บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1538: อาหารสมอง
ตอนที่ 1538: อาหารสมอง
ค่ำคืนลึกล้ำเยี่ยงก้นธาร
บนถนน ฉางเล่อสิงจับจ้องประตูหอน้อยสมปรารถนา รอคอยอย่างหงุดหงิดขึ้นทุกขณะ
คืนนี้ เขาทำตามคำสั่งศิษย์พี่หญิงอาหนิง แอบสะกดรอยตามซูอี้มา
แต่ใครเล่าจะคิดว่าซูอี้จะแค่ออกจ่ายตลาด เดินร่อนไร้จุดหมายในเมือง และจวบยามนั้น เขาก็แค่เข้าไปในหอบุหลันฟ้าชั่วครู่หนึ่ง
จากนั้นก็เข้าไปในหอน้อยสมปรารถนา มิได้ออกมาอีก
“หรือหอน้อยสมปรารถนานี้จะเป็นขุมกำลังเบื้องหลังซูอี้ผู้นั้น?”
“เจ้าเด็กนี่คิดร้าย เข้าหาแม่นางอาหลีตั้งแต่ในหมู่บ้านลำธารเมฆ เห็นได้ชัดว่าอยากใช้อาหลีเป็นข้ออ้างสร้างสัมพันธ์กับศิษย์พี่หญิงอาหนิง!”
“แต่ข้าก็ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์สูงสุดของเขาคือสิ่งใด…”
“ไม่ว่าจุดประสงค์ของเขาจะเป็นเช่นไร หากเขากล้าทำเรื่องไม่ดีไม่งาม เขาจะมิถูกละเว้น!”
“ข้ารอต่อไม่ไหวแล้ว ต้องสืบเรื่องของหอน้อยสมปรารถนานี้ก่อน”
เมื่อคิดเช่นนั้น ฉางเล่อสิงก็เดินไปยังหอน้อยสมปรารถนา
“ท่านมีนัดหมายไว้หรือไม่?”
บริกรชายผู้หนึ่งถามอย่างสุภาพ
“หอน้อยสมปรารถนาของพวกเจ้ายังต้องนัดหมายล่วงหน้าด้วยหรือ?”
ฉางเล่อสิงตะลึง
หัวใจของเขารวนเร คนแซ่ซูผู้นั้นเพิ่งมาถึงนครเซียนเทียนติ่งกับพวกเขาวันนี้ แต่กลับเข้าไปในหอได้ทันที!
ผิดปกติเกินไป
ต้องมีปัญหาอยู่ในนี้!
“ถูกต้อง ผู้อยู่อาศัยเก่าก่อนในนครเซียนเทียนติ่งนี้ล้วนรู้ดีว่าหากจะมาเป็นแขกในหอน้อยสมปรารถนาของข้า ต้องนัดหมายไว้ล่วงหน้าสามวันขอรับ”
บริกรชายอธิบาย
ฉางเล่อสิงครุ่นคิดสักพักและกล่าวว่า “งั้นขอบังอาจถาม หอน้อยสมปรารถนาของพวกเจ้าทำอันใด?”
บริกรชายกล่าวอย่างขอโทษขอโพย “มิอาจบอกได้”
“ผู้รับผิดชอบพวกเจ้าเป็นใคร?”
“มิอาจบอกได้”
ใบหน้าของฉางเล่อสิงดำคล้ำ
ในที่สุดเขาก็เห็นว่า ไม่ว่าตนจะถามอันใด บริกรก็ตอบมิได้!
ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้นเอง หัวใจของเขาก็พลันนึกเรื่องหนึ่งได้ “บอกเจ้าตามตรง ข้ามากับแขกผู้เพิ่งเข้าไปในหอน้อยสมปรารถนากับเจ้าก่อนหน้านี้ เขาเป็น… เอ่อ เป็นสหายรักข้าเอง!”
บริกรชายสะดุ้ง “จริงหรือ?”
