บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1533: พิทักษ์หัวใจน้องสาว
ตอนที่ 1533: พิทักษ์หัวใจน้องสาว
เนื่องจากเวลากระชั้นชิด คนทุกผู้จึงตัดสินใจออกเดินทางในวันนั้น
ซูอี้ไร้สิ่งใดต้องเก็บ
อาหลีกลับที่พำนักและนำสัมภาระไปกับนางบางส่วน
พวกมันแทบทั้งหมดต่างเป็นของใช้ทั่วไป เช่นอาภรณ์เปลี่ยน ปิ่นไม้ หอกยาวเป็นต้น
ในหมู่พวกมันมีกระทั่งรองเท้าฟางสานใหม่ ๆ คู่หนึ่ง
ของเหล่านี้เป็นเพียงขยะในสายตาผู้ฝึกตนใด ๆ
อาหนิงแสนรวดร้าวไปชั่วขณะ น้องสาวของนางช่างทุกข์ทนเสมอมาจริง ๆ
“อาหลี ไม่ต้องนำของพวกนี้ไป พี่จะช่วยเจ้าซื้อของดี ๆ ให้เอง”
อาหนิงกล่าวอย่างนุ่มนวล
อาหลีนิ่งไป นางดูไม่เต็มใจ เขียนข้อความลงบนหนังสัตว์ ‘ทิ้งไปก็เสียดาย’
“ทิ้งมิได้จริง ๆ นั่นแหละ”
ซูอี้กล่าวขึ้น “เก็บไว้สิ จะดีที่สุด… เก็บไว้ชั่วชีวิตเลย”
น้ำเสียงของเขาสื่อความหมาย
อันที่จริงแล้ว สิ่งของทั่วไปเหล่านี้คือพยานหลักฐานถึงชีวิตอันรันทดของอาหลีในอดีต บรรจุความทรงจำตลอดหลายปีของนางไว้
การฝึกฝนวิถีเปรียบเหมือนพายเรือท่ามกลางมหาสมุทรไร้ขอบเขต ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่จะค่อย ๆ เสียหัวใจของตนไปในอำนาจ ความปรารถนา สมบัติ และความงามจนสิ้นความเป็นคน
ในสายตาซูอี้ ของที่อาหลีนำไปนั้นเป็นเช่นสมอเรือ!
ในภายหน้า เมื่ออาหลีเข้าสู่วิถีฝึกฝน ความทรงจำในสิ่งของเหล่านี้จะช่วยนาง มิให้เสียหัวใจดั้งเดิมของนางไป!
ซูอี้ก็เช่นกัน
เขาเก็บดาบทุกเล่มที่ใช้ในอดีตไว้กับตัว
ดาบเหล่านี้แม้ไม่อาจใช้ได้อยู่เนิ่นนาน ทว่าพวกมันเป็นเช่น ‘สมอ’ บนวิถีฝึกฝน ดังนั้นยามเขาก้าวผ่านวิถีต่าง ๆ ตลอดมา ความคิดของเขาจึงมิเคยออกนอกลู่นอกทาง!
โชคร้ายที่วาจาของซูอี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายที่แท้จริงเลยสักคน
มีเพียงอาหลีที่พยักหน้าอย่างยินดี ก่อนจะส่งรองเท้าสานให้กับซูอี้
ซูอี้มองขนาดรองเท้าฟางแล้วเข้าใจทันที “เจ้าสานมันให้ข้าหรือ?”
อาหลีพยักหน้าและเขียนบนหนังสัตว์ ‘รองเท้าฟางคู่นี้สานจาก ‘หญ้าไหมกำมะหยี่ทอง’ ยามข้ายังเด็ก ปู่ข้าเคยบอกว่าผู้ฝึกตนมากมายในเมืองชอบรองเท้าฟางแบบนี้ แต่ข้าไม่รู้ว่าพี่ซูจะชอบมันหรือไม่…’
สาวน้อยดูคาดหวังระคนกังวลเล็กน้อย ราวกับห่วงว่าซูอี้จะไม่ชอบมัน
ซูอี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรับรองเท้าฟางมาและกล่าวยิ้ม ๆ “นี่คือหนึ่งในของขวัญที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้รับมาเลย”
อาหลีถอนหายใจโล่งอก รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าน้อย
อาหนิงมองเรื่องทั้งหมดนี้จากข้าง ๆ คิ้วของนางอดขมวดเข้าหากันอีกครั้งมิได้
ทว่านางไม่ได้พูดอันใด
ท้ายที่สุด ภายใต้สายตาของเหล่าชาวบ้านหมู่บ้านลำธารเมฆา อาหนิงก็ใช้เรือสมบัติพาทุกผู้ทะยานเวหาจากไป
“หมู่บ้านลำธารเมฆาของข้าช่างโชคดี มิเพียงได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสซู กระทั่งแม่หนูอาหนิงยังได้เป็นผู้ทรงอำนาจในแคว้นจิ่งด้วย!
