บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1531: ความรู้
ตอนที่ 1531: ความรู้
หมู่บ้านลำธารเมฆา
ซูอี้ได้พบผู้ทรงอำนาจผู้หนึ่งจากสำนักเมฆาม่วง
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีม่วง คาดเข็ดขัดหยกรอบเอว ผมสีเงินขาว สีหน้าอ่อนโยน
เซี่ยฉางเจี่ย
ผู้อาวุโสลำดับสามแห่งสำนักเมฆาม่วง
เมื่อซูอี้มาถึง เซี่ยฉางเจี่ยกำลังสนทนากับเมิ่งฉีและชาวบ้านคนอื่น ๆ ด้วยสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยนดุจสายลมยามวสันต์
มันทำให้พวกเมิ่งฉีดูเกรงอกเกรงใจเกินความจริง
ไม่มีทางเลย เมื่อเทียบกับชายผู้เย่อหยิ่งในชุดคลุมเมื่อสามวันก่อน เซี่ยฉางเจี่ยผู้ทรงอำนาจจากสำนักเมฆาม่วงนั้นเข้าถึงง่ายเกินไป
และเมื่อเห็นซูอี้เดินมาหาจากไกล ๆ เซี่ยฉางเจี่ยก็ผงะไป ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปทักทาย แย้มยิ้มกุมกำปั้นคารวะก่อน “ตาเฒ่าผู้น้อยเซี่ยฉางเจี่ยจากสำนักเมฆาม่วงคารวะสหายเต๋า ข้ามาเยือนกะทันหันไปสักหน่อย หวังว่าสหายเต่าจะมิถือสา”
“เจ้ามิได้มาล้างแค้นหรือ?”
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาคิดว่าสำนักเมฆาม่วงจะส่งผู้มีอำนาจมาล้างแค้นที่หมู่บ้านลำธารเมฆา
แต่ดูเหมือนว่าหนนี้เขาจะคิดมากไปเอง
เซี่ยฉางเจี่ยรีบอธิบายด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าอย่าเข้าใจผิด เมื่อสำนักข้าทราบว่ามีผู้ฝึกตนแข็งแกร่งเหลือเชื่ออยู่ในหมู่บ้านลำธารเมฆา พวกเขาก็ล้วนประหลาดใจกันใหญ่ และกระทั่งเจ้าสำนักยังไม่กล้าละเลย สั่งให้ตาเฒ่าผู้น้อยมาพบด้วยตนเองเพื่อชดเชยแก่สหายเต๋า”
เขาอ่อนน้อมถ่อมตน ท่าทางจริงใจอย่างยิ่ง
กระทั่งเมิ่งฉียังอดกล่าวขึ้นมิได้ว่า “ผู้อาวุโสซู ผู้อาวุโสเซี่ยประกาศจุดยืนต่อพวกข้าแล้วว่าหมู่บ้านลำธารเมฆาของเราได้รับยกเว้น มิต้องส่งบรรณาการเป็นเวลาร้อยปี และเขายังให้ป้ายสัญลักษณ์สำนักเมฆาม่วงแก่ข้าด้วยชิ้นหนึ่งขอรับ”
กล่าวจบ เขาก็นำป้ายสัญลักษณ์ออกมาให้ซูอี้ดู “ด้วยสิ่งนี้ หากหมู่บ้านลำธารเมฆาของเราประสบปัญหา ข้าก็สามารถไปขอความช่วยเหลือจากสำนักเมฆาม่วงได้ทุกเมื่อขอรับ”
ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าสุดเปรมปรีดิ์
กล่าวได้ว่าไม้อ่อนลู่ลม อายุยืนยาว!
เขาสูงส่งกว่าชายหนุ่มชุดคลุมผู้กระทำตนเย่อหยิ่ง
แน่นอน สำหรับซูอี้ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงมายา
หากเซี่ยฉางเจี่ยคิดกลับคำ ไม่ว่าวาจาหรือป้ายสัญลักษณ์สำนักเมฆาม่วงใด ๆ ก็ล้วนไร้ค่า
“ไปคุยกันตรงโน้นเถอะ”
ซูอี้ชี้ไปไกล จากนั้นก็เดินสู่จุดที่ชี้
เซี่ยฉางเจี่ยนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตามไปยิ้ม ๆ
ส่วนพวกเมิ่งฉีนั้นมิเข้าไปรบกวนอย่างรู้ความ
“นี่คือจะชดใช้กันจริง ๆ หรือ?”