ฉางเล่อสิงแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ในฐานะศิษย์หลักผู้หนึ่งจากสำนักเซียนนภาหยก ข้ายังต้องหลอกพวกเจ้าอีกหรือ? หากพาเจ้าของที่นี่มาไม่ได้ ก็พาผู้ที่มาได้มาสิ อย่าดูถูกกันนะ!”
บริกรชายกล่าวอย่างสุภาพ “ขอท่านรอสักครู่”
เขาหันหลังจากไป
ไม่นานนัก เยว่หนิง สตรีในชุดชาววังก็มา
นางพินิจมองฉางเล่อสิงหัวจรดเท้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวว่า “ท่านอ้างว่าท่านและผู้อาวุโสท่านนั้นเป็น… สหายรักกันหรือ?”
ผู้อาวุโสไหน?
ฉางเล่อสิงตะลึงไป ก่อนจะคืนสติทันทีและตอบรับอย่างครุมเครือ “ถูกต้อง!”
เยว่หนิงแย้มยิ้มกล่าว “เจ้าโกหก”
ผู้อาวุโสท่านนั้นคือผู้ไขปริศนาอันสูงส่ง ทำให้ทั้งใต้เท้าชิงเวยและท่านอาจารย์พินอบพิเทา มีหรือจะเป็นสหายรักกับตัวตนราชันแห่งภูมิเล็กจ้อย?
เมื่อเผชิญสายตาพินิจละเอียดอ่อนของเยว่หนิง ฉางเล่อสิงก็ตัวแข็งทื่อ และกล่าวอย่างสุขุม “ไฉนข้าต้องโกหกเจ้าด้วย เขาชื่อซูอี้ หากเจ้าให้เขาออกมา เขาจำข้าได้แน่!”
ท้ายที่สุด ฉางเล่อสิงก็เสียใจเล็กน้อย
หากที่นี่เป็นถ้ำพยัคฆ์รังมังกร เขาเข้าไปมิจบเห่หรือ?
“ไฉนมิเข้ามาเล่า?”
เยว่หนิงหันกลับมามอง
ฉางเล่อสิงลอบสูดหายใจลึก ๆ กัดฟันและเดินเข้าไปในหอน้อยสมปรารถนา
เขามิเชื่อว่าคนที่นี่จะกล้าทำให้เขา ศิษย์แท้จากสำนักเซียนนภาหยกตกที่นั่งลำบาก!
……
โถงชั้นเก้า
หลังรู้จุดประสงค์ที่ซูอี้ต้องรวบรวมโอสถเซียนเหล่านั้น ชิงเวยก็กำลังจะพูดบางอย่าง
ทันใดนั้น เสียงของเยว่หนิงก็ดังขึ้นนอกห้อง
“ผู้น้อยขอรบกวน หวังว่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะให้อภัยเจ้าค่ะ”
เว่ยหมิงในชุดบัณฑิตหน้าเสีย เยว่หนิงผู้นี้ไม่เข้าใจกฎเลยหรือไร มิเห็นหรือว่าพวกเขากำลังสนทนากับใต้เท้าจอมราชันย์?
“เกิดเรื่องใดหรีอ?”
น้ำเสียงของชิงเวยเองก็เย็นลงเล็กน้อย
เยว่หนิงที่นอกโถงหลักกล่าวอย่างรีบร้อน “มีศิษย์ผู้หนึ่งจากสำนักเซียนนภาหยกอ้างตนว่าชื่อฉางเล่อสิง บอกว่าเขาและผู้อาวุโสซึ่งมาเยือนเมื่อครู่นี้เป็น… สหายรักกัน ผู้น้อยมิกล้ามองข้าม จึงต้องมารบกวนกันเช่นนี้เจ้าค่ะ”
ทุกผู้ตะลึงอึ้ง แทบหัวเราะออกมา
สำนักเซียนนภาหยกอะไรนั่น อย่าว่าแต่ศิษย์ในสำนัก กระทั่งบรรพชนผู้ก่อตั้งมาเองยังไร้คุณสมบัติเข้าพบใต้เท้าจอมราชันย์ อย่าว่าแต่มาเรียกใต้เท้าจอมราชันย์เป็นสหายรัก!
