บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 153 หญิงสามคนอยู่รวมกันช่างวุ่นวาย
หลังจากเหวินหลิงเสวี่ยตื่นแต่เช้าตรู่ เดิมทีนางแต่งหน้าแต่งตัวเป็นพิเศษ ตั้งใจจะไปหาซูอี้ก่อนเที่ยงเพื่อทานข้าวกับเขา
ทว่าการตัดสินใจของจู้กู่ชิง ทำให้นางรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ขณะที่คิดอยู่ เด็กสาวก็เอ่ยเสียงต่ำ “ผู้อาวุโส ก่อนออกเดินทางข้าขอไปพบคนผู้หนึ่งก่อนได้หรือไม่?”
จู้กู่ชิงพยักหน้า “ไม่มีปัญหา ทว่าเพราะการออกเดินทางครานี้นับเป็นเรื่องเร่งด่วน ดังนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“นี่…” เหวินหลิงเสวี่ยลังเลชั่วครู่หนึ่ง และพยักหน้า
ไม่นาน นางก็เก็บของพร้อมแล้ว
ก่อนเป็นจู้กู่ชิงที่เอ่ยขึ้นคล้ายนึกขึ้นได้ “ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงสำนักดาบชิงเหอ ข้าได้เอ่ยปากเรื่องของเจ้ากับมู่ชางถูแล้ว”
“ข้าไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรต่อสำนักดาบชิงเหอ และคนที่ข้าอยากพบก็ไม่อยู่ที่นี่” เหวินหลิงเสวี่ยส่ายหน้าเบา ๆ
นางเพิ่งเข้าร่วมสำนักดาบชิงเหอได้ไม่นาน เรื่องราวและคนของที่นี่ …สำหรับนางแล้ว ก็เหมือนกับจอกแหนที่ไหลไปตามน้ำ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปพบคนที่เจ้าอยากจะพบ จากนั้นก็ออกเดินทาง ว่าอย่างไร?”
จู้กู่ชิงพิจารณาและเอ่ยขึ้น
เหวินหลิงเสวี่ยพยักหน้า แค่คิดว่าจะต้องแยกจากพี่เขย นางก็รู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อย
ไม่นาน เด็กสาวก็ได้สติกลับมา ด้วยคิดได้… ว่าตนไม่ควรให้ผู้เป็นพี่เขยเห็นตัวเองไม่มีความสุข เพราะมันจะทำให้เขาเป็นห่วง!
เมื่อเดินทางออกจากสำนักดาบชิงเหอ จู้กู่ชิงเห็นเหวินหลิงเสวี่ยกระสับกระส่ายเล็กน้อย และทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยถาม “หลิงเสวี่ย หรือว่าคนที่เจ้าอยากพบคือคนที่เจ้าหมายปองหรือ?”
ได้ยินดังนั้น เหวินหลิงเสวี่ยพลันใบหน้าค่อย ๆ แดงอย่างไม่อาจควบคุม “ผู้อาวุโส ข้าจะไปพบพี่เขย”
จู้กู่ชิงตกใจชั่วครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้น “เป็นชายหนุ่มที่แต่งเข้ามาในตระกูลเหวินของพวกเจ้าหรือ?”
“ถูกต้อง”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงเบา “พี่เขยดูแลข้าเป็นอย่างดี วันนี้เขาก็อยู่ที่มหานครอวิ๋นเหอ”
น้ำเสียงคล้ายอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
จู้กู่ชิงขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าเขาสูญเสียการฝึกฝน และกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้วรึ? ทั้งยังเป็นลูกเขยที่ฐานะช่างต่ำต้อยเหลือเกิน แม้แต่พี่สาวเจ้าในวันนี้ยังอยากจะยุติการแต่งงานที่น่าอัปยศนี่ เหตุใดเจ้าถึงยังสนิทสนมกับเขา?”
