บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1530: ทูตจากสำนักเมฆาม่วง
ตอนที่ 1530: ทูตจากสำนักเมฆาม่วง
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทุก ๆ วันเว้นวัน เมิ่งฉีจะมาเยี่ยมเยือน ส่งสารพัดโอสถมาให้บำรุง ซึ่งทัศนคติของอีกฝ่ายนั้นละเอียดอ่อนจนไม่อาจเรียกได้ว่าเฉยเมย
หลังจากพักฟื้นมาสิบวัน บาดแผลภายนอกของซูอี้ก็ฟื้นตัวแล้ว กระดูกและเส้นเลือดทั่วกายประสานฟื้นอำนาจ
มีเพียงชีพจร อวัยวะภายใน และจิตวิญญาณเท่านั้นที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า
ส่วนการฝึกฝนของเขายังคงว่างโล่ง
เป็นเพราะร่างของเขาเต็มไปด้วยปราณราชันเซียน อำนาจทำลายล้างของมันร้ายกาจเกินไป จวบยามนี้เพิ่งสลายไปได้เพียงส่วนน้อย
สิ่งนี้ทำให้การฝึกฝนของเขาไร้โอกาสฟื้นคืน
ทว่าชายหนุ่มก็มิได้รีบร้อน
สิบวันผ่านไป นอกจากใบหน้าซีดเซียวของเขาที่เห็นจากภายนอกแล้ว ผู้มองก็ไม่อาจบอกได้แล้วว่าอาการบาดเจ็บภายในร่างกายของเขาเป็นเช่นไร
นอกจากเรื่องเหล่านี้ จากการสนทนากับเมิ่งฉี ในที่สุดซูอี้ก็รู้ว่าภูเขาสุดใต้ที่เขาอยู่ปัจจุบันยังอยู่ในเขตของแคว้นจิ่ง ซึ่งคาดว่าจะอยู่ทางทิศหรดี
ซูอี้ประมาณการว่า จากขุนเขากวางขาวแห่งแคว้นจิ่งมายังภูเขาสุดใต้น่าจะห่างกันราว ๆ หกหมื่นลี้!
‘ดูเหมือนชีฝูเฟิงคงต้องรอที่ขุนเขากวางขาวไปก่อนสักพัก’
ซูอี้ครุ่นคิด
ในเมื่อการฝึกฝนยังมิฟื้นตัว เขาก็ยังมิคิดจะไปยังขุนเขากวางขาว
ในทางกลับกัน เมื่อได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ เขาก็สามารถตกตะกอนความคิด สืบเสาะหาทางเดินต่อบนวิถีในภายหน้าได้
ยามนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรสุญตา ซึ่งเทียบได้กับตัวตนในขอบเขตจุติมงคล
ก้าวต่อไปที่ต้องคำนึงคือการบรรลุเซียน!
ซูอี้รู้ดีมากว่าวิถีจุติสรวงของตนนั้นทำให้วิถีของตนแตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นในโลกหล้าโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงแตกต่างจากคนอื่น ๆ ในวิถีเซียน ทว่ายังแตกต่างจากหวังเย่อีกด้วย!
สิ่งสำคัญที่สุดคือ กระทั่งตัวตนชาติที่หกคนนั้นก็ยังมิเคยคาดคิดว่ายามเขาพิสูจน์เต๋าบรรลุเซียนในภายหน้า เขาจะก้าวเดินบนวิถีเซียนแบบใด
เพราะถึงอย่างไร วิถีจุติสรวงที่ชายหนุ่มบรรลุอยู่ทุกวันนี้ กระทั่งหวังเย่ก็มิเคยได้เยือน กล่าวได้ว่าเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวชั่วกาลนาน
หวังเย่ย่อมมิอาจรู้ได้ว่าการก้าวสู่วิถีเซียนจากวิถีนี้เป็นเช่นไร
กล่าวสรุปก็คือ วิถีเซียนของเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหนือความรู้!
แม้กระทั่งประสบการณ์การฝึกฝนชั่วชีวิตของหวังเย่ยังมิอาจช่วยได้ เขาจึงทำได้เพียงต้องค้นหาด้วยตนเอง!
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงเริ่มเตรียมการล่วงหน้า
โชคดีที่หวังเย่ก้าวสู่จุดสูงสุดแห่งวิถีเซียน สัญจรทั่วโลกหล้าต่างยุคสมัย อ่านคัมภีร์โบราณมากมาย และมีประสบการณ์โชกโชน
ความรู้ความเข้าใจในวิถีเซียนของเขาเป็นเช่นกรุสมบัติ เพียงพอให้ซูอี้สัมผัสเรียนรู้ไปทีละอย่าง
เรียนรู้สิ่งใหม่จากประสบการณ์ เพื่อให้ศิษย์ก้าวข้ามผู้เป็นอาจารย์!
