บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1532: ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา
ตอนที่ 1532: ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา
รุ้งทิพย์อันเจิดจรัสหยุดลงบนนภาเหนือหมู่บ้านลำธารเมฆา
เหนือรุ้งทิพย์นั้นมีสามร่างยืนอยู่
เป็นสองบุรุษ หนึ่งสตรี
ผู้นำเป็นสตรีนางหนึ่ง สวมอาภรณ์สะท้อนแสง รูปลักษณ์งดงามเยี่ยงนางเซียนเหนือนภา ท่าทางเย็นชาเยี่ยงน้ำแข็ง
“หมู่บ้านลำธารเมฆา…” ดวงตาของสตรีในชุดสะท้อนแสงเหม่อลอย “ผ่านไปสิบปีแล้วยังไม่เปลี่ยนจากความประทับใจของข้ามากนัก ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดสิ่งใดกับปู่และน้องสาวของข้าบ้าง…”
เมื่อนางครุ่นคิดเช่นนี้ นางก็เดินลงจากรุ้งทิพย์สู่พื้นเป็นคนแรก
พวกของนางตามลงไป
ในหมู่บ้านลำธารเมฆา เมิ่งฉีและเหล่าชาวบ้านล้วนตื่น พากันออกมาแล้ว
เมื่อพวกเขาพบสตรีในชุดสะท้อนแสงซึ่งดูราวนางเซียนเหนือสรวง เมิ่งฉีและเหล่าชาวบ้านก็อดตะลึง ในใจอดละอายมิได้
“ตาเฒ่าไร้ค่าเมิ่งฉีคำนับเหล่าผู้อาวุโสเซียนขอรับ!”
เมิ่งฉีก้าวออกมาคำนับอย่างนอบน้อม
สตรีในชุดสะท้อนแสงกล่าวว่า “ลุงเมิ่งจำข้ามิได้หรือ?”
หือ?
เมิ่งฉีตะลึงไป ก่อนจะตระหนักบางอย่างและกล่าวเสียงหลงโดยพลัน “เจ้า… เจ้าคืออาหนิงหรือ?”
รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าเย็นชาของสตรีในชุดสะท้อนแสง ก่อนที่นางจะพยักหน้า “ถูกต้อง”
ตู้ม!
รอบข้างฮือฮาโดยพลัน เหล่าชาวบ้านเดือดพล่าน
สตรีผู้นั้นซึ่งดูราวนางเซียน ปรากฏว่าคือเด็กน้อยผู้เคยจากไปพร้อมเซียนเมื่อสิบปีก่อน!
ความเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!
“ลุงเมิ่ง ปู่ข้ากับอาหลีอยู่หนใด?”
สตรีในชุดสะท้อนแสงมองไปรอบ ๆ
เมิ่งฉีเกร็งนิ่งทั้งใจกาย ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “อาหนิงเอ๋ย เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว เจ้าเพิ่งกลับมา เข้ามาพักในหมู่บ้านก่อนเถิด แล้วข้าจะค่อย ๆ เล่าให้เจ้าฟังเอง”
สตรีในชุดสะท้อนแสงพยักหน้ารับ “ได้”
แล้วพวกนางก็เข้าหมู่บ้านลำธารเมฆาไปกับเมิ่งฉีทันที
……
“อาหลี มากับข้า พี่สาวเจ้ากลับมาแล้ว!”
