บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1534: นครเซียนเทียนติ่ง
ตอนที่ 1534: นครเซียนเทียนติ่ง
หลังจากคุยกันวันนั้น อาหนิงก็มิเคยมาพบซูอี้อีก
สองศิษย์หลักแห่งสำนักเซียนนภาหยก เฉียนอวี่และฉางเล่อสิงยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาไม่มองซูอี้และมิใส่ใจเขาด้วยซ้ำ
มีเพียงอาหลีที่มาฟังคำสอนวิถีของซูอี้ทุกเช้าเย็นเช่นกาลก่อน
เรือสมบัติออกเดินทางมาได้เจ็ดวันแล้ว
เย็นวันนั้น ขณะที่ซูอี้กำลังจะสอนอาหลีฝึกฝนอยู่นั้นเอง เขาก็พบว่าสีหน้าของสาวน้อยปรากฏความเศร้าหมอง ซึ่งสื่อถึงสภาพจิตใจของนางอย่างชัดเจน
“ไป เจ้าไปพักข้างนอกเถอะ”
ซูอี้ลุกขึ้น เดินมายังกราบเรือสมบัติ
หญิงสาวเดินตามไป
ตะวันอัสดงสาดสีเยี่ยงเปลวเพลิง วายุโหยหวนกระโชก
มองแล้วเหมือนบรรพตลำธารทั้งหลายล้วนอยู่ใต้เท้า
ซูอี้มิได้พูดอันใด ทว่าอาหลีอดเขียนบนแผ่นหนังสัตว์มิได้ ‘พี่ซู พี่สาวข้าบอกว่าข้าจะไม่ได้พบกับท่านอีกในภายหน้า แต่ข้ามิเห็นด้วยกับนาง’
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว ว่าแล้วเชียว อาหนิงไม่มายุ่งกับเขา แต่เลือกจะเริ่มจากอาหลีแทน
หญิงสาวส่ายศีรษะน้อย ๆ ของนางอย่างอัดอั้น และเขียนต่อว่า ‘พี่ซู ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ยามข้าอยู่กับพี่สาว ข้ารู้สึกเก้งก้างหวาดกลัว ต้องคอยสงวนท่าที แม้จะรู้ว่านางคิดถึงข้าทุกเรื่องก็เถอะ แต่ข้า…แต่ข้าก็รู้สึกเพียงแรงกดดัน มิกล้าเปิดใจคุยกับนางด้วยซ้ำ’
ดวงตาของชายหนุ่มวูบไหวอย่างสงสาร ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้ากับพี่สาวห่างกันแต่ยังเล็ก มิได้พบกันมาสิบปี นางละอายที่ได้เห็นเจ้าใช้ชีวิตแสนแร้นแค้น จึงอยากชดเชยให้เจ้า ทว่านางพยายามอย่างหนักและกระอักกระอ่วนเกินไป มันจึงทำให้เจ้ารู้สึกกดดันเสียแทน”
อาหลีดูครุ่นคิด ‘อย่างนี้นี่เอง’
นางเขียนบนหนังสัตว์ทันที ‘พี่ซู พี่สาวข้าบอกมา ศักยภาพการฝึกตนของข้า… ดาษดื่นจริง ๆ หรือ?’
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “จริงแท้ ทว่าวิถีฝึกตนนั้นมิอาจนำศักยภาพ แก่นกระดูก และมรดกใด ๆ จะมาตัดสินอนาคตคนได้”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวด้วยดวงตาอันวูบไหวแววดูแคลน “ข้ากล้ารับประกันว่าในภายหน้า เจ้าจะได้เถลิงสู่เก้าชั้นสรวง เพียงพอจะประชันกับอัจฉริยะอันเจิดจรัสสูงสุดในโลกหล้า สร้างตำนานของเจ้าเอง!”
คู่เนตรกลมโตเจิดจรัสของอาหลีเรืองประกาย ก้มลงเขียนแผ่นหนังสัตว์ทันใด ‘พี่ซู พี่กำลังปลอบข้าอยู่หรือไม่?’
ซูอี้อดยิ้มมิได้ “ไม่เลย ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ก็แค่คนสายตาสั้น หารู้ไม่ว่าสิ่งที่กำหนดวิถีคนหาใช่ความสามารถและรากฐานใด ๆ แต่เป็นความมานะ ความกล้าและความคิดต่างหาก!”