เหวินหลิงเสวี่ยนิ่งไปพักหนึ่ง นางเข้าใจดีถึงอคติของจู้กู่ชิงที่มีต่อซูอี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส พี่เขยข้าดีกับทุกคนมาก และการฝึกฝนของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์อย่างเช่นเมื่อกาลก่อนอีกแล้ว”
เมื่อได้ฟังเหวินหลิงเสวี่ยแก้ต่างให้ซูอี้ จู้กู่ชิงก็อดถอนหายใจออกมาเบา ๆ ไม่ได้ นางเอ่ย “ไม่รู้ว่าเจ้าหลงเสน่ห์ของซูอี้หรือไร ถึงได้ช่วยพูดแทนเขาเช่นนี้”
ฉับพลันนั้น ใบหน้าที่เยือกเย็นและสวยงามของนางเปลี่ยนเป็นจริงจัง “หลิงเสวี่ย ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโส ข้าขอเตือนเจ้าสักอย่าง ความจริงนั้นโหดร้าย พี่สาวเจ้ากับซูอี้ไม่มีทางเข้ากันได้ สิ่งที่เจ้าควรทำ ไม่ใช่เห็นใจและสงสารซูอี้ แต่ต้องขีดเส้นแบ่งเขตให้ชัดเจนกับเขา”
ไม่รอให้เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยแย้ง ใบหน้านางเผยความเย็นชาออกมาเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้น แม้การฝึกฝนเขาจะฟื้นฟูกลับมาแล้วอย่างไร? ถึงอย่างไรชั่วชีวิตนี้ก็เทียบกับพี่สาวเจ้าไม่ได้”
“และในไม่ช้าเจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์ตำหนักเทียนหยวน ฐานะและตำแหน่งนั้นสูงล้ำจนซูอี้เทียบไม่ได้ หากเจ้าให้เขาเข้ามาพัวพันไม่หยุด มันรังแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเอง”
เมื่อฟังจบ ความโมโหภายในใจเหวินหลิงเสวี่ยก็พรั่งพรูออกมาจนพูดไม่ออก น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาในฉับพลัน “ผู้อาวุโส นี่คือความเห็นของท่าน แต่ไม่ใช่ความเห็นของข้า”
จู้กู่ชิงตกตะลึง ไม่คิดว่าเหวินหลิงเสวี่ยที่ดูเหมือนเชื่อฟังจะกล้าตอกกลับผู้อาวุโสเช่นนี้
ไม่นาน จู้กู่ชิงก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเอ็นดู นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “เจ้ายังเด็กนัก จึงยังไม่รู้จักความชั่วร้ายของจิตใจคน หากจะโกรธก็พอเข้าใจได้ เพียงแต่หลังจากนี้ไป เจ้าก็จะเข้าใจความหวังดีของข้าเอง”
เหวินหลิงเสวี่ยไม่พูดอะไร
จู้กู่ชิงตบไหล่สาวน้อยเบา ๆ และเอ่ยเสริม “พอแล้ว อย่าโมโหไป ข้าจะไปพบเขาเป็นเพื่อนเจ้า และหากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ฟังพี่สาวเจ้าพูดถึงเขามาบ้างเป็นบางครั้ง ทว่าในส่วนของรูปลักษณ์และนิสัย ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจอย่างแท้จริงนัก”
อารมณ์ของเหวินหลิงเสวี่ยดีขึ้นมาไม่น้อย “ผู้อาวุโส รอท่านได้พบกับพี่เขยข้าก่อน ท่านจะต้องเปลี่ยนความคิดของท่านแน่”
“งั้นรึ? เช่นนั้นข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอแล้วกัน” จู้กู่ชิงไม่ได้สนใจอะไร นางเอ่ยตอบแบบขอไปที
สำหรับนางที่เป็นถึงปรมาจารย์ เว้นเสียแต่จะเจอกับคนหนุ่มสาวมากฝีมือ คนนอกเหนือจากนั้นล้วนไม่ควรค่าให้นางใช้สายตาแลมอง
เหวินหลิงเสวี่ยไม่เอ่ยอะไรอีก
จู่ ๆ นางก็นึกคำพูดที่พี่เขยเคยพูดก่อนหน้า ว่ายิ่งกล้าแกร่ง ยิ่งตำแหน่งสูงล้ำ ทิฐิย่อมเติบใหญ่ตามเป็นเงา ทำให้คนพวกนั้นพาลคิดว่าตนเองถูกต้องดีงาม และไม่สามารถหลีกเลี่ยงความอคติที่มีต่อผู้อื่นได้
พอคิดขึ้นมาดูแล้ว มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
จู้กู่ชิงเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักเทียนหยวนที่สง่าผ่าเผย เป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วเขตปกครองอวิ๋นเหอ ในสายตาคนส่วนใหญ่จากเมืองกว่างหลิง นางราวกับเป็นเทพมังกรที่ต้องแหงนหน้ามองก็ไม่ปาน
แต่ทัศนคติของนางที่มีต่อพี่เขย ไม่ใช่เป็นการแสดงทิฐิและความอคติอย่างหนึ่งหรอกหรือ?
