บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 154 รักมากตั้งแต่อดีต เจ็บมากเมื่อต้องแยกจาก
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 154 รักมากตั้งแต่อดีต เจ็บมากเมื่อต้องแยกจาก
ตอนที่ 154 : รักมากตั้งแต่อดีต เจ็บมากเมื่อต้องแยกจาก
“ฉาจิ่น เจ้ายังไม่ไปชงชาอีก”
ซูอี้รู้สึกได้ว่าฉาจิ่นคล้ายกำลังมองเรื่องสนุกอยู่ และไม่ตื่นตัวในการเป็นสาวรับใช้คนหนึ่ง จึงอดที่จะส่งเสียงดุขึ้นมาไม่ได้
“เอ๋? อ๊ะ รับทราบเจ้าค่ะ” ฉาจิ่นรู้สึกประหม่าอยู่ในใจ ก่อนรีบเดินออกไป
รับชมเช่นนั้น ซูอี้จึงหันมองไปยังจู้กู่ชิงอีกครา เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ด้วยฐานะของเจ้า ข้าเชื่อว่าการมาครั้งนี้ของเจ้าไม่ใช่มาเพื่อก่อเรื่อง ฉะนั้นเชิญเข้ามาดื่มชาเถิด”
จู้กู่ชิงมึนงง คิดพึมพำอยู่ในใจ …ว่าย่อมถูกต้องแล้ว ด้วยฐานะของนาง จะไปทะเลาะอะไรกับชายหนุ่มคนหนึ่ง สิ่งนี้อาจทำให้นางดูเหมือนไร้ความอดทนเกินไป
ในขณะเดียวกัน ซูอี้ยิ้มพลางลูบหัวเหวินหลิงเสวี่ย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เข้ามาพูดคุยกัน อย่ามัวยืนอยู่ด้านนอกเลย”
เหวินหลิงเสวี่ยยิ้มหวาน ส่งเสียงอืมรับคำออกมา
สามประโยคก่อนหน้าที่ใช้พูดจากับทั้งสามสาวงาม กลับเผยท่าทางที่ไม่เหมือนกันออกมาสามแบบ
สำหรับฉาจิ่น มันคือการตำหนิและการเหน็บแนม
สำหรับจู้กู่ชิง คือการถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นความใจกว้าง และทำให้อีกฝ่ายยอมถอยลงไปอีกก้าวหนึ่ง
สำหรับเหวินหลิงเสวี่ย… มันก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ทั้งหมดล้วนเป็นความรักและการทะนุถนอมที่มาจากใจ
และที่วิเศษสุดคือบรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่พลันคลายลงในทันที
สำหรับซูอี้ หากเขาคิดอยากจะแก้ไขสถานการณ์เล็ก ๆ นี้ ล้วนทำได้อย่างสบาย ๆ
ภายในลานบ้าน
เมื่อเห็นฉาจิ่นวุ่นอยู่กับการต้มน้ำชงชา เหวินหลิงเสวี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “พี่สาว ให้ข้าทำเถอะ”
ขณะพูด นางก็พลันเดินเข้าไปจัดการทันทีโดยไม่รอคำตอบ
เมื่อมองสาวน้อยร่างบางนั่งต้มน้ำ ล้างชา และชงชาอย่างคล่องแคล่ว ฉาจิ่นอดที่จะละอายใจไม่ได้ แต่ก่อนนางคงสบายเกินไปใช่หรือไม่?
จู้กู่ชิงนั่งสบาย ๆ อยู่ตรงม้านั่งหินกลม ขับเน้นให้ชุดกระโปรงเข้ารูปกับสะโพกที่โค้งมนของนางเผยความงามของอิสตรีออกมา
นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงเผยสีหน้าที่เยือกเย็นเด็ดเดี่ยว แต่ความจริง ภายในใจขณะนี้กลับคล้ายกำลังนั่งอยู่บนพรมเข็ม*[1]
ถึงอย่างไร เมื่อวานก็เคยปะทะและขัดแย้งกับซูอี้ที่นี่ กระทั่งเกือบจะกระอักเลือดเพราะความโมโห อีกอย่างวันนี้นางก็เป็นคนมาหาเอง รสชาติของชีวิตเช่นนี้… ทำให้นางค่อนข้างจะอับอายขายหน้าเล็กน้อย
หากรู้ก่อนหน้านี้ ก็คงจะไม่ตามแม่สาวน้อยหลิงเสวี่ยเข้ามาหรอก!
มีเพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่เอนกายสบาย ๆ อยู่บนเก้าอี้หวาย และพิจารณาในใจเงียบ ๆ ว่าไว้ออกจากมหานครอวิ๋นเหอเมื่อใด ก็จะนำเก้าอี้หวายตัวนี้ไปด้วย ฉะนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งใด ก็สามารถเอนกายได้ทุกเมื่อ…
ฉาจิ่นก้มหน้า รีบไปยืนอยู่ด้านข้าง ขณะเผยใบหน้าเหยเกและไม่พูดสิ่งใด
ในฐานะที่เป็นสาวรับใช้ กลับชงชาต้อนรับแขกไม่ได้ และประโยคที่ซูอี้ตำหนิเมื่อครู่ ก็ทำให้นางไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ไม่นาน เหวินหลิงเสวี่ยก็เทน้ำชาใส่ถ้วยชาให้ทุกคน จากนั้นนางก็นั่งอยู่ด้านข้างซูอี้ และเอ่ยด้วยเสียงที่กังวาน “พี่เขย พี่เสี่ยวเฟิงกับน้องเสี่ยวหรานพวกเขาอยู่ไหนรึ?”
ซูอี้เอ่ยออกมาทันที “หลายวันมานี้ ที่นี่เจอแต่เรื่องอันตราย แม้ข้าจะไม่สนใจ แต่ไม่อาจไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของพวกเขา ฉะนั้นข้าจึงฝากฝังผู้อื่นให้ดูแลพวกเขาแทน”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยด้วยความตกใจ “เรื่องอันตรายอันใด?”
ประโยคนี้ ทำให้จู้กู่ชิงและฉาจิ่นต่างก็กังวลใจ
ก่อนหน้านี้ฉาจิ่นเคยพาหนานเหวินเซียงมาที่นี่ สุดท้ายปรมาจารย์หนานเหวินเซียงผู้นี้ก็ตายอยู่ที่แห่งนี้ แม้แต่นางก็เกือบจะไม่รอด
ส่วนจู้กู่ชิงก็เคยมาและปะทะกันเพราะความเข้าใจผิด จนเกือบต้องกระอักเลือดตายเนื่องจากถูกซูอี้ยั่วโมโห
สรุปแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องดี หากพูดออกไปจริง ๆ อาจทำให้พวกนางรู้สึกเก้อเขินและออกมาจากสถานการณ์นั้นไม่ได้
“เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว”
ซูอี้คร้านที่จะเอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านั้น เขาหัวเราะเสียงดังและสังเกตเหวินหลิงเสวี่ย พลางครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม “เจ้าเล่า วันนี้แต่งตัวสวยมาหาข้าเพราะเรื่องอันใดกัน?”
“ข้า…”
เมื่อกล่าวถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ เหวินหลิงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วด้วยความเศร้าทันที
จู้กู่ชิงที่อยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยแทนด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วันนี้หลิงเสวี่ยจะเดินทางไปฝึกที่ตำหนักเทียนหยวนกับข้า นางมาเพื่ออำลาเจ้า”
ซูอี้ตกใจ ใบหน้าที่มีรอยยิ้มพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร คนอย่างจู้กู่ชิง ย่อมไม่ได้มาที่มหานครอวิ๋นเหอด้วยตัวเองเพื่อรับลูกศิษย์หรอก
คำตอบนั้นชัดเจนแล้ว นี่คือการจัดเตรียมของเหวินหลิงเจา!
เหวินหลิงเสวี่ยก้มหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “พี่เขย ท่านอย่าคิดมากไป ข้าไปเพื่อฝึกก็เท่านั้น อีกอย่าง มีผู้อาวุโสกับท่านพี่ดูแลข้าอยู่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงอะไรข้ามากหรอก”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี รอข้าไปมหานครกุ่นโจวเมื่อไหร่ ข้าจะไปหาเจ้า”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยด้วยความโล่งอกขึ้นมาทันที “อืม!”
ซูอี้คิดเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยเสริม “ดี ข้าจะไปส่งเจ้าสักระยะก่อน”
จู้กู่ชิงที่กำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นี้ฆ่าคนโดยไม่ไว้ชีวิตแล้ว นางก็กลืนคำพูดลงไปทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ด้านหน้าท่าเรือนอกเมือง ซูอี้มองตามเรือโดยสารที่เหวินหลิงเสวี่ยกับจู้กู่ชิงนั่งค่อย ๆ ห่างออกไป เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าอยู่ภายในใจ
แม้แต่หลิงเสวี่ยก็ไปแล้ว…
เช่นนั้นมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแล้ว?
ฉาจิ่นสังเกตเห็นอารมณ์มืดมนเล็กน้อยของซูอี้ นางอดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่เงียบ ๆ ชายหนุ่มผู้นี้คงจะไม่แอบชอบน้องสาวภรรยาเขาหรอกนะ?