ดวงตาของซูอี้ลึกล้ำ มองตรง ๆ ไปที่เซี่ยฉางเจี่ย
ชั่วขณะนี้ เซี่ยฉางเจี่ยรู้สึกเพียงแรงกดดันล่องหนทะยานเข้าใส่ หัวใจอดรู้สึกเย็นยะเยือกมิได้
เขากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตอบสหายเต๋าตามตรง หมู่บ้านลำธารเมฆานี้อยู่ในอาณาเขตอิทธิพลของสำนักเมฆาม่วงของข้า และหลังได้ยินเหตุความเข้าใจผิดระหว่างศิษย์ข้ากับท่าน คนทุกผู้ในฝ่ายเราก็ตระหนักว่าเรื่องนี้จะอยู่เฉยมิได้ และต้องแสดงความจริงใจชดเชยแก่สหายเต๋าด้วยตนเอง เพื่อมิให้สหายเต๋าเข้าใจเราผิด”
กล่าวเช่นนี้ เขาก็รำพึงด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ทำเช่นไรได้ ในสายตาของเหล่าชาวบ้านพวกนั้น เราสำนักเมฆาม่วงคือนายเหนือหัว แต่เราล้วนรู้ดีว่าในโลกหล้าผู้ฝึกตนทั่วแคว้นจิ่งนี้ เราสำนักเมฆาม่วงเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ อันไร้อิทธิพลเท่านั้น”
“ตัวตนทรงพลังใด ๆ ล้วนก่อหายนะเกินคาดเดาแก่ฝ่ายเราได้ทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสายลมโชยบนยอดหญ้า สำนักเราก็หากล้าเลินเล่อไม่”
“นี่คือวิถีรอดชีวิตของเราสำนักเล็ก ๆ”
เซี่ยฉางเจี่ยกล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์ สีหน้าแสนจนใจราวกำลังบ่นระบายความอัดอั้นให้ซูอี้ฟัง
ซูอี้พยักหน้า
ในโลกเซียนนั้นยากที่สำนักเล็ก ๆ จะอยู่รอดอย่างจริงแท้ และบ่อยครั้งที่พวกเขาจะเลือกผูกตนเองเข้ากับขุมกำลังใหญ่กว่า
เหมือนเช่นหมู่บ้านลำธารเมฆาที่จ่ายบรรณาการแก่สำนักเมฆาม่วง
และสำนักเล็ก ๆ อย่างสำนักเมฆาม่วงก็ต้องจ่ายบรรณาการต่อขุมกำลังใหญ่บางแห่งเพื่อแลกกับการคุ้มครองอย่างมิอาจเลี่ยง
นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก และมีเพียงขุมกำลังเซียนสูงสุดเท่านั้นที่อยู่บนจุดสูงสุดแห่งห่วงโซ่อาหาร
ทว่าซูอี้จะไม่โอนอ่อนไปกับท่าทางน่าสงสารของเซี่ยฉางเจี่ย
เขากล่าวตรง ๆ “นอกจากมาชดเชยแล้ว เจ้าน่าจะมีจุดประสงค์อื่นที่นี่อยู่”
เซี่ยฉางเจี่ยตะลึงไป
เขาอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง ทว่ายามสบเข้ากับนัยน์ตาลึกล้ำของซูอี้ หัวใจของเขาพลันสะท้านอย่างมิอาจบรรยาย สันหลังเย็นวาบ
และซูอี้ก็กล่าวเสริม “ข้าให้โอกาสเจ้าอธิบายเพียงหนเดียว ไม่ว่าเจ้าจะรักษามันไว้หรือไม่ก็ขึ้นกับเจ้า”
เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผากของเซี่ยฉางเจี่ย สีหน้ายากอ่าน สงบวจีเงียบไป
ซูอี้ยืนนิ่งเงียบ หารีบร้อนไม่
เนิ่นนานจากนั้น เซี่ยฉางเจี่ยก็กัดฟัน กล่าวเสียงเบาด้วยสีหน้าละอาย “สหายเต๋าช่างปราดเปรื่องเยี่ยงประทีป รอบรู้เยี่ยงเทพโดยแท้ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ นอกจากจะมาชดใช้แล้วยังมีจุดประสงค์อื่นจริง ๆ”
ซูอี้มิได้ตอบอันใด
ท่าทีสุขุมผ่อนคลายนั้นยังทำให้แรงกดดันของเซี่ยฉางเจี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล!
เขาไม่กล้าลังเลอีกต่อไป กัดฟันกล่าวออกมาว่า “ราวยี่สิบวันก่อน สำนักเมฆาม่วงของเราได้รับประกาศิตจากสำนักเซียนเมฆาโปรย ว่าหากพบคนผู้ใดซึ่งมิรู้ที่มาที่ไป ต้องทำการตรวจสอบโดยพลันและรายงานต่อสำนักเซียนเมฆาโปรย!”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย
สำนักเซียนเมฆาโปรย!
