาหลีถึงกับตะลึงงัน
ตามที่นางรู้มา เห็ดโลหิตเจ็ดแฉกชิ้นนี้เป็นสิ่งหวงแหนของหัวหน้าหมู่บ้าน ถือเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล ปกติแล้วจะไม่เคยนำออกมา
เมิ่งฉีกล่าวด้วยความนอบน้อม “ผู้อาวุโส ของเหล่านี้เป็นน้ำใจของผู้น้อย หวังว่าท่านจะรับไว้”
ซูอี้ชายตามองดูโอสถวัฒนะเหล่านั้นเพียงแค่ครู่เดียว จากนั้นจึงกล่าว “ข้าฆ่าคนในหมู่บ้านของเจ้าตายไปสามคน อีกทั้งไม่คิดจะเอาความอีกแล้ว แต่เพราะเหตุใดเจ้าจึงถือโอกาสนำโอสถวัฒนะเหล่านี้มาให้ในเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ?”
ไม่รอให้เมิ่งฉีตอบ ซูอี้ก็กล่าวเตือนสติ “ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบพูดพล่าม และไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมด้วย สิ่งที่ข้าต้องการฟังก็ต้องเป็นความจริง”
เมิ่งฉีกลั้นหายใจ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา!
ทุก ๆ คำ ทุก ๆ ประโยคราวกับสลักลงไปในหัวใจ เวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ไม่เคยลืมเลือน
……
กลางดึก
เมิ่งฉี หัวหน้าของหมู่บ้านลำธารเมฆาแวะมาหา
อีกทั้งยังนำโอสถจำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งมีมากถึงสิบกว่าชนิด
โอสถแต่ละชนิดล้วนถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องไม้อย่างดี
หนึ่งในจำนวนนั้นที่ล้ำค่าที่สุดคือเห็ดโลหิตเจ็ดแฉก
เมื่อเห็นโอสถวัฒนะตัวนี้แล้ว อาหลีถึงกับตะลึงงัน
ตามที่นางรู้มา เห็ดโลหิตเจ็ดแฉกชิ้นนี้เป็นสิ่งหวงแหนของหัวหน้าหมู่บ้าน ถือเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล ปกติแล้วจะไม่เคยนำออกมา
เมิ่งฉีกล่าวด้วยความนอบน้อม “ผู้อาวุโส ของเหล่านี้เป็นน้ำใจของผู้น้อย หวังว่าท่านจะรับไว้”
ซูอี้ชายตามองดูโอสถวัฒนะเหล่านั้นเพียงแค่ครู่เดียว จากนั้นจึงกล่าว “ข้าฆ่าคนในหมู่บ้านของเจ้าตายไปสามคน อีกทั้งไม่คิดจะเอาความอีกแล้ว แต่เพราะเหตุใดเจ้าจึงถือโอกาสนำโอสถวัฒนะเหล่านี้มาให้ในเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ?”
ไม่รอให้เมิ่งฉีตอบ ซูอี้ก็กล่าวเตือนสติ “ข้าเป็นคนที่ไม่ชอบพูดพล่าม และไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อมด้วย สิ่งที่ข้าต้องการฟังก็ต้องเป็นความจริง”
เมิ่งฉีกลั้นหายใจ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป จากนั้นจึงกล่าวพลางโค้งคำนับ “ผู้อาวุโสมีสายตาเฉียบคม ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยก็ขอพูดตามตรง อีกครึ่งเดือนข้างหน้า ‘สำนักเมฆาม่วง’ จะส่งทูตมาเพื่อเก็บเครื่องบรรณาการจากพวกเรา แต่หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ การเก็บเกี่ยวของหมู่บ้านลำธารเมฆาของพวกเราไม่ดีเลย ต่อให้เก็บทุกอย่างในบ้านจนเกลี้ยง เกรงว่าคงไม่อาจมอบเครื่องบรรณาการที่สำนักเมฆาม่วงต้องการได้…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ตัดบท “เจ้าต้องการให้ข้าช่วย?”
เมิ่งฉีรีบตอบ “ผู้อาวุโสซูเป็นผู้ฝึกตน หากสามารถเจรจากับทูตของสำนักเมฆาม่วงให้ละเว้นเครื่องบรรณาการของหมู่บ้านลำธารเมฆาของพวกเราได้ จะเป็นการดีอย่างยิ่ง”
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า “หากว่าไม่มอบเครื่องบรรณาการ จะเป็นอย่างไร?”