แต่ความคิดเหล่านั้นก็กลับมาอีกครั้ง ที่จริงเหวินหลิงเสวี่ยเป็นเด็กผู้หญิงที่งดงามคนหนึ่ง ท่วงท่าที่งดงามเหล่านั้น มีน้อยมากบนโลกใบนี้
และไม่รู้ว่า พี่สาวนางจะงดงามมากเพียงใด…
ขณะที่นางกำลังคิดกับตัวเองอยู่ ซูอี้ได้หมุนตัวเดินออกไปแล้ว
เมื่อเห็นเขาเดินออกไป ฉาจิ่นก็รีบตามไปทันที
…..
“หลิงเสวี่ย เจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องความแค้นระหว่างข้ากับซูอี้ให้กับพี่สาวเจ้าฟังเชียว”
ในเรือโดยสารบนแม่น้ำต้าฉาง จู้กู่ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “หากนางรู้เข้า คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายมาก”
เหวินหลิงเสวี่ยอดที่จะถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านกับพี่เขยข้ามีเรื่องอะไรกันแน่?”
จู้กู่ชิงส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าไม่ควรรู้”
เมื่อพูดจบ นางก็ถอนหายใจออกมา
ตอนแรก นางเพียงคิดว่าซูอี้เป็นแค่เขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวิน จึงทั้งดูถูกเหยียดหยาม และยังเตือนเหวินหลิงเสวี่ยให้สนิทสนมกับอีกฝ่ายน้อยลง
แต่ไม่คิดเลย… ว่าลูกเขยตระกูลเหวินผู้นี้จะเป็นคนเดียวกันกับชายหนุ่มที่อยู่เรือนเงียบสุขสงบ!!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหวินหลิงเสวี่ย ทำให้จู้กู่ชิงรู้สึกเก้อเขินไม่ได้ กระทั่งรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเป็นดาวหายนะของนาง เพราะทุกครั้งที่เจอมักทำให้นางมวนท้องจนหายใจไม่ออก!
“ผู้อาวุโส โปรดวางใจ ข้าไม่บอกอะไรกับพี่สาวแน่นอน”
เหวินหลิงเสวี่ยเอ่ยเสียงเบา “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างท่านกับพี่เขยข้า แต่ข้ากล้ารับรองว่า พี่เขยเขาไม่ใช่คนไม่ดีแน่”
จู้กู่ชิงตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนถามขึ้นทันที “ตอนนั้น คนเช่นเขาแต่งเข้ามาในตระกูลพวกเจ้าได้อย่างไร?”
“เอ่อ เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก” เหวินหลิงเสวี่ยส่ายหน้า
“ชายหนุ่มที่สูญเสียการฝึกฝนคนหนึ่ง กลับเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนกลายเป็นผู้มีฝีมือแข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
จู้กู่ชิงขมวดคิ้ว “ใช่แล้ว เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งบอกพี่เจ้า”
“เพราะเหตุใดหรือ?” เหวินหลิงเสวี่ยมึนงง
จู้กู่ชิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ กล่าวว่า “ข้ากลัวนางจะรับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหว เจ้ายังไม่รู้รึ พี่สาวเจ้ามีนิสัยเย็นชาและภูมิใจในตัวเองมาก นางเกลียดการแต่งงานที่อัปยศนี้ยิ่ง หากนางรู้ว่าพี่เขยเจ้าในวันนี้ไม่ใช่พี่เขยคนเดิมในตอนนั้น นางควรจะรู้สึกเช่นไร?”
เหวินหลิงเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “แต่เรื่องนี้คงจะปิดบังไปตลอดไม่ได้”
“ปิดบังได้นานเท่าไรก็ปิดบังเท่านั้น ตอนนี้พี่สาวเจ้ากำลังตั้งใจฝึกฝน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีในการฝึกให้บรรลุได้สูงขึ้น ข้าไม่อยากให้เสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้” จู้กู่ชิงเอ่ยด้วยความจริงจัง
ก่อนที่จะมามหานครอวิ๋นเหอ นางได้ช่วยเหวินหลิงเจาช่วงชิงสิทธิ์การทดสอบที่ต้องไปยัง หุบเขาเร้นลับแห่งหนึ่ง
หนึ่งเดือนถัดจากนี้ เมื่อเริ่มการทดสอบที่หุบเขาเร้นลับ ด้วยความฉลาดของเหวินหลิงเจา และหากโชคดี ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะสามารถบรรลุขั้นสาม แปรสภาพ ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ
หากเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ารากฐานมั่นคงแล้ว และจากนี้ไปก็จะเข้าไปสู่เส้นทางการเป็นปรมาจารย์ได้โดยง่าย!
เหวินหลิงเสวี่ยเบะปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาบาง “เหตุใดถึงรู้สึกว่ายิ่งโตเรื่องราวก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นนะ”
จู้กู่ชิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “นี่แหละคือการเติบโต”
…..