กาลก่อนที่ ‘แดนบรรลุสรวง’ ณ ขุนเขากวางขาว หลิ่วอวิ๋นจิ้งแห่งสำนักเซียนเมฆาโปรยนำกลุ่มเซียนขอบเขตจักรวาลมาล้อมผนึกแดนบรรลุสรวงไว้
ซูอี้มีหรือจะลืมเรื่องนี้?
แน่นอน ขณะนั้นสำนักเซียนเมฆาโปรยกำลังทำตามคำสั่งของลัทธิไร้มลทินอยู่
ซูอี้เข้าใจโดยพลัน
และสำนักเซียนเมฆาโปรยก็ทำงานรับใช้ลัทธิไร้มลทิน ในขณะที่สำนักเมฆาม่วงก็ทำงานรับใช้สำนักเซียนเมฆาโปรยอยู่…
ทว่ายอดฝีมือซึ่งอยู่ในแดนบรรลุสรวงเมื่อกาลนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วอวิ๋นจิ้งและพวก หรือพวกหลัวอวิ๋นจงต่างก็ถูกลบความทรงจำของวันนั้นจนสิ้น
ดังนั้นพวกเขาจึงมิอาจทราบชื่อและตัวตนของเขา กระทั่งรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรยังมิอาจระบุ
รูปลักษณ์นั้นเปลี่ยนแปลง ปลอมกันได้ง่ายที่สุด
จนกระทั่งการค้นหาเขากลายเป็นการตรวจสอบทุกบุคคลซึ่งไร้ที่มาที่ไปเสียแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็อดขำมิได้
ด้วยประสบการณ์ของเขา มีหรือจะมิเห็นว่าที่ลัทธิไร้มลทินออกคำสั่งเช่นนั้นเป็นเพราะโทสะกลัวเสียหน้า หามีความหวังหาตัวเขาให้พบไม่?
และเมื่อเห็นรอยยิ้มขำขันบนใบหน้าของซูอี้ หัวใจของเซี่ยฉางเจี่ยก็ระทึกอย่างอดมิได้ เสื้อด้านหลังของเขาชุ่มเหงื่อเย็น
ก่อนซูอี้จะทันได้พูดอันใด เขาก็รีบร้อนกล่าวขึ้น “สหายเต๋ามิทราบบางเรื่อง ในเขตแคว้นจิ่งทุกวันนี้ ขุมกำลังมากมายรวมถึงสำนักเมฆาม่วงของข้าล้วนรับใช้สำนักเซียนเมฆาโปรย และตลอดมาก็ไม่อาจทราบได้ว่าหาตัวคนน่าสงสัยได้มากเพียงไร แต่ท้ายที่สุดคำสั่งก็ยังอยู่”
“เพราะถึงอย่างไร การหาตัวผู้ต้องสงสัยก็คลุมเครือเกินไป อย่าว่าแต่ผู้ที่กระทำเรื่องชั่วร้ายที่สุดในโลกาเลย เราผู้ฝึกตนทั้งหลาย ใครบ้างไร้ความลับกับตน? หากอยากตรวจสอบกันจริง ๆ คนทุกผู้ก็ล้วนน่าสงสัยทั้งสิ้น!”
“ความนัยคือโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าเองก็ทำตามคำสั่ง หาได้สงสัยว่าท่านคือผู้ที่สำนักเซียนเมฆาโปรยมองหาอยู่ไม่!”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “น่าเสียดาย เจ้าเห็นหน้าจริงของข้าแล้ว”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว วิญญาณของเซี่ยฉางเจี่ยก็สะท้าน กล่าวอย่างตกใจ “สหายเต๋า หรือว่า…”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ถูกต้อง ขอเพียงเจ้ารายงานรูปลักษณ์และนามของข้าแก่สำนักเซียนเมฆาโปรย สำนักเมฆาม่วงของเจ้าจะได้รับผลงานความดีอเนกอนันต์!”
เซี่ยฉางเจี่ย “…”
ดวงตาของเขาจ้องค้างที่ซูอี้ ทั้งมึนงง ตะลึงและสติรวนเร
เขาคุกเข่าลงโขกหัวกับพื้น กล่าววิงวอนอย่างหวาดผวาโดยพลัน “ผู้อาวุโส ผู้น้อยเป็นเพียงกุ้งปลาตัวน้อยอันมิควรค่ากระทั่งขึ้นโต๊ะอาหาร ไม่กล้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องใหญ่เพียงนี้ โปรดรามืออันสูงส่งไว้ชีวิตผู้น้อยด้วย ผู้น้อยลั่นวาจา ไม่ว่าท่านจะมีเงื่อนไขใด ผู้น้อยก็เห็นด้วยทั้งนั้นขอรับ!”
กล่าวจบ เขาก็โขกหัวไปอีกคำรบ
ห่างออกไป เมิ่งฉีและเหล่าชาวบ้านในหมู่บ้านลำธารเมฆาต่างตะลึงไปยามได้เห็นเช่นนี้ ไฉนคนใหญ่คนโตจากสำนักเมฆาม่วงจึงลงไปคุกเข่าเสียเล่า!?