อาหลีรีบร้อนวิ่งเข้ามาในถ้ำด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย นางหยิบก้อนถ่านขึ้นเขียนข้อความบนหนังสัตว์ ‘พี่ซู ลุงเมิ่งให้มาบอกว่าสำนักเมฆาม่วงส่งทูตมาแล้วนะ!’
“ส่งมาไวจัง?”
ซูอี้ประหลาดใจ
เมื่อเขาเห็นเค้าความกังวลบนใบหน้าของอาหลี ชายหนุ่มก็กล่าวพร้อมกับแย้มยิ้ม “อย่าห่วงเลย ไปดูกันเถอะ”
อาหลีพยักหน้าและนำทางไป
……
ณ ทางเข้าหมู่บ้านลำธารเมฆา
ยามนี้เป็นกลางวัน ท้องนภาสว่างไสว
ชายหนุ่มในชุดคลุมผู้หนึ่งนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ กำลังเล่นกับแหวนหยกในมือ
ตรงหน้าเขามีกลุ่มชาวบ้านจากหมู่บ้านลำธารเมฆากลุ่มหนึ่งยืนอยู่
แต่ละผู้ล้วนสงวนกิริยานอบน้อม
หัวหน้าหมู่บ้านเมิ่งฉียืนค้อมตัวอยู่ตรงหน้า กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ใต้เท้าจ่านโปรดเห็นใจด้วย ปีที่ผ่านมาหมู่บ้านของเรา…”
ชายหนุ่มชุดคลุมแค่นเสียงขัด “หยุดเสแสร้งต่อหน้าข้าดีกว่า! หากวันนี้พวกเจ้าหมู่บ้านลำธารเมฆาส่งบรรณาการมิเพียงพอ ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ความปรานีแล้วกัน!”
เมิ่งฉีถอนหายใจยาวอย่างกังวล
ชายหนุ่มในชุดคลุมขมวดคิ้ว “ยังยืนบื้ออันใดอยู่อีก รีบนำบรรณาการออกมาสิ! ข้ายังต้องไปเก็บบรรณาการที่อื่นต่อ จะมามัวเสียเวลากับพวกเจ้ามิได้นะ!”
วาจาไร้น้ำใจอย่างยิ่งราวดุด่าหลานเหลน
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเมิ่งฉีดูมืดหมอง ทว่าท้ายที่สุดเขาก็อดกลั้นกระซิบ “ใต้เท้าจ่าน เรา…”
ชายหนุ่มในชุดคลุมตบเก้าอี้ดังทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยแววตาเคร่งขรึม “หากเจ้ายังกล้าพูดเพ้อเจ้อ สุนัขเฒ่า ข้าจะฆ่าเจ้าก่อน!”
เมิ่งฉีตะลึงไป ใบหน้าหดหู่ยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นก็มีผู้อดกล่าวมิได้ว่า “พี่เมิ่ง มิใช่ว่าผู้อาวุโสซูจะมาช่วยเราหรือ?”
เมิ่งฉีลอบตะโกนในใจว่าแย่แล้ว
ความลับเช่นนี้ เอามาพูดซึ่งหน้าได้เช่นไร?
จริงดังว่า ชายหนุ่มในชุดคลุมยิ้มเยาะ “โอ้โห พวกเจ้าหาผู้ช่วยได้แล้วหรือ?”
“บอกให้นะ แดนดินในรัศมีสามพันลี้จากภูเขาสุดใต้คือเขตแดนของสำนักเมฆาม่วงเรา!”
“ใครก็ตามกล้ายุ่งกับเรื่องวันนี้ ข้าจะกำจัดเขา ลั่นวาจาไว้เลย!”
วาจาเหล่านี้กังวานชัดเจนทั่วหล้า
ทุกผู้ล้วนเปลี่ยนสีหน้า
โดยเฉพาะเมิ่งฉีผู้หัวใจร่วงถึงหุบเหว
เดิมเขาอยากขอให้ซูอี้ช่วยเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
แต่ใครเล่าจะคิดว่าสถานการณ์จะหลุดการควบคุมไปโดยสิ้นเชิง!
และทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็ดังขึ้นอย่างเฉยเมย “จริงหรือ?”