“จากนี้ไป ข้าจะไม่เปลี่ยนเป็นเช่นนี้อย่างเด็ดขาด…” เหวินหลิงเสวี่ยพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ไม่รู้ว่าตลอดทางที่ทั้งสองเดินไปนั้นได้ดึงดูดสายตาผู้คนไปมากเท่าไร
เดิมเหวินหลิงเสวี่ยที่งดงามสดใส เพิ่งเข้าสำนักดาบชิงเหอได้ไม่นาน ก็ได้รับสมญานามว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่ง
และจู้กู่ชิงยิ่งมีเสน่ห์ ผมขาวราวหิมะ นัยน์ตาที่ใสราวกับน้ำแข็ง และหน้าตาที่เยาวัยคล้ายอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ ผนวกกับชุดกระโปรงยาวที่สวยเรียบหรู มันยิ่งเสริมให้ดูดีขึ้นโดยปริยาย
เมื่อสาวงามทั้งสองเดินเคียงข้างกัน จะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง… ก็พอจะจินตนาการได้
หากไม่ใช่เพราะลมปราณบนร่างจู้กู่ชิงที่เยือกเย็นและทำให้คนกลัวเกินไป เกรงว่าคงจะมีคนเข้ามาชวนคุยนานแล้ว
แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ตรอกน้ำเต้าอย่างช้า ๆ ภาพที่คุ้นเคยราวกับเคยรู้จัก ทำให้จู้กู่ชิงอดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ นางพลอยนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เจ็บปวดครานั้น
“พี่เขยเจ้าพักอยู่ที่ใด?” จู้กู่ชิงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“ตรอกน้ำเต้าที่อยู่ด้านหน้านั้น” เหวินหลิงเสวี่ยชี้ไปข้างหน้า
“เป็นตรอกน้ำเต้าจริง ๆ…”
สีหน้าจู้กู่ชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อวานนางโมโหชายผู้หนึ่งที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้แทบตาย!