เมิ่งฉีรำพึง
……
ภายใต้ท้องนภา เรือสมบัติลำหนึ่งล่องล้อเมฆารวดเร็วยิ่ง
เรือสมบัติลำนี้มีพื้นที่พิเศษเฉพาะ มีห้องหับศาลามากมาย
ในห้องหนึ่ง
ซูอี้ทอดกายเกียจคร้านในเก้าอี้หวาย
สำหรับเขา มีสามสิ่งต้องทำก่อนมุ่งหน้าสู่ขุนเขากวางขาว
หนึ่งคือช่วยอาหลีให้พูดได้อีกครั้ง
หาไม่ ซูอี้จะช่วยจัดหาวาสนาอันดีแก่นาง
สามคือฟื้นการฝึกฝนของเขาเอง!
ในหมู่สามเรื่อง การฟื้นอำนาจฝึกฝนของเขาสำคัญสูงสุด เพราะยากที่จะทำอาหารโดยไม่ใช้ข้าว หากเขาฟื้นการฝึกฝนได้ เขาก็ช่วยอาหลีให้พ้นจากโรคโง่ ๆ นี่ได้ง่าย ๆ!
‘ท้ายที่สุด หากจะพึ่งเพียงการฟื้นตัวของข้าเองก็ช้าเกินไป ต่อจากนี้ข้าต้องมองหาสมบัติแห่งฟ้าดินเข้าไว้ หวังว่าจะเจอวัตถุประหลาดเช่น ‘ผลเซียนแปรวิถี’ นะ’
ซูอี้ครุ่นคิด
ระหว่างนี้ บาดแผลทางกายของเขาฟื้นตัวนานแล้ว
ทว่าบาดแผลภายในของเขายังคงร้ายแรงยิ่งนัก
โดยเฉพาะอำนาจที่มาขอบเขตราชันเซียนซึ่งอัดแน่นเต็มร่างของเขา มันยากจะไล่ไปได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ทำให้การฟื้นตัวอำนาจฝึกฝนของเขาไร้สัญญาณฟื้นคืนจวบยามนี้
เมื่อไร้อำนาจฝึกฝน ซูอี้ก็ไม่อาจนำสมบัติทั้งหลายในจิตทารกของเขาออกมาได้ เช่นดาบแห่งโลกา เตาเสริมสวรรค์และอื่น ๆ
ดังนั้น สำหรับซูอี้ เรื่องด่วนสูงสุดคือกำจัดอำนาจราชันเซียนเหล่านั้นก่อน!
สมบัติฟ้าดินอันแสนหายากอย่าง ‘ผลเซียนแปรวิถี’ นั้นสามารถเผยสรรพคุณเหลือเชื่อยามชะล้างอำนาจราชันเซียนในร่าง
แน่นอน ซูอี้ยังมีวิถีอันตรงไปตรงมาแต่ได้ผลกว่านั้นอยู่
นั่นคือหาเซียนสตรีในวิถีเซียนสักผู้มาฝึกฝนคู่!
และเขาก็จะสามารถกำจัดอำนาจราชันเซียนจากการฝึกคู่ได้
ส่วนเซียนสตรีผู้นั้นจะได้โอกาสหล่อหลอมพลังขอบเขตราชันเซียน ซึ่งกล่าวได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ผงะไปแล้วทิ้งความคิดเสีย
ยามนี้จะไปหาเซียนสตรีผู้สามารถฝึกฝนคู่กับเขาได้ที่ไหนกัน?