ซูอี้กับอาหลีกำลังเดินมาเข้ามาจากระยะไกล
เมิ่งฉีมิได้ดูปรีดาทว่ากลับดูกังวล อ้าปากจะอธิบายสิ่งที่เกิดก่อนหน้านี้
ซูอี้โบกมือกล่าว “ข้าได้ยินหมดแล้ว ให้ข้าจัดการเถอะ”
ชาวบ้านส่วนใหญ่เพิ่งได้พบเขาครั้งแรก และอดสงสัยมิได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ปกติดีจริง ๆ หรือ?
ชายหนุ่มชุดคลุมบนเก้าอี้หันมามอง และเมื่อเห็นซูอี้ แววตาของเขาก็ปรากฏเค้าความเหยียดหยาม “ใครให้เจ้ากล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในสำนักเมฆาม่วงข้า?”
ซูอี้อดยิ้มมิได้
วิถีฝึกฝนนั้นเริ่มด้วยสี่ขอบเขตวิถียุทธิ์ ตามด้วยสามขอบเขตวิถีต้นกำเนิด สามขอบเขตวิถีวิญญาณ สามขอบเขตวิถีลึกล้ำ สามขอบเขตวิถีสู่สวรรค์ และสามขอบเขตวิถีจุติสรวง
ส่วนชายหนุ่มชุดคลุมผู้นี้ก็แค่ตัวตนเล็กจ้อยผู้เพิ่งก้าวสู่วิถีวิญญาณ ทว่ากลับกร่างอำนาจเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิในวิถีลึกล้ำเสียอีก!
“ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้ารอดชีวิต คุกเข่าต่อหน้าข้าแล้วลืมเรื่องวันนี้เสีย”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
ผู้ชมล้วนเงียบกริบด้วยความตะลึงงัน
แทบสงสัยว่าตนหูฝาดไป
ชายหนุ่มในชุดคลุมเองก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเดือดดาล ลุกจากที่ และชี้ไปที่ซูอี้ทันที “เจ้า…”
เพิ่งกล่าวได้คำเดียว เมื่อสายตาสบเข้ากับซูอี้ ทันใดนั้น ร่างของชายหนุ่มชุดคลุมก็ชะงัก วิญญาณรวดร้าวสาหัส ดูราวได้พบเจ้าสวรรค์สูงสุดยืนตระหง่านอยู่บนสวรรค์ชั้นเก้า แรงกดดันมหาศาลทำให้เขาหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ รู้สึกราวกับเป็นมดตัวหนึ่ง อีกฝ่ายจะฆ่าเขาก็ง่ายดายเพียงคำนึง
ความหวาดกลัวอันร้ายกาจทำให้ชายในชุดคลุมขวัญหนีดีฝ่อ
จากนั้น ภายใต้สายตาตกตะลึงของคนทั้งหลาย ชายหนุ่มในชุดคลุมก็คุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นเยี่ยงกิ่งไม้ไหว
“นี่…”
ทุกผู้ล้วนตะลึงจังงัง
ทูตจากสำนักเมฆาม่วงผู้นี้ กาลก่อนช่างแสนโอหัง ไฉนพริบตาต่อมาเขาจึงคุกเข่าลงเสียได้?
ยิ่งกว่านั้น เขายังดูกลัวเสียด้วย!
ดวงตาของอาหลีเบิกกว้างอย่างตกใจ
ทั้งหมดนี้ช่างลึกลับเกินจริงเกินไป
ขณะเดียวกันนั้น ซูอี้ก็ก้าวเข้ามากล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำผิดอันใด?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมหน้าซีดขาว กล่าวเสียงสั่น “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว! ขอผู้อาวุโสอภัยด้วย!”
ซูอี้ถามอีกครั้ง “เช่นนั้น เจ้าว่าการล่วงเกินข้านั้นคุ้มค่ากับแค่เรื่องเก็บบรรณาการจากหมู่บ้านลำธารเมฆานี้หรือไม่?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมกล่าวอย่างละล่ำละลัก “เทียบกับการล่วงเกินผู้อาวุโสแล้ว มิอาจเทียบได้เลยขอรับ!”
เสียงของเขาปนด้วยเสียงร่ำไห้!