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรหรือไม่?” เหวินหลิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่แปลกไปเล็กน้อยของจู้กู่ชิง
“ข้าไม่เป็นอะไร”
จู้กู่ชิงระงับอารมณ์ใจร้อนเอาไว้ ส่ายหน้าไปมา พลางคิดว่าตนจะไม่พูดเรื่องเมื่อวานออกมาให้เผยความอัปยศของตัวเองหรอก
จนกระทั่งนางเดินตามเหวินหลิงเสวี่ยเข้าไปในตรอกน้ำเต้า และเมื่อค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เรือนเงียบสุขสงบทีละก้าว จู้กู่ชิงก็พลันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ใจไม่ดี
นางอดที่จะเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “หลิงเสวี่ย เจ้าบอกกับข้าสิว่าพี่เขยเจ้ามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และลักษณะภายนอกมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษบ้าง”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ “ใกล้จะถึงบ้านพี่เขยแล้ว เมื่อผู้อาวุโสเห็นก็จะรู้ได้ทันที”
จู้กู่ชิงกลุ้มใจไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็ไม่สืบถามใด ๆ อีก
“ต้องไม่ใช่เจ้าเด็กคนนั้นแน่ ไม่เช่นนั้น ด้วยฝีมือของเขา เขาจะเป็นคนอัปยศที่แต่งเข้ามาเป็นลูกเขยได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น หากแต่งงานกับชายหนุ่มเช่นนี้ หลิงเจาคงจะไม่ขัดแย้งและขับไล่เช่นนี้สิ…”
จู้กู่ชิงคลายความกังวลใจอย่างเงียบ ๆ
ชั่วขณะนั้น เหวินหลิงเสวี่ยก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเคาะประตูใหญ่ลานบ้านของเรือนเงียบสุขสงบ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
มันเป็นเสียงเคาะประตูเบา ๆ เท่านั้น แต่เมื่อจู้กู่ชิงได้ยิน ในใจกลับระเบิดอารมณ์ออกราวกับเสียงฟ้าร้อง ทั่วร่างแข็งทื่อ ใบหน้าที่งดงามพลันเปลี่ยนไป
เป็นที่ที่ชายหนุ่มคนนั้นพักอยู่จริง ๆ ด้วย!
นางรู้สึกเห็นท่าจะไม่ดี
แกร็ก แอ๊ด
ประตูบ้านเปิดออก ฉาจิ่นที่อยู่ด้านในกับเหวินหลิงเสวี่ยที่อยู่ด้านนอกล้วนนิ่งอึ้งไป
เหวินหลิงเสวี่ยเกือบจะคิดว่านางมาผิดที่เสียแล้ว
ฉาจิ่นตกใจอยู่เงียบ ๆ สตรีที่อยู่ตรงหน้างดงามเกินไป ดวงตามีประกายสว่างไสว กลิ่นอายความสวยงามและความอ่อนเยาว์บนร่าง ทำให้แม้นางที่เองก็เป็นอิสตรียังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกได้ถึงความสดใส
“แม่นางมาหาใครหรือ?” ฉาจิ่นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบาง
“ข้ามาหาพี่เขย”
ขณะที่เหวินหลิงเสวี่ยพูด นางก็สอดส่องมองเข้าไปในลานบ้าน ซึ่งภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ายังเป็นภาพที่เห็นเมื่อตอนนั้น แต่ทว่าไม่เห็นหวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวเฟิง และคนอื่น ๆ
และก็ไม่เห็นซูอี้เหมือนอย่างเช่นเคย
“พี่เขยเจ้า?”
ฉาจิ่นตกใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอริอาจถามแม่นาง พี่เขยเจ้าเป็นใครกัน?”
“เป็นข้าเอง”
ในขณะนั้น ประตูห้องบนลานบันไดหินก็เปิดออก มีเงาสูงชันร่างหนึ่งก้าวเดินออกมา
ใบหน้าเหวินหลิงเสวี่ยพลันยิ้มขึ้นมาทันที โบกมือและเอ่ยขึ้น “พี่เขย ข้าคิดว่ามาผิดที่ซะแล้ว!”
ตูม!
เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับของซูอี้ ราวกับมีเสียงสายฟ้าฟาดดังก้องอยู่ในหู ความหวังอันน้อยนิดสุดท้ายที่อยู่ในใจจู้กู่ชิงแตกสลายไปอย่างสิ้นเชิง
“ปะ… เป็นชายหนุ่มคนนั้นจริงเสียด้วย? เป็นไปได้อย่างไร? แค่คนต่ำต้อยคนหนึ่งที่แต่งงานเข้ามา จะมีพลังขนาดสังหารตัวตนระดับปรมาจารย์ได้อย่างไรกัน และยังสามารถพูดคุยหัวเราะกับจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงได้อีก?!”