“ท้องนภานั้นกว้างใหญ่ ผู้เจริญด้วยพรสวรรค์เป็นเช่นปลาหลีข้ามธารที่ปรากฏขึ้นตาม ๆ กัน ส่วนผู้มีศักยภาพเด่นล้ำก็เหลือคณานับเยี่ยงดวงดาราเหนือสรวง อย่าว่าแต่เหล่าบุตรศักดิ์สิทธิ์กุมชะตาทั้งหลายที่เกิดขึ้นพร้อมวาสนาสูงส่งเหล่านั้นเลย”
“ทว่าผู้สามารถไปจนสุดวิถีได้โดยแท้จริงนั้น บ่อยครั้งมักจะเป็นผู้มีมานะพยายาม กล้าหาญและมีหัวใจแข็งกล้าเยี่ยงเหล็ก!”
ดวงตาของชายหนุ่มเรืองประกาย น้ำเสียงของเขาหนักแน่น “ผู้มีความมานะสามารถใช้หยดน้ำสลายศิลาตามกาลได้ แม้เดิมทีพวกเขาจะโอนอ่อนเยี่ยงใบหญ้า แต่สักวัน พวกเขาจะสามารถสะบั้นสวรรค์ผ่าดวงดาวได้”
“ผู้มีความกล้าหาญหาสนใจเกียรติภูมิอัปยศชั่วประเดี๋ยวไม่ มิสนใจลาภยศชั่วคราว และก้าวข้ามอุปสรรคบนวิถีฝึกฝน ทวีความกล้าหาญของเขา”
“ผู้มีความคิดที่ไม่อาจทำลายลงได้ สรรพสิ่งจะมิอาจกั้นขวาง หากยึดมั่นกับวิถีก็คือผู้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่!”
ว่าแล้ว ซูอี้ก็กล่าวกับอาหลี “หากมีทั้งสามสิ่งนี้ แม้เจ้าจะดาษดื่นทั่วไป แต่ความคิดเป็นเช่นหงส์ซุ่ม เจ้าจะได้อาบเพลิง เจิดจรัสในวิถีอย่างแน่นอน!”
วาจาของซูอี้เป็นเช่นตัวจุดประกาย สลักอยู่ในหัวใจของสาวน้อยอย่างเงียบงัน
สักวัน เพลิงนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นหงส์เพลิง อาบเพลิงเกิดใหม่ แผดเผาท้องนภา!
ในเรือสมบัติ
เงาร่างงามร่างหนึ่งยืนอยู่ นางคืออาหนิง
“ความคิด ความกล้าและความมานะ… หากหัวใจมีเจตนาแห่งหงส์ ก็จะได้อาบเพลิงเกิดใหม่?”
อาหนิงพึมพำในใจ “แม้ชายผู้นี้จะมีที่มาประหลาด เจตนาเกินหยั่ง แต่วาจาของเขาเลิศล้ำ”
ทันใดนั้น ในใจของนางก็มีความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
นางมิคาดเลยว่าการกระทำของนางจะกดดันน้องสาวเพียงนี้
ไม่คาดเลยว่าคนนอกอย่างซูอี้จะมองเห็นความปรารถนาอยากชดเชยให้น้องสาวของนางได้…
“หากคนผู้นี้ไร้เจตนาแอบแฝงจริง ๆ ก็คงดี”
อาหนิงรำพันเบา ๆ นางอดระแวงซูอี้ผู้มีภูมิหลังประหลาดมิได้
ไม่นานนัก นางก็หันหลังจากไปเงียบ ๆ
“ความมานะ? กล้าหาญ? ความคิด? ฮ่า ๆๆ หากไร้ศักยภาพฝึกฝน ชั่วชีวิตก็ทำได้เพียงหยุดอยู่บนวิถีเท่านั้นแหละ มีหรือจะสำเร็จยิ่งใหญ่ในภายหน้า?”