ทว่ามิคาด ซูอี้จะกล่าวขึ้นว่า “ให้เขาเข้ามา”
ทันใดนั้น ชิงเวยและคณะล้วนงุนงงเล็กน้อย
ยามนี้ ฉางเล่อสิงเดินเข้ามาในโถงภายใต้การนำของเยว่หนิงแล้ว
“ฮ่า ๆ ซูอี้ เจ้าอยู่ที่นี่จริง ๆ”
ฉางเล่อสิงเห็นซูอี้ทันที เขาหันไปกล่าวกับเยว่หนิงว่า “ข้าบอกแล้ว เราทั้งสองรู้จักกัน ยามนี้เจ้าเชื่อแล้วหรือไม่?”
เยว่หนิงก้มหน้ามิพูดจา
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้ามาหาข้าเพราะเหตุใด?”
ฉางเล่อสิงกล่าวยิ้ม ๆ “อย่าเข้าใจข้าผิด ก่อนหน้านี้ข้าซื้อของอยู่ บังเอิญเห็นเจ้าเข้ามาในหอน้อยสมปรารถนานี้พอดี เลยแวะมาหน่อยน่ะ”
ว่าพลาง สายตาของเขาก็กวาดมองชิงเวย เว่ยหมิงและคนอื่น ๆ
จากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็แข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ตัวแข็งค้างกับที่
เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเขา
ร่างของเขาสั่นสะท้านมิอาจหยุดยั้ง
เขาเห็นอันใดนี่?
เซียน… เซียนทั้งนั้น!
ตั้งสี่คน!
จบเห่แล้ว…
ฉางเล่อสิงสิ้นหวัง ทั้งร่างตะลึงค้าง
บรรยากาศในโถงหลักเองก็เงียบกริบ
พวกชิงเวยรู้สึกประหลาดเล็กน้อย พวกเขาเห็นแล้วว่าใต้เท้าจอมราชันย์รู้จักผู้ฝึกตนเล็กจ้อยผู้นี้จริง
ทว่าเจ้าผู้น้อยนี้… ดูจะเกร็งประหม่าอย่างยิ่ง
เว่ยหมิงไอแห้ง ๆ แล้วยิ้มอย่างเมตตา “สหายเต๋าผู้นี้อย่าได้เกร็งเลย ข้าเป็นเจ้าของหอน้อยสมปรารถนาแห่งนี้ มีนามว่าเว่ยหมิง มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตสุญตาขั้นกลาง ห่างไกลเกินความยิ่งใหญ่ใด ๆ ทว่าในนครเซียนเทียนติ่งนี้ก็ถือว่าสูงเอาการอยู่…”
ไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ ฉางเล่อสิงก็สมองสะเทือน
เซียนแท้ขอบเขตสุญตา!?
เขาตกใจแทบสลบ
“เว่ยหมิง เจ้าทำสหายเต๋าผู้นี้ตกใจกลัวแล้วนะ!”
ชิงเวยกล่าวตำหนิ
เว่ยหมิงรีบกล่าวขออภัยซ้ำ ๆ อย่างละอายในทันที
ชิงเวยก้าวออกมาค้อมหัวให้ฉางเล่อสิง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผู้น้อยชิงเวย ผู้ฝึกตนขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น สหายผู้ฝึกตนทั้งหลายในแคว้นจิ่งล้วนเรียกข้าว่า…”
ก่อนนางจะทันพูดจบ ดวงตาของฉางเล่อสิงก็เบิกโพลง กรีดร้องเสียงหลง “ราชันย์เซียน!?”
ตุ้บ!