จู้กู่ชิงมึนงง
ในขณะเดียวกัน ฉาจิ่นก็ตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้
ในเมื่อซูอี้คือพี่เขยของเด็กสาวผู้นี้ เช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน ซูอี้แต่งงานแล้วหรือ??
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจฉาจิ่นพลันมึนงงสับสนจนอธิบายอะไรไม่ได้
“สถานที่อาจดูผิดแปลก แต่คนไม่ผิด” ซูอี้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าวันนี้เด็กสาวตั้งใจแต่งตัวมาเป็นพิเศษ ดวงตาที่เป็นประกายสดใส สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน เผยร่างที่เพรียวบางและงดงามออกมา
แต่เมื่อซูอี้เหลือบสายตาเห็นจู้กู่ชิง ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่อีก?”
คำพูดไม่มีความสุภาพเลยสักนิด
ฉาจิ่นที่กำลังครุ่นคิดบางอย่างพลันได้สติขึ้นมา ก่อนสังเกตเห็นจู้กู่ชิงที่อยู่ไม่ไกล นัยน์ตาคู่งามจ้องมองไปที่อีกฝ่ายทันที
แล้วนี่คือใครอีก?
วันนี้เกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงได้มีผู้หญิงที่งดงามทยอยกันมาหาถึงบ้านทีละคน?
เมื่อได้ยินคำพูดที่ทั้งเย็นชาและประหลาดใจของซูอี้แล้ว จู้กู่ชิงก็รู้สึกราวถูกยั่วยุ ใบหน้าที่งดงามเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นฉับพลัน “ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่าเจ้าคือลูกเขยแต่งเข้ามาในตระกูลเหวินคนนั้น”
น้ำเสียงมีแววถากถางแฝงไว้อยู่
ซูอี้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็น “เป็นเขยแต่งเข้าบ้านแล้วอย่างไร อย่าคิดว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของเหวินหลิงเจาแล้วข้าจะไม่กล้าไร้มารยาทกับเจ้า หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองยั่วยุข้าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งสิ”
เหวินหลิงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไป จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “พี่เขย ท่านเคยพบท่านอาวุโสจู้มาก่อนหรือ?”
จู้กู่ชิงหัวใจเต้นรัว กังวลว่าซูอี้จะพูดเรื่องเมื่อวานออกมา จึงแย่งเอ่ยขึ้นก่อน “หลิงเสวี่ย นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า อย่าเข้าไปยุ่ง”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เหวินหลิงเสวี่ยกลับรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรซ่อนอยู่ ด้วยสีหน้าของจู้กู่ชิงไม่สบายใจ คล้ายกับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
พี่เขยทำอะไรกับผู้อาวุโสกันแน่ ถึงทำให้นางอายที่จะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา?
เหวินหลิงเสวี่ยเผยความอยากรู้อยากเห็นออกมาภายในใจ
“คำพูดนี้ของเจ้าไม่เลวเลย หากให้หลิงเสวี่ยเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างข้ากับเจ้า ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะได้ชดใช้ในสิ่งที่เจ้าไม่สามารถชดใช้ได้” ซูอี้เอ่ยเสียงเย็นชา
“เจ้า…”
ใบหน้าจู้กู่ชิงขาวซีด นางโมโหจนดวงตาที่ใสปกคลุมไปด้วยโทสะ ชายหนุ่นผู้นี้ไม่รู้เลยสักนิดว่าอะไรคือการเคารพผู้อาวุโส ช่างไม่เจียมตัวเสียจริง!
ไม่ไกลนัก ฉาจิ่นที่มองซูอี้และจู้กู่ชิงที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แววตาก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นแปลกใจขึ้นมาทันที
ไม่ว่านางจะมองอย่างไร มันก็เหมือนกับการทะเลาะกันระหว่างคู่รัก และไหนจะบรรยากาศกีดกันคล้ายไม่ให้คนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องระหว่างพวกเขาทั้งสองคนอีก…