บนดาดฟ้าเรือ เฉียนอวี่กับฉางเล่อสิงเดินออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ยินคำพูดของซูอี้เมื่อครู่ วาจานั้นเปี่ยมความความเหยียดหยาม
“ว่าไปเช่นนั้น เจ้าจะช่วยแม่นางอาหลีเช่นไรได้? แค่ปั้นแต่งคำสวยหรูมาหลอกสาวน้อยสิไม่ว่า”
ฉางเล่อสิงแค่นเสียงเยาะอย่างเย็นชา
ทั้งสองทิ้งวาจาไว้ ก่อนจะจากไปอย่างสดชื่น
เผยท่าทีคร้านเกินกว่าจะเสวนา
หญิงสาวพลันเดือดดาล คู่หัตถ์หยกกำหากัน
ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “อย่าสนใจพวกเขาเลย กบในกะลาหารู้ความไพศาลแห่งท้องนภาไม่”
ในสายตาเขา ใส่ใจเพียงอาหลีเท่านั้น
ตัวตนเช่นเฉียนอวี่กับฉางเล่อสิงนั้นไร้คุณสมบัติให้เขาชายตาแล และย่อมมิโกรธไปกับพวกเขา
‘พรุ่งนี้น่าจะไปถึงนครเซียนเทียนติ่งได้แล้ว หวังว่าข้าจะหาสมบัติแห่งฟ้าดินที่ต้องการได้นะ…’
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาไม่คาดเลยว่าในคืนนั้น อาหนิงจะมาหาเขาอีก
“ข้าจะใช้เส้นสายของอาจารย์ช่วยเจ้าให้ได้เข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดารา ไม่ว่าท้ายที่สุดเจ้าจะได้เป็นหน่อเซียนหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าแล้ว”
“ในชุมนุมเซียนเจ็ดดารา ผู้เยาว์ในขุมกำลังเซียนทั้งเจ็ดรวมตัว เจ้าต้องระวังในยามนั้น หากล่วงเกินตัวตนชั้นนำในขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นเข้า กระทั่งข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
เมื่อกล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
ซูอี้ตะลึง ใครบอกกันว่าเขาจะเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดาราอันใดนั่น?
ทันใดนั้น เขาก็พอเข้าใจว่าอาหลีต้องรบเร้าพี่สาวนางเป็นแน่ เพราะถึงอย่างไร สาวน้อยผู้นี้ก็เคยกล่าวไว้ว่าเหตุผลที่นางอยากให้เขามาด้วยก็เพื่อชิงหน่อเซียนให้กับนาง
อันที่จริง ครานี้ซูอี้คิดผิด
อาหลีเคยมารบเร้าพี่สาวนางแล้วจริง ๆ ทว่าทีแรกอาหนิงปฏิเสธ
และที่หญิงสาวเปลี่ยนความคิดในวันนี้ก็เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวกับอาหลีที่กราบเรือ…
แน่นอนว่า ต่อให้เขารู้ ซูอี้ก็คงทำเพียงยิ้มอย่างไม่ถือสา
……
วันถัดมา
พวกเขามาถึงนครเซียนเทียนติ่งแล้ว!
นครเซียนเทียนติ่งนับได้ว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในแคว้นจิ่งซึ่งอยู่ในเขตแดนของสำนักดาบอุดรยะเยือก ซึ่
เป็นหนึ่งในเจ็ดขุมกำลังสูงสุดแห่งแคว้นจิ่ง
ชุมนุมเซียนเจ็ดดาราในหนนี้ สำนักดาบอุดรยะเยือกก็เป็นเจ้าภาพ
นครเซียนเทียนติ่งนั้นรุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างยิ่ง เพียงขนาดเมืองก็เทียบได้กับอาณาจักรเล็ก ๆ ในโลกมนุษย์แล้ว!
เมื่อพวกซูอี้มาถึง ชั่วกาลก็ใกล้ย่ำเย็น เมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินเบียดเสียด
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงหารืออย่างออกรสเกี่ยวกับ ‘ชุมนุมเซียนเจ็ดดารา’
ทั้งผู้เยาว์เลิศล้ำจากเจ็ดสำนักเซียน ทั้งสิ่งที่สิบอันดับแรกจะได้รับต่างเป็นที่สนใจอย่างยิ่ง
แม้ซูอี้จะไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย เขาก็ยังได้รู้จากสิ่งรอบข้างถึงเรื่องมากมายเกี่ยวกับชุมนุมเซียนเจ็ดดาราอยู่ดี
และเห็นเช่นนี้ก็กล่าวได้ว่าชุมนุมเซียนเจ็ดดาราได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม
อาหลีใช้ชีวิตในป่าเขาห่างไกลตั้งแต่ยังเยาว์ มิเคยได้พบพานเมืองใหญ่อันคลาคล่ำ ระหว่างทางนางจึงกระมิดกระเมี้ยนอย่างมาก แต่ก็ดูตื่นเต้นและสงสัย
ซูอี้มีประสบการณ์และความทรงจำของหวังเย่ ซึ่งชาชินกับเรื่องเหล่านี้มาช้านาน
ทว่าเมื่อมายังโลกเซียนในยามนี้ และเข้าสู่เมืองเซียนระดับสูงสุด ซูอี้เองก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน
เพราะในที่เช่นนี้ มักจะหมายความว่าเขาจะซื้อสมบัติเลิศเลอที่ต้องการได้!