หนึ่งเสียงดังขึ้นอย่างรีบร้อนที่นอกถ้ำ
อาหลีผู้กำลังฟังคำแนะนำฝึกฝนของซูอี้ก็ตะลึงงัน ก่อนจะดูตกใจไม่อยากเชื่อโดยพลัน
ชั่วขณะนั้น ร่างผอมบางของสาวน้อยสั่นสะท้าน
ในความทรงจำของนาง ไร้ความรู้สึกใด ๆ ต่อพี่สาวนางอาหนิงโดยสิ้นเชิง
เพราะพี่สาวของนาง อาหนิงถูกเซียนพาตัวไปตั้งแต่ก่อนนางจะรู้เดียงสา
นางได้รู้ว่าในโลกนี้ นางยังมีพี่สาวอีกหนึ่งก็จากคำเล่าของปู่นางเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
ซูอี้จึงเข้าใจว่ารุ้งทิพย์แหวกนภาเมื่อครู่ ปรากฏว่าเป็นพี่สาวของอาหลีนั่นเอง
“อืม รีบไปสิ พวกหัวหน้าหมู่บ้านรอเจ้าอยู่นะ”
ชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวเร่งอย่างร้อนรนที่นอกถ้ำ
‘พี่ซู ข้า…’
อาหลีอยากจะเขียนบางอย่าง แต่นางกลับดูลังเลมาก
ก่อนหน้านี้ นางคิดอยากพบพี่สาวของนางมากกว่าหน ทว่ายามได้พบจริง ๆ นางกลับทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย กระวนกระวายอย่างยิ่ง
“ข้าจะไปกับเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างอบอุ่น
อาหลีโล่งใจ พยักหน้าทันที
……
ในหมู่บ้านลำธารเมฆา
เรือนเก่าหลังหนึ่ง
ซูอี้นั่งบนที่นั่งด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เมิ่งฉีนั่งลงข้างหนึ่ง
มิห่างไปนักมีสองบุรุษนั่งอยู่
หนึ่งสวมอาภรณ์สีเงิน ดูหล่อเหลามากสามารถ
หนึ่งสวมชุดเกราะดำ สีหน้าเย็นชา
จากที่เมิ่งฉีเพิ่งแนะนำ บุรุษทั้งสองมากับอาหนิง
ซูอี้ปรายตามองเพียงหน และมิได้สนใจอีก
ทั้งสองเป็นเพียงตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก
และซูอี้ก็ถูกพวกเขาทั้งสองเมินไปเช่นกัน
แม้เมิ่งฉีจะย้ำนักย้ำหนายามแนะนำตัวว่าซูอี้คือผู้ช่วยพวกเขาสลายข้อขัดแย้งระหว่างสำนักเมฆาม่วงและหมู่บ้านลำธารเมฆาก็ตาม
แต่ทั้งสองก็ทำเพียงพยักหน้าส่ง ๆ หากล่าววาจาใดไม่
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย
หลังจากอาหลีเข้ามาในเรือน นางก็ถูกพี่สาวของนาง อาหนิงพาออกไปคุยกันโดยลำพังข้างนอก
กาลเวลาผ่านไป
บรรยากาศในห้องเงียบสงัด
แม้นี่จะเป็นบ้านของเมิ่งฉี แต่เขาก็ร้อนรนนั่งไม่ติดราวอยู่บนปลายเข็ม
ในที่สุดอาหนิงและอาหลีก็กลับมา
เมื่อเห็นสองพี่น้องเคียงข้างกัน ชายในชุดสีเงินก็ลุกขึ้นกล่าวยิ้ม ๆ “หากไม่ได้เห็นด้วยตา ข้าคงไม่มีวันเชื่อว่าพวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน”
คู่พี่น้องคู่นี้ ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์หรือนิสัยล้วนแตกต่างกันเกินไป
ฝั่งพี่สาวสวมอาภรณ์สะท้อนแสง ร่างอรชร เย็นชางดงามเจิดจรัส
น้องสาวสวมอาภรณ์หนังสัตว์เก่า ๆ รูปลักษณ์ผอมบางอ่อนแอ ผิวสีน้ำผึ้งเพราะต้องแดดลม กระทั่งผมของนางยังแห้งกระด้างเล็กน้อย
รูปลักษณ์เช่นนั้นกล่าวได้เพียงพอไปวัดไปวาได้ และเมื่อยืนข้างพี่สาว นางก็ดูจืดจางยิ่งนัก
ซูอี้เหลือบมองชายในอาภรณ์สีเงิน มิได้กล่าวอันใด
ทว่าในใจได้จัดคนผู้นี้เป็น ‘พวกไร้สมอง’ ไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งฉีเองก็คิดเหมือนกัน คิ้วของเขาย่นเล็กน้อย การที่เขากล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคู่พี่น้อง เกรงว่าพวกนางคงมิชอบใจนัก
จริงดังว่า อาหลียืนนิ่งเงียบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทว่าอาหนิงกล่าวขึ้นเสียงเย็น “น้องสาวของข้าอ่อนแอมาแต่เด็กและไม่เคยฝึกฝน ซ้ำยังลำบากยากเข็ญมากมายแต่ยามเยาว์ นางย่อมแตกต่างจากข้า แต่ภายหน้าเมื่อมีข้าอยู่ ข้าจะไม่ยอมให้นางต้องทุกข์ทนอีกแม้แต่น้อย”
ชายในชุดสีเงินตะลึงไป ตระหนักทันทีว่าตนพูดผิดไป ก่อนจะฉีกยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่หญิงกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง!”