“เซียนประชันศึก ปุถุชนรับกรรม หรือนี่มิใช่สถานการณ์สำนักน้อย ๆ เยี่ยงสำนักเมฆาม่วงของพวกเจ้า?”
ซูอี้โบกมือ “ลุกขึ้นเถอะ”
เซี่ยฉางเจี่ยคุกเข่าให้สัตย์ปฏิญาณ “ผู้น้อยสาบานด้วยหัวใจวิถี ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้จะมิถูกแพร่งพรายแม้เพียงคำ หากฝ่าฝืน สติของผู้น้อยจะแหลกเหลว ฟ้าดินลงทัณฑ์มลายสูญ!”
จากนั้น เขาก็ยืนขึ้นตัวสั่นงันงกราวนักโทษรอพิพากษา
ซูอี้อดทอดถอนใจมิได้ “เจ้าเป็นผู้มีความรู้อย่างจริงแท้ ข้าจึงละอายหากจะทำเจ้าลำบากอีก”
เซี่ยฉางเจี่ยปาดเหงื่อกล่าวอย่างขมขื่น “ผู้น้อยมิได้มีความรู้มากนัก แต่ยังรู้กระจ่างมากว่าในเมื่อผู้อาวุโสถูกสำนักเซียนเมฆาโปรยหมายหัว ท่านก็คือผู้ทรงอำนาจซึ่งเราสำนักเมฆาม่วงไม่อาจล่วงเกินได้เลย เรื่องเช่นนี้ หากสำนักเมฆาม่วงของเราเข้าพัวพัน แทนที่ข้าจะสร้างผลงานความดีอเนกอนันต์ มันจะรังแต่ฆ่าตัวตายเสียเปล่าขอรับ!”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ “เจ้าไปได้”
เซี่ยฉางเจี่ยดูเชื่อมิลง “ผู้อาวุโส… จะมิปิดปากข้าจริง ๆ หรือขอรับ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ไม่ล่ะ รีบไปเถอะ”
เซี่ยฉางเจี่ยพยักหน้าหงึกหงักและหันหลังจากไป
ท่ามกลางแสงจากนภา คนทุกผู้ล้วนเห็นชัดว่าผู้อาวุโสสามแห่งสำนักเมฆาม่วงเปียกโชกด้วยเหงื่อทั่วร่าง!
คาดเดาได้เลยว่าเมื่อครู่เขาตื่นตกใจอย่างยิ่ง
บุคคลตัวเล็กจ้อยผู้นี้ ซูอี้หาใส่ใจไม่
เขากล้าสรุปว่าสำนักเมฆาม่วงจะมิกล้าเคลื่อนไหวรายงาน
เว้นแต่พวกเขาจะกล้าเอาความเป็นอยู่ของสำนักเข้ามาเสี่ยงตาย
ต่อให้สำนักเมฆาม่วงของเขาจะเอาไปรายงานจริง ๆ ซูอี้ก็หากลัวสิ่งใดไม่
หากเขาคิดซ่อนที่อยู่จริง ๆ กระทั่งเซียนมาเองก็หาเขามิพบ!
ในทางกลับกัน สำนักเมฆาม่วงจะถูกทำลายด้วยเหตุนี้
ข้อดีข้อเสียของเหตุการณ์ ตัวตนใด ๆ ล้วนกระจ่าง ขอเพียงมีประสบการณ์สักนิด
ทว่าหลังเหตุการณ์นี้ ซูอี้ก็ตระหนักแล้วว่าหากต้องการเลี่ยงปัญหา เขาต้องเปลี่ยนไปใช้ตัวตนใหม่
มรสุมนี้จบลงแล้ว
เหมือนกาลก่อน ซูอี้ทอดกายสบายใจในถ้ำอย่างเงียบงัน ทำสมาธิเรียบเรียงวิถี ตั้งใจวางแผนวิถีฝึกฝนในภายหน้าของตน
ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มสอนให้อาหลีฝึกฝนอย่างระมัดระวัง
ครึ่งเดือนผ่านไป ไร้มรสุมบังเกิด
ทว่าเช้าตรู่วันนี้ ท้องนภาเพิ่งปรากฏแสงรุ่งสาง
รุ้งทิพย์เจิดจรัสสายหนึ่งทะยานมาจากท้องนภาแสนไกล ตรงเข้าสู่หมู่บ้านลำธารเมฆา
ภาพนี้ทำให้ชาวบ้านมากมายตื่นตระหนก
ซูอี้ผู้กำลังสอนอาหลีฝึกตนในถ้ำอดขมวดคิ้วเงยหน้ามองออกไปนอกถ้ำมิได้