เข่าของเขาอ่อนยวบ นั่งเป็นอัมพาตบนพื้น ตัวสั่นราวกิ่งไม้ไหว
ทุกผู้ “…”
ซูอี้มองเรื่องสนุกนี้อย่างสนอกสนใจมาแต่ต้น
เห็นเช่นนี้ เขาก็อดหัวเราะขำมิได้
เจ้าเด็กนี่กลัวอยู่ชัด ๆ!
ชิงเวยกะพริบคู่เนตรทรงเสน่ห์เปี่ยมชีวิตชีวาของนาง อดหัวเราะมิได้
นางเข้าใจชัดแจ้ง
ผู้ฝึกตนเล็กจ้อยจากสำนักเซียนนภาหยกนี้อาจรู้จักใต้เท้าจอมราชันย์ ทว่าหาใช่สหายรักกันไม่
เว่ยหมิงและคนอื่น ๆ สังเกตเห็นความแปลกประการนี้แล้ว และเมื่อพวกเขาเห็นว่าซูอี้กับชิงเวยหัวเราะ พวกเขาจึงหัวเราะตามไป
กระทั่งเยว่หยิงยังอดเม้มปากกลั้นยิ้มมิได้
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศช่างชื่นมื่นรื่นเริง
และฉางเล่อสิงซึ่งตะลึงนิ่งนั่งบนพื้นอาจจะตื่นตระหนกจนเกินไป เขาสิ้นสติโดยสมบูรณ์ ดวงตาเหลือกกลับเบ้า ล้มตึงหมดสติ
“พาเขาลงไป และเมื่อเขาตื่นก็ปล่อยเขาไป”
ซูอี้ออกคำสั่งยิ้ม ๆ
“เจ้าค่ะ!”
เยว่หนิงหัวใจเย็นเฉียบ รีบพาฉางเล่อสิงผู้หมดสติจากไปทันที
ชิงเวยลังเลชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ใต้เท้าจอมราชันย์เจ้าคะ คนผู้นั้น…”
ซูอี้โบกมือกล่าว “ตัวตนไร้ความหมาย อย่าพูดถึงเลย”
ชิงเวยพยักหน้า
“เอาล่ะ ข้าก็ควรไปเช่นกัน”
ซูอี้ลุกขึ้น
ชิงเวยรีบร้อนกล่าว “ขอใต้เท้าจอมราชันย์ช้าก่อนเจ้าค่ะ!”
“มีอันใดหรือ?” ซูอี้ว่า
ชิงเวยลังเลชั่วขณะ ก่อนจะสั่งให้เว่ยหมิงกับคณะถอยออกไปก่อน
จนเมื่อเหลือเพียงนางและซูอี้สองคนในโถง ชิงเวยก็ก้มหัวลงกล่าว “หากใต้เท้าจอมราชันย์ต้องการรักษาบาดแผลวิถีของท่านให้หายขาด ผู้น้อยมีหนทางอันน่าอัศจรรย์อยู่ทางหนึ่งเจ้าค่ะ”
ซูอี้นิ่งไป กล่าวด้วยแววตาพิกล “ฝึกฝนคู่?”
ชิงเวยชะงัก ใบหน้างามขาวกระจ่างดูอึดอัดเล็กน้อย ทว่าก็ยังพยักหน้า “ถูกต้องเจ้าค่ะ”
ซูอี้ส่ายหน้า รำพึงเบา ๆ “ข้ามาได้เหนียมอายกับวิธีนั้นหรอก แต่น่าเสียดายที่ข้ายังหาบุคคลที่ใช่มิเจอ”
ใบหน้าขาวดุจหยกของชิงเวยพลันขึ้นสี กล่าวเสียงเบา “หากใต้เท้าจอมราชันย์ต้องการ ผู้น้อย… ก็ยินยอมนะเจ้าคะ”
ซูอี้ “???”