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…
เรือสมบัติโผนทะยาน
ระหว่างทาง อาหลีจะมาฟังซูอี้พร่ำสอนวิถีเต๋าอยู่เรื่อย ๆ
ซูอี้เองก็ได้รู้ว่าชายชุดสีเงิน ‘ไร้สมอง’ มีนามว่าเฉียนอวี่ ส่วนชายในชุดเกราะดำมีนามว่าฉางเล่อสิง
พวกเขาล้วนแต่เป็นศิษย์หลักในสำนักเซียนนภาหยกเหมือนอาหนิง และเป็นศิษย์น้องของนาง
ยามนี้ พวกเขาล้วนกำลังไปร่วม ‘ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา’
‘ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา’ ที่ว่านั้นถูกจัดขึ้นทุกสิบปี มีเจ็ดขุมกำลังวิถีเซียนในแคว้นจิ่งหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพ
ข้อจำกัดของชุมนุมเซียนเจ็ดดารานี้สูงยิ่ง ทุกครั้งที่จัดขึ้นล้วนเป็นที่สนใจของเหล่าผู้ฝึกตนทั่วแคว้นจิ่ง
ในงานชุมนุม ศิษย์หลักของเจ็ดขุมกำลังสูงสุดวิถีเซียนจะแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อเฟ้นหาสิบอันดับแรก
แต่ละลำดับจะได้รับรางวัลแตกต่างกันไป
นอกจากนั้น ในชุมนุมเซียนเจ็ดดารายังมีการคัดเลือก ‘หน่อเซียน’ กันอีกด้วย
‘หน่อเซียน’ ที่ว่านั้นคือผู้เยาว์อันมีศักยภาพโดดเด่น รากฐานสูงส่งฝีมือล้ำเลิศ
หนุ่มสาวในแคว้นจิ่งผู้อายุไม่ถึงสิบหกจะถูกคัดกรองพิจารณาเป็นชั้น ๆ เพื่อแข่งขันชิงโอกาสเป็น ‘หน่อเซียน’ กัน
ทว่าท้ายที่สุด ผู้ชนะก็มีได้เพียงเจ็ด ดังนั้นการแข่งขันจึงดุเดือดอย่างยิ่ง
อาหนิง เฉียนอวี่และฉางเล่อสิงไปยังชุมนุมเซียนเจ็ดดาราหนนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนศิษย์หลักของสำนักเซียนนภาหยกเพื่อเข้าร่วมการประลองระหว่างศิษย์หลักเจ็ดขุมกำลังเซียนสูงสุด
เรื่องนี้ ซูอี้หาสนใจไม่
งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้หาพบได้ทุกที่ในโลกเซียน มิได้หายากเลย
ก่อนยุคอวสานเซียนมาถึง งานเลี้ยงอันกล่าวได้ว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญทั่วโลกเซียนนั้นรวมถึงงานเลี้ยงลูกท้อของศาลเซียนรวมศูนย์ และ ‘งานเลี้ยงราตรีจอมเซียน’ ซึ่งสามสุขาวดีแห่งหุบเขาปู้โจวจัดขึ้นเป็นต้น
เทียบกันแล้ว ‘ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา’ แห่งแคว้นจิ่งนี้ดูเงื่อนไขสูงส่ง ทว่ามันมุ่งเป้าเพียงที่ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ แม้ชื่อจะยิ่งใหญ่ใช้คำว่า ‘เซียน’ ทว่าหาเกี่ยวข้องกับวิถีเซียนไม่
และต้องทราบว่างานเลี้ยงลูกท้อของศาลเซียนรวมศูนย์ หากไม่ได้รับบัตรเชิญ กระทั่งตัวตนระดับราชันเซียนหรือมหาเซียนอื่นใดก็มิได้โอกาสไปยังงานเลี้ยงเลย!
ทว่าหลังได้รู้เกี่ยวกับชุมนุมเซียนเจ็ดดารา ซูอี้ก็คาดไว้ว่าอาหนิงต้องการให้น้องสาวของนางอาหลีไปชิงโอกาสเป็น ‘หน่อเซียน’ ผู้หนึ่ง
ซูอี้กำลังทำสมาธิในห้อง ขณะที่อาหนิงพลันมาเยือนกะทันหัน
เมื่อเห็นซูอี้ สตรีผู้เย็นชาเยี่ยงหิมะก็เงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นกะทันหัน “ซูอี้ เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ยามนี้ ดวงตาของนางเย็นเยียบเยี่ยงดาบคม!
ซูอี้หาสนใจไม่ เขาทอดกายบนเก้าอี้หวาย ถือไหสุรากล่าวอย่างใจลอย “หากข้าบอกว่าข้าคือเซียนอันดับหนึ่งในวิถีดาบ ปราบทั่วสวรรค์แห่งโลกเซียนนี้มาก่อน เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
อาหนิงขมวดคิ้วกล่าว “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อคุยเล่นกับเจ้านะ”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “งั้นเจ้าก็ว่าเจตนามาตรง ๆ เลย”
อาหนิงกล่าวด้วยดวงตาเย็นชา “ที่มาของเจ้าแปลกประหลาด ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเจตนาและที่มาเช่นไร แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ห่างจากน้องสาวข้าในภายหน้า”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้าเข้าใจได้ว่าเจ้าคำนึงถึงน้องสาวเจ้าอาหลี แต่ข้าบอกได้เพียงว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว”
“ข้าคิดมากไป?”