เมิ่งฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืน “โทษสถานเบาคือค้นบ้าน สถานหนักคือลงโทษ เมื่อก่อนนี้ มีบางหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ภูเขาสุดใต้ถูกพังพินาศย่อยยับไปเลย เพราะไม่อาจมอบเครื่องบรรณาการให้ได้ขอรับ”
สถานการณ์เช่นนี้มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ในแวดวงการฝึกตน
แต่ละสำนักจะปกครองพื้นที่ของตัวเอง คล้ายกับฮ่องเต้ประจำภูมิภาค และเรียกเก็บเครื่องบรรณาการจากขุมกำลังที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตัวเอง
หมู่บ้านลำธารเมฆาตั้งอยู่ใต้เชิงเขาสุดใต้ ถือเป็นอาณาเขตของขุมกำลังสำนักเมฆาม่วง แต่ละปีจะต้องส่งมอบเครื่องบรรณาการให้สำนักเมฆาม่วงเป็นจำนวนที่แน่นอน
เครื่องบรรณาการส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างเช่น โอสถวัฒนะกับหินแร่
หลังจากที่มอบเครื่องบรรณาการแล้วก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสำนักเมฆาม่วง
ซึ่งคล้ายกับการจุดธูปกราบไหว้เทพ
ในเมื่อเป็นการจุดธูปกราบไหว้เทพ ก็ต้องออกเงินค่าธูปเทียนเพื่อแสดงความจริงใจ
“หากว่าวันนี้ไม่ได้เจอข้า หมู่บ้านลำธารเมฆาของพวกเจ้าจะทำเช่นใด?”
ซูอี้ถาม
เมิ่งฉีสะดุ้งในใจ กล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือด “ในช่วงเวลานี้ ผู้น้อยก็กำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกันขอรับ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดไปคิดมา คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าบ้านแตกสาแหรกขาด พยายามทำตามความต้องการของสำนักเมฆาม่วง”
ซูอี้กล่าว “ข้ารู้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
เช่นนี้เป็นการไล่แขกแล้ว
เมิ่งฉีรู้ตัวไม่กล่าวอะไรต่ออีก เพียงแต่ย้ำกำชับกับอาหลี “เด็กน้อย จะต้องดูแลผู้อาวุโสซูให้ดี ต้องการอะไร ก็จงมาบอกกับข้า”
จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกไป
อาหลีลังเลสักครู่ จากนั้นเขียนลงบนหนังสัตว์ ‘พี่ซู พี่จะช่วยหมู่บ้านลำธารเมฆาหรือไม่?’
ซูอี้กลับย้อนถาม “หากว่าเป็นเจ้า จะช่วยหรือไม่?”
อาหลีเขียนรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดนาน ‘ช่วย’
ถัดมา นางเขียนลงบนหนังสัตว์อีกครั้ง ‘ในช่วงอดีตที่ผ่านมา ท่านปู่กับข้าได้รับการดูแลจากคนในหมู่บ้าน ตามที่ท่านเคยบอก ตอนที่พี่สาวของข้าจากไปพร้อมกับเซียนท่านนั้น ก็เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากลุงเมิ่งด้วยเช่นกัน’
ซูอี้ยิ้มพลางกล่าว “เจ้าไม่ต้องบอกเรื่องเหล่านี้ให้ข้าฟังหรอก ขอเพียงเจ้าบอกว่าช่วย ข้าจะไม่มีทางเพิกเฉยแน่”
ครู่ถัดมา นางก็ใส่ยาให้ซูอี้ใหม่อีกครั้งด้วยความระมัดระวังและอ่อนโยนเหมือนที่ทำในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
จนกระทั่งมืดสงัด อาหลีจึงหลับอยู่ในถ้ำ
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางไม่กล้าย้อนกลับไปที่หมู่บ้านอีก ทว่าเมื่ออยู่ข้างกายซูอี้แล้วกลับทำให้นางรู้สึกปลอดใจเป็นที่สุด
มองดูสาวน้อยที่หลับไปแล้ว ชายหนุ่มก็ช่วยห่มผ้าห่มหนังหมีให้นางเบา ๆ
ส่วนตัวเขาเองกลับนั่งสมาธิ กินโอสถที่เมิ่งฉีส่งมาเหล่านั้น สงบใจรักษาร่างกาย
ข้างนอกถ้ำ ดวงดาวส่องระยิบระยับ ราตรีนิ่งสงัด
มีเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าดังขึ้นเป็นพัก ๆ ยิ่งแลดูสงบเงียบยิ่งนัก
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้นึกถึงช่วงวันเวลาที่ต้องเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิง ณ อาณาจักรต้าโจวขึ้นมา
บนหนทางการฝึกเซียน ไม่มีกลิ่นคาวเลือดและไม่มีการโกหกหลอกลวง
สิ่งที่มีคือความเงียบสงบที่กลับไปสู่ความเรียบง่าย
คล้ายกับเทพมังกรบนสวรรค์ ซึ่งสามารถท่องเที่ยวได้ตามใจบนท้องฟ้าอันกว้างไกล
เล็กกระจิริด แต่ซ่อนอยู่ในความเล็กน้อยได้ คนทั้งหลายมองเห็นแล้วกลับไม่รู้!