บรรยากาศในโถงอึมครึมทว่างดงามรัญจวนชั่วขณะ
และหลังกล่าววาจาเหล่านี้ ชิงเวย หญิงงามไร้ผู้เทียบผู้สามารถนำพาหายนะล่มเมืองได้ก็ตัวเกร็งนิ่งอย่างหาได้ยาก หัตถ์หยกกำชายอาภรณ์ของนางแน่น
หญิงงามเช่นนี้เสนอตัวอุ่นเตียงให้ด้วยตนเอง หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงมิอาจห้ามใจได้แต่เนิ่น ๆ
ซูอี้เองก็แสนหวั่นไหว
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”
ทันใดนั้น ร่างของชิงเวยก็แข็งทื่อ รู้สึกหนาวเยือกทั้งใจกาย ใบหน้างดงามซีดลงเล็กน้อย ดวงตาหม่นประกายลง
“ขอใต้เท้าจอมราชันย์โปรดสงบโทสะ เป็น… เป็นผู้น้อยเองก็กระทำการหุนหัน…”
นางกระซิบ
ซูอี้ก้าวเข้ามาเชยคางกระจ่างงามของชิงเวย จับจ้องใบหน้างดงามจิ้มลิ้มชั่วขณะ ก่อนจะผละมือส่ายหัวกล่าว “ข้ามิได้ปฏิเสธเจ้าหรอก แต่ไม่อยากทำให้คนงามเช่นเจ้าแปดเปื้อนต่างหาก”
ร่างของชิงเวยสั่นสะท้านเล็กน้อย ก้มหัวลงอีกครั้งอย่างเผลอไผล “เป็นผู้น้อยเองที่ยินยอม…”
ซูอี้กล่าวขัดยิ้ม ๆ อย่างจนใจเล็กน้อย “เจ้าต้องให้ข้าพูดความจริงอีกหรือ?”
ชิงเวย “???”
โดยมิรอให้นางเอ่ยปาก ซูอี้ก็ถอนใจกล่าว “ชาตินี้ ข้ายังไม่ได้ก้าวสู่วิถีเซียน แล้วข้าจะฝึกฝนคู่กับราชันย์เซียนเช่นเจ้าได้เยี่ยงไร?”
บุรุษเพศอันแท้จริง แน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธหยกงามที่คนยื่นเสนอ
ทว่าเรื่องนี้ ปัญหามิได้อยู่ที่จะทำหรือไม่ แต่เป็นเพราะความห่างชั้นของขอบเขตนั้นสูงเกินไป การฝึกฝนคู่จึงจะกลายเป็นฝ่ายตั้งรับสถานเดียว!
และซูอี้มิเคยชอบเป็นฝ่ายตั้งรับ
ชิงเวย “…”
นางดูอึ้ง ๆ
ครู่ต่อมา นางก็พลันดูตระหนักบางสิ่ง และกล่าวอย่างตกตะลึง “หรือข่าวจากเมื่อเนิ่นนานมาแล้วจะเป็นความจริง ใต้เท้าจอมราชันย์ ท่านเวียนวัฏเกิดใหม่มาหรือเจ้าคะ?”
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ความลับเช่นนี้ซุกซ่อนได้ไม่นาน ลัทธิไร้มลทินเองก้รู้แล้ว เขาจึงไร้ความจำเป็นต้องปิดบังอีก
ชิงเวยตะลึงไปราวตกใจสุดขีด มิอาจสรรหาวาจาใดมาพูดได้ชั่วขณะ
ครู่ต่อมา นางพลันถอนใจเบา ๆ และกล่าวอย่างเสียดาย “ผู้น้อยเกลียดการฝึกฝนของตนเป็นครั้งแรกเลยเจ้าค่ะ ที่ช่วยใต้เท้าจอมราชันย์แก้ปัญหามิได้!”
ซูอี้ “…”
นี่ตกลงเสียดายที่นอนกับเขาไม่ได้ หรือเสียดายที่ช่วยมิได้กัน?
สิ่งนี้นับเป็นอาหารสมองให้ขบคิด
………………..