ชายในชุดเกราะสีดำกล่าวยิ้ม ๆ “ศิษย์พี่หญิงโปรดอย่าถือสาศิษย์น้องเฉียนอวี่เลย เขามักพูดไม่คิดอยู่เสมอแหละ”
อาหนิงพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นก็หันไปคำนับซูอี้อย่างจริงจัง “ตลอดช่วงผ่านมานี้ ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ดูแลอาหลี!”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาหลีบอกพี่สาวของนางเกี่ยวกับซูอี้แล้ว
ซูอี้ว่า “อาหลีเคยช่วยชีวิตข้า การช่วยนางเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว อย่าได้เกรงใจเลย”
เขานั่งนิ่งไม่ขยับ ทำให้ชายในชุดสีเงินและชายในชุดเกราะดำขมวดคิ้ว คนผู้นี้มิมีสัมมาคารวะเลยหรือไร?
ทันใดนั้น ชายในชุดสีเงินก็ไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “สหายผู้นี้ ขอข้าแนะนำหน่อย นี่คือศิษย์พี่หญิงข้าอาหนิง ตอนนี้เป็นศิษย์หลักสำนักในของสำนักเซียนนภาหยก ตัวตนชั้นนำของคนรุ่นเยาว์ และศิษย์ใกล้ชิดของผู้อาวุโส ‘เซียนม่อฉือ’ สำนักเรา เป็นหนึ่งในผู้นำสิบอันดับแรกในแคว้นจิ่งแต่สามปีก่อนแล้ว!”
น้ำเสียงนั้นสุดแสนลำพอง
เฮือก!
เมิ่งฉีสูดหายใจเฮือก
ในแคว้นจิ่ง สำนักเซียนนภาหยกคือหนึ่งในเจ็ดสำนักเซียนสูงสุด มีมรดกโบราณอย่างยิ่ง และมีเซียนคุ้มสำนักมากมาย
ขุมกำลังวิถีเซียนในแคว้นจิ่งนั้นเป็นเช่นท้องนภา!
แม้เมิ่งฉีจะเป็นเพียงตาสีตาสาในหมู่บ้านลำธารเมฆา แต่ถึงอย่างไรเขาก็รอบรู้ อีกทั้ง ชื่อเสียงของสำนักเซียนนภาหยกยังโด่งดังเกินไป มีหรือเขาจะไม่รู้จัก?
และเพียงสิบปี อาหนิงก็สามารถสยบเหล่าศิษย์สำนักเซียนนภาหยก กลายเป็นตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่ชนรุ่นเยาว์ กระทั่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดแห่งเซียน นางต้องมีศักยภาพเจิดจรัสเพียงไรจึงเผยประกายเจิดจ้าเพียงนี้ได้?
“หมู่บ้านลำธารเมฆาของเรากำลังจะมีเซียนบังเกิดหรือ?”
เมิ่งฉีตื่นเต้นมือไม้สั่น ผู้เฒ่าในหมู่บ้านบางคนกระทั่งหลั่งน้ำตาอย่างปลื้มปีติ
อาหนิงส่ายหน้าน้อย ๆ และกล่าวว่า “ขอบเขตปัจจุบันของข้ายังห่างไกลจากวิถีเซียนมากนัก”
“ศิษย์พี่หญิงอย่าถ่อมตัวเลย ท่านก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์ในเวลาเพียงสิบปี ถูกยอมรับเป็นผู้เก่งกาจในสำนัก อย่าพูดเกี่ยวกับวิถีเซียนเลยขอรับ”
ชายในชุดสีเงินกล่าวยิ้ม ๆ
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับซูอี้อย่างเย้ยเยาะ “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าท่านมาจากสำนักใดหรือ? ข้าเคยพบศิษย์สำนักในของทั้งเจ็ดสำนักเซียนในแคว้นจิ่ง ทั้งสำนักเซียนเมฆาโปรย สำนักเต๋าแปรนิลกาฬ หุบเขาเทพเสียงสวรรค์ สำนักดาบอุดรยะเยือก ตำหนักเทพนภาม่วง สำนักเต๋าเคลื่อนวิญญาณและสำนักเซียนนภาหยกเราทั้งหมด”
“ทว่าไฉนจึงไม่เคยพบสหายเต๋าผู้หล่อเหลาเช่นนี้มาก่อน หรือว่า… จะมีที่มาอื่นกันหนอ?”