เห็นได้ชัดว่าอาหนิงมิชอบใจเล็กน้อย แค่ยังอดทนกล่าวว่า “อาหลียังเด็ก นางมิเคยเผชิญโลก และข้า ในฐานะพี่สาว ต้องช่วยนางบ้าง ข้าก็รู้ดีมากว่าศักยภาพการฝึกฝนของนางหาดีไม่ แต่เจ้าเล่า หากไร้จุดประสงค์แอบแฝง ไฉนต้องเป็นฝ่ายเข้าหา สอนเคล็ดวิชาฝึกฝนแก่นางด้วย?”
ซูอี้กล่าวอย่างสนใจ “งั้นเจ้าคิดว่าข้ามีเจตนาเช่นไร?”
ท้ายที่สุด อาหนิงก็แค่นเสียงเย็นชาอย่างเหลือทน “รู้แล้วยังถามอีก? เจ้าอยากให้ข้าเอาความลับดำมืดของเจ้ามาเผยหรือไร?”
ซูอี้อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยแววตาพิกล “เจ้าคิดว่าข้าเข้าหาอาหลีเพื่อหาโอกาสเข้าหาเจ้าหรือไร?”
อาหนิงกล่าวอย่างเย็นชา “ยอมรับออกมาเองแล้วหรือ?”
นางไม่คุ้นชินกับอากัปกิริยาเรื่อยเฉื่อยของซูอี้อย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามสนทนา อีกฝ่ายมักให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งเล็กน้อยอยู่เสมอ
เรื่องนี้ทำให้อาหนิงรู้สึกไม่สบายใจ
ทว่าซูอี้กลับมีสีหน้าตะลึงงันและกล่าวออกมาว่า “เจ้าคิดมากไปแล้วจริง ๆ ว่ากันตามตรง ข้าหามีความคิดใดเกี่ยวกับเจ้าไม่ เจ้าวางใจเรื่องนี้ได้เลย”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวว่า “แต่ที่เจ้าเพิ่งพูดนั้นถูกต้อง ศักยภาพฝึกฝนของอาหลีดาษดื่นจริง ๆ และอ่อนด้อยกว่าเจ้ามาก”
“แต่ขอเพียงมีข้าอยู่ ชะตาของนางจะได้เจิดจรัสบนวิถีทั่วโลกเซียน และภายหน้า นางจะไม่แค่ได้เป็นเซียน แต่การบรรลุความสำเร็จยิ่งใหญ่ในวิถีเซียนยังมิใช่ปัญหา!”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบราวบรรยายเรื่องทั่วไป
ทว่าอาหนิงอดยิ้มเยาะมิได้ คร้านเกินกว่าจะโต้เถียง
นางถูกเซียนเลือกตัวไปเป็นศิษย์แต่ยังเด็ก ก้าวสู่วิถีราชันแห่งภูมิในไม่ถึงสิบปี ศักยภาพของนางนับได้ว่าเป็นผู้เลิศล้ำหายากในชั่วพันปีทั่วแคว้นจิ่ง!
เพราะเหตุนี้เอง นางจึงเข้าใจว่าน้องสาวของนาง อาหลี่นั้นจะประสบความสำเร็จบางอย่างบนวิถีได้ยากเย็นเพียงไร
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับพูดว่าภายใต้การชี้นำของเขา อาหลีจะเรืองประกายเจิดจรัสทั่วโลกเซียน กระทั่งบรรลุผลสำเร็จมหาศาลในวิถีเซียน ณ ภายหน้า!
เพ้อเจ้อสิ้นดี!
ท้ายที่สุด อาหนิงก็ดูจะลุกขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด หันหลังจากไป ทิ้งวาจาเดียวไว้ในโสตซูอี้
“ข้าพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ภายหน้าโปรดดูแลตนเอง จะดีที่สุดหากจะคิดให้ดีสักหน่อยก่อนกล่าววาจา หาไม่ ข้ารับประกันว่าเจ้าจะต้องชดใช้อย่างเกินตัวเป็นแน่แท้!”
หลังอาหนิงจากไป ซูอี้ก็จิบสุราด้วยหัวใจขุ่นมัว
เขามิได้โกรธ
แค่รู้สึก… ไร้สาระไปสักหน่อย