ในฐานะเจ้าภาพ สำนักดาบอุดรยะเยือกได้จัดที่พำนักเอาไว้ให้ยอดฝีมือจากขุมกำลังหลักอื่น ๆ ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดาราในครั้งนี้แล้ว
ไม่นานนัก อาหนิงก็นำทุกผู้ไปยังคฤหาสน์โบราณแห่งหนึ่ง
ที่นั่นมีผู้ทรงอำนาจบางคนจากสำนักเซียนนภาหยกรออยู่แล้ว และเมื่อพวกซูอี้มาถึง พวกเขาก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับให้ทันที
ทว่าในงานเลี้ยง เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มถูกลดตัวตนเหลือเพียงผู้ติดตาม แม้จะไม่ถูกละเลย แต่ผู้ที่สนใจเขาก็ไม่มากนัก
ซูอี้เองก็ผ่อนคลายยิ่ง
ในงานเลี้ยง เขาได้รู้ว่าวันรุ่งขึ้น อาหนิงจะพาน้องสาว อาหลีไปยังสนามเต๋าแห่งหนึ่งในนครเซียนเทียนติ่งเพื่อเข้าร่วมการประเมิน
หากผ่านการประเมินมาได้ นางจะได้โอกาสต่อสู้ชิงโอกาสเป็น ‘หน่อเซียน’ ในชุมนุมเซียนเจ็ดดารา
ในสามวัน ชุมนุมเซียนเจ็ดดาราจะถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทว่าซูอี้หาได้สนใจเรื่องนี้ไม่
หลังมาถึงนครเซียนเทียนติ่ง เขามีแผนอื่นอยู่!
คืนนั้นหลังงานเลี้ยง เจ้าหน้าที่ได้พาซูอี้กลับห้องที่เตรียมไว้
หลังจากพักผ่อนสั้น ๆ ชายหนุ่มก็จากไป
“เขาไปคนเดียวหรือ?”
หลังซูอี้จากไปไม่นานนัก อาหนิงก็ได้ข่าว
นางขมวดคิ้ว ยามวิกาลเช่นนี้ คนผู้นี้จะออกไปทำการใดกัน?
หรือจะบอกว่าที่เข้ามาตีซี้กับอาหลี เพราะเขามีจุดประสงค์แอบแฝงเช่นที่นางระแวงจริง ๆ หรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ อาหนิงก็ออกคำสั่ง “ศิษย์น้องฉาง ไปจับตามองเขาไว้ว่าเขาไปหนใด และติดต่อกับใครบ้าง”
ฉางเล่อสิงว่า “ศิษย์พี่หญิง หากพบว่าเขาทำสิ่งใดมิชอบมาพากล จะให้กำจัดทันทีเลยหรือไม่? ข้าไม่อยากให้มีคนชั่วอยู่ในหมู่เรา”
อาหนิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าดูแค่ว่าเขาทำอันใดบ้างก็พอแล้ว อย่าลงมือนะ”
ฉางเล่อสิงพยักหน้าและหันหลังจากไป
‘หวังว่าข้าจะคิดไปเองเฉย ๆ นะ…’
อาหนิงครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน… บนถนนอันคลาคล่ำในนครเซียนเทียนติ่ง แสงสว่างเรืองเรียงเยี่ยงมังกร ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัด
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลังขณะเดินบนถนน นาน ๆ ครั้งจะเห็นร่องรอยเซียน
ต้องกล่าวว่านครเซียนเทียนติ่งรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ทัศนียภาพเรืองรองเพียงพอให้ผู้คนเดินชมอ้อยอิ่ง
ทว่าซูอี้ปวดเศียรอยู่
เพราะเขาพลันตระหนักเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งขึ้นได้ หากต้องการซื้อสมบัติแห่งฟ้าดินที่หมายตา ประการแรกต้องมีเงินก่อน
ทว่าการฝึกฝนของเขายังมิฟื้นคืน ไม่อาจหยิบสมบัติที่ซ่อนอยู่ในจิตทารกในร่างเขาออกมาได้
กล่าวคือ ยามนี้เขาจนสนิทไร้เงินสักแดงเดียว!