ซูอี้กล่าวขึ้นเบา ๆ “รู้ว่าทำผิดแล้วกลับตัวแก้ไขได้ก็ดีแล้ว รีบลุกขึ้นเสีย”
เขาว่าพลางประคองตัวชายหนุ่มชุดคลุมขึ้นแล้วช่วยปัดฝุ่นอาภรณ์ให้ด้วย “ข้าไม่มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับสำนักเมฆาม่วง และไม่อยากให้เจ้าต้องสิ้นชีวิตเพียงเพราะวาจา นี่คือน้ำใจจากข้า แค่ไม่รู้ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่”
ชายหนุ่มในชุดคลุมแสนผวา พยักหน้าโดยมิกล้ามองซูอี้แม้สักนิด และกล่าวเสียงสั่นว่า “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ปีนี้หมู่บ้านลำธารเมฆาไม่จำเป็นต้องส่งบรรณาการใดเลย และผู้อาวุโสก็มิต้องห่วงว่าเราจะมาล้างแค้นเอาคืนกับหมู่บ้านธารเมฆาในภายหน้าด้วยขอรับ!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าไม่ห่วงเรื่องการเอาคืนของพวกเจ้าหรอก ข้ากังวลเพียงว่าหากเจ้าคิดไม่ได้ หายนะจะไปเยือนถึงที่เองน่ะ ไปเถอะ”
ซูอี้ตบบ่าอีกฝ่าย
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา! ผู้น้อยจะชดใช้ความผิดเดิม มิกล้ากระทำชั่วอีกแล้วขอรับ!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมตื้นตัน
กล่าวจบ เมื่อเห็นว่าซูอี้มิได้ขวาง เขาก็จากไปอย่างเร่งรีบ เพียงไม่นานนัก ร่างของเขาก็หายลับจากสายตา
เมื่อเห็นหายนะหายไปเช่นนี้ เมิ่งฉี อาหลีและเหล่าชาวบ้านก็รู้สึกเกินจริงเยี่ยงฝันไป
พวกเขาล้วนตะลึงไร้วาจา
“อาหลี ถึงเวลากลับกันแล้ว”
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ก่อนจะจากไป
เมิ่งฉีพลันคืนสติ รีบกล่าวขึ้นทันที “ผู้อาวุโสซู ขอบคุณที่ท่านเข้าช่วยเหลือขอรับ หากไม่ถือสา โปรดอยู่ก่อน ให้ข้าจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นการขอบคุณท่านเถิด”
ซูอี้ส่ายหน้า “อย่าดีใจเร็วไปนัก รออีกสักสองสามวันก่อน หากสำนักเมฆาม่วงมิมาล้างแค้น เรื่องวันนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป”
เมิ่งฉีนิ่งไปแล้วเข้าใจทันที อดอ้าปากค้างมิได้
หลังจากเหตุในวันนี้ หากสำนักเมฆาม่วงคิดล้างแค้นกันจริง ๆ เช่นนั้นพวกเขาก็จะส่งบุคคลทรงอำนาจมา!
เมิ่งฉีอดกล่าวมิได้ “ผู้อาวุโสซู ถ้าเช่นนั้น…”
ซูอี้ชี้ตนเอง กล่าวอย่างจนใจเล็กน้อย “ในเมื่อเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้แล้ว เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ ข้าจะช่วยให้จบสิ้นไปเลยก็ได้”
กล่าวจบ เขาก็เดินจากไป
อาหลีตามเขาไปติด ๆ ยามคู่เนตรกลมโตกระจ่างใสมองไปที่แผ่นหลังของซูอี้ พวกมันก็เรืองรองเยี่ยงดวงดาว เผยเค้าความใคร่รู้และชื่นชม
พี่ซูเขา… เป็นคนเช่นไรกัน?
จักรพรรดิผู้อยู่บนวิถีลึกล้ำ?
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!
จากคำร่ำลือ มีเพียงจักรพรรดิในวิถีลึกล้ำเท่านั้นที่กดดันศัตรูด้วยเพียงเกียรติภูมิโดยมิต้องสู้ได้!
“แค่เรื่อง… เล็กน้อย?”
เมิ่งฉีพึมพำ “ในสายตาผู้อาวุโสซูไม่มีความเกรงกลัวต่อสำนักเมฆาม่วงเลยหรือ?”
เมิ่งฉี ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านลำธารเมฆางุนงงเล็กน้อย
เขาไม่อาจคาดหยั่งว่า เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้จึงกล้ามิเห็นหัวสำนักเมฆาม่วง!
สามวันต่อมา
สำนักเมฆาม่วงส่งคนมายังหมู่บ้านลำธารเมฆาอีกแล้ว!
เมื่อเขาได้ข่าว ซูอี้ก็อดถูหว่างคิ้วมิได้ ชายหนุ่มชุดคลุมผู้นั้นเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงแท้
ซูอี้คิดไม่ออกว่า คำพูดของเขาเมื่อยามนั้นออกจะชัดเจนตรงไปตรงมา ไฉนเจ้าหนุ่มชุดคลุมนั่นยังโง่ดักดานเพียงนี้!
………………..