“ท่านมู่ การเดินทางไปมหานครกุ่นโจวในครั้งนี้ หากราบรื่นด้วยดี ก็จะทำให้เจ้าพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ชายแดนในเมืองแห่งนี้”
ณ ท่าเรือนอกเมือง มีกลุ่มคนปรากฏตัวขึ้น เป็นกลุ่มคนของโจวจือหลีที่ปรากฏออกมา
“ต้องขอบพระทัยองค์ชายหกที่คอยค้ำชูข้าน้อย”
ผู้ว่าเขตปกครองหย่งเหอ มู่จงถิงยิ้มและคำนับ
โจวจือหลีเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม “ในตอนนี้ยังเร็วนักที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ การจัด ‘งานเลี้ยงน้ำชา’ ในมหานครกุ่นโจวในอีกครึ่งเดือนนั้นสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้า หรือท่านมู่ ก็ไม่สามารถชะล่าใจได้”
งานเลี้ยงน้ำชามหานครกุ่นโจว!
มู่จงถิงกังวล และพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
“เดิมทีที่ข้ามามหานครอวิ๋นเหอในครั้งนี้ ข้าตั้งใจจะดึงฉินเหวินเยวียนมารับใช้ข้างกายข้า แต่ใครจะคิดล่ะว่าชายแก่ผู้นี้จะโชคร้ายถูกคุณชายซูฆ่าตายแล้ว” โจวจือหลีเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
มู่จงถิงเอ่ย “เดิมทีฉินเหวินเยวียนเป็นคนขององค์ชายรอง หากเขาตายไปก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”
ชั่วครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยความลังเล “องค์ชายหก ชายชราขอริอาจถาม เหตุใดท่านจึงไม่ดึงคุณชายซูมารับใช้ข้างกายหรือพ่ะย่ะค่ะ? ด้วยความสามารถราวกับเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาจากสวรรค์เช่นนี้ หากเขาสามารถช่วยฝ่าบาทได้ เหตุใดงานใหญ่จึงจะทำไม่ได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
โจวจือหลีถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าก็บอกอยู่ว่าเขาเหมือนเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมาจากสวรรค์ เขาจะยินยอมให้ข้าใช้ได้อย่างไรกัน?”
มู่จงถิงเอ่ยด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทอย่าได้ถอดใจไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ควรสนใจเรื่องที่ฝ่าบาทกลายเป็นเพื่อนกับคุณชายซูแล้ว และยังเก็บกวาดในสิ่งที่เขาทำถึงสองครั้ง ข้าน้อยเชื่อว่าเขาจะต้องรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่แน่ หากต่อแต่นี้ไปฝ่าบาทเจอเรื่องที่แก้ไขยาก คุณชายซูจะนิ่งดูดายได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
โจวจือหลีถอนหายใจยาวออกมา “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น”
“พูดจบหรือยัง?” ชิงจินที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้นด้วยความเย็นชา
โจวจือหลียิ้ม รีบก้าวเท้าไปข้างหน้า “ท่านอาอย่าได้กังวลไป รอให้เรือมาถึง พวกเราก็จะรีบออกเดินทางทันที!”
หลังจากถูกซูอี้ตบที่ศาลาคลื่นซัดทรายในคืนนั้น ชิงจินก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง เยือกเย็นไม่พูดสิ่งใด และยังอารมณ์เสียมาก
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้โจวจือหลีปวดหัวไปชั่วขณะหนึ่ง
ชิงจินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยขึ้น “อาจารย์ข้าตอบจดหมายกลับมา ว่าอีกสามวันจากนี้ ให้ส่งคนไปมหานครกุ่นโจวเพื่อช่วยเหลือเจ้าในงานเลี้ยงน้ำชานั่น”
โจวจือหลีได้สติกลับมาทันที ดีใจจนเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอา ขอริอาจถามท่าน ผู้มีฝีมือคนไหนกันที่จะมาช่วยข้า?”
ชิงจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง”
โจวจือหลีพูดไม่ออก แต่ในใจนั้นลำพอง มีผู้มีฝีมือจากอาจารย์ของท่านอาเข้ามาช่วย การเดินทางไปมหานครกุ่นโจวในครั้ง เหตุใดเรื่องใหญ่ถึงจะทำไม่ได้กัน?
ชิงจินชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าอย่าดีใจเร็วนัก ด้วยอำนาจที่อยู่ในมือเซี่ยงเทียนชิว เขาไม่ยอมหลีกทางให้ผู้อื่นง่าย ๆ แน่ และด้วยความสุขุมของอีกฝ่าย เขาย่อมสังเกตเห็นบรรยากาศที่แปลกไป และเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่”
เซี่ยงเทียนชิว!
เจ้าแคว้นกุ่น!
ผู้มีอำนาจบัญชาการขุนนางทั่วแคว้นกุ่น ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรต้าโจว!
[1] นั่งอยู่บนพรมเข็ม หมายถึงจิตใจพะว้าพะวงไม่เป็นสุข