น้ำเสียงของเขาเจือความเย้าหยอก
การกระทำเช่นนี้ของเขาคือปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ จงใจยกยอซูอี้เพื่อหวังให้ซูอี้อับอาย
ทุกผู้เองก็มองมายังซูอี้
จวบยามนี้ เมิ่งฉี อาหลีและคนอื่น ๆ ยังไม่รู้ที่มาของซูอี้เลย
ทว่าผู้คนก็ต้องประหลาดใจเมื่อซูอี้เมินชายในชุดสีเงินไปสนิท และกล่าวว่า “อาหลี ข้าจะกลับไปก่อนนะ อย่าลืมมาฝึกฝนยามเย็นด้วย”
ชั่วขณะนี้ เขาจะสอนอาหลีฝึกฝนทุกเช้าเย็น
ในเรื่องการสั่งสอนวิถี ซูอี้มิเพียงเข้มงวดกับตนเองอย่างยิ่ง แต่ยังเป็นเช่นนั้นยามสอนอาหลีด้วย
จุดประสงค์นั้นง่ายดายยิ่ง นั่นก็เพราะท้ายที่สุดสาวน้อยผู้นี้ก็ช่วยชีวิตเขาไว้ และเขาย่อมต้องการช่วยให้นางมีพื้นฐานสู่วิถีฝึกฝนแข็งแกร่งที่สุด
“ช้าก่อน”
ก่อนซูอี้จะทันจาก อาหนิงพลันกล่าวว่า “ครานี้ ข้ากลับหมู่บ้านลำธารเมฆามาก็เพื่อพาน้องสาวข้าไปร่วม ‘ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา’ เพื่อค้นหาหน่อเซียนแก่นาง”
“และข้าจะจากไปวันนี้”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ดวงตาของอาหนิงก็วูบไหวเจือความคลุมเครือ กล่าวว่า “แต่น้องสาวข้าบอกว่านางต้องการขอความเห็นเจ้า”
ซูอี้ชะงักไป หันมองอาหลี
อาหลีรีบร้อนเดินไปหยิบก้อนถ่านเขียนลงบนหนังสัตว์ “พี่ซู พี่สาวข้าบอกว่าชุมนุมเซียนเจ็ดดาราจะจัดขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด และมีผู้ทรงอำนาจจากเจ็ดสำนักเซียนสูงสุดในแคว้นจิ่งมารวมตัวกัน เป็นเรื่องใหญ่มากในแคว้นจิ่ง”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากเจ้าอยากไป ข้าจะมิหยุดเจ้า”
อาหลีส่ายหน้า เขียนลงบนหนังสัตว์ ‘ไม่ ข้าอยากให้พี่ซูไปกับข้าด้วย ด้วยฝีมือพี่ซู ข้าจะได้ ‘หน่อเซียน’ แน่นอน!’
สาวน้อยใช้ดวงตากลมโตใสกระจ่างมองซูอี้อย่างคาดหวัง
ซูอี้ตะลึงไป หัวใจรู้สึกอบอุ่น
แม่หนูนี่ยังกังวลเกี่ยวกับการหาหน่อเซียนของตัวนาง หาได้ยากจริง ๆ!
ยามนี้ ชายในชุดสีเงินอดกล่าวมิได้ “แม่นางอาหลี ชุมนุมเซียนเจ็ดดาราเป็นชุมนุมเซียนสูงสุดในแคว้นจิ่ง กระทั่งเราทั้งหลายยังมิอาจพาคนไปเข้าร่วมมั่ว ๆ ได้นะ”
สื่อว่ามิต้องการพาซูอี้ไปด้วย!
อาหลีกัดริมฝีปาก เดินมาหาพี่สาวของนางอาหนิง และเขียนบนหนังสัตว์ว่า ‘พี่สาว หากพี่ซูมิไป งั้นข้าก็มิไปเหมือนกัน’
อาหนิงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวกับซูอี้ว่า “ท่านช่วยน้องสาวข้ามามาก เรื่องนี้จึงเป็นเหตุเป็นผล ข้ามิอาจปฏิเสธได้ หากท่านมิถือสา โปรดมากับเราเถิด”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ไฉนน้ำเสียงจึงเหมือนแสนเมตตาต่อเขานักเล่า?
ขณะที่เขากำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นสายตาคาดหวังของอาหลีเข้า ท้ายที่สุดจึงพยักหน้าให้อาหลี “ก็ได้ ข้าจะติดตามเจ้าไปสักประเดี๋ยว”
อาหลีพลันแย้มยิ้มแสนปรีดาจากใจ นัยน์ตางดงามกลมโตเยี่ยงจันทร์เสี้ยว
ซูอี้เองก็แย้มยิ้ม เขาใส่ใจเพียงอาหลี ส่วนผู้อื่นนั้น เขาคร้านเกินกว่าจะสนใจ
เห็นเช่นนี้ อาหนิงก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ มีท่าทีเหมือนอยากพูดบางอย่าง
ทว่าท้ายที่สุด นางก็ไม่ได้เอ่ยวจี ทำเพียงกล่าวตรง ๆ “ยามนี้อีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะถึงวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดแล้ว เราจะไปตอนนี้เลยเพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา”
………………..