บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1540: เหยียดหยาม
ตอนที่ 1540: เหยียดหยาม
ฉางเล่อสิงลอบตะโกนว่าแย่แล้ว
เขารู้ดีที่สุดว่าซูอี้เป็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
ทว่าขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าเปิดเผยแม้แต่เรื่องเดียว
หากผู้ทรงอำนาจในสำนักอยากคิดบัญชีกับซูอี้ ท้ายที่สุดผู้โชคร้ายก็ต้องเป็นเหล่าผู้ทรงอำนาจของสำนัก!
ขณะที่ฉางเล่อสิงกำลังคิดหาทางหยุดเรื่องทั้งหมดนี้อยู่นั้นเอง
หม่าสิงคงพลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ก็แค่ผู้ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ คิดดูแล้ว พบหน้ากันไปก็มีแต่จะหยามเกียรติตัวข้าเองเปล่า ๆ!”
กล่าวจบ เขาก็ออกคำสั่งกับฉางเล่อสิงว่า “ไปบอกเขาว่าในชุมนุมเซียนเจ็ดดารานี้ สำนักเซียนนภาหยกของเราจะมิให้เขาซึ่งเป็นคนนอกเข้าร่วม!”
“หากพูดรู้เรื่อง เขาจะตอบรับอย่างว่าง่าย หากยังดื้อดึงก็ให้ออกไปจากเขตพำนักของอาหนิง ให้ไปเผชิญยถากรรมเอาเอง!”
สีหน้าของฉางเล่อสิงแปรเปลี่ยนชั่วขณะ ทว่าเขารู้สึกช่างน่าขัน
ปรากฏว่าเรื่องที่จะพูดก็แค่ตำแหน่งเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดารา
ผู้ที่กระทั่งราชันเซียนยังต้องเคารพ มีหรือจะใส่ใจเรื่องนี้?
ผู้เฒ่าเหล่านี้สำคัญตนเองสูงไปจริง ๆ!
“มิได้ยินหรือ รีบไปสิ!”
หม่าสิงคงขึ้นเสียง
ฉางเล่อสิงลอบถอนใจ ขณะที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง
เฉียนอวี่ซึ่งอยู่ข้าง ๆ พลันกล่าวขึ้นพร้อมกับแย้มยิ้ม “ข้าไปเองขอรับ”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังจากไป
ฉางเล่อสิงอ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่าง ทว่าก็มิได้กล่าวอันใด
บทคนมันจะซวย เกลี้ยกล่อมไปก็เท่านั้น!
……
“ซูอี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
เฉียนอวี่ไปหาซูอี้และกล่าวทวนคำสั่งของหม่าสิงคง
ซูอี้ทอดกายอยู่บนเก้าอี้หวาย เมินเฉียนอวี่โดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้ทำให้เฉียนอวี่อดรำคาญใจมิได้ แล้วกล่าวประชดประชันด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อยากเกาะชายกระโปรงสตรีสู่จุดสูงสุดหรือ? ข้าแนะนำว่าลืมมันไปเสียเถอะ! เจ้า…”
ซูอี้พลันหันกลับมากล่าวว่า “เห่าอีกคำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า”
เสียงของเฉียนอวี่หยุดลงกะทันหัน
โดยเฉพาะเมื่อถูกคู่เนตรลึกล้ำของคนตรงหน้าจ้องมองมา หัวใจของเขาเย็นเยียบดุจร่วงลงในถ้ำน้ำแข็ง ทั่วทั้งร่างเกร็งแน่นอึดอัด กระทั่งจิตวิญญาณและความคิดยังเผยสัญญาณพังทลาย!
“ไสหัวไป”
ซูอี้ทิ้งวาจาไว้แล้วละสายตาจากไป
เฉียนอวี่ตกตะลึงก่อนจะเผ่นหนีไป
“คนแซ่ซู ข้าจะหาโอกาสฆ่าเจ้าซะ!”
เฉียนอวี่คำรามในใจยามพ้นเขตที่พำนักของซูอี้ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเป็นพิเศษ
“ศิษย์น้องเฉียน เจ้าควรดีใจที่เจ้ารอดชีวิตออกมานะ”
ฉางเล่อสิงซึ่งอยู่ไกลออกไปมองเห็นเรื่องทั้งหมดนี้และรำพึงในใจว่า ‘หากเจ้าอยากล้างแค้น เจ้าจะรังแต่จะตายอย่างอนาถ!’
เขามิได้เอ่ยเตือนเฉียนอวี่
หรือก็คือ เขาไม่กล้าเอาตัวเข้าพัวพันเลย
……
นครเซียนเทียนติ่ง ในสนามเต๋าแห่งหนึ่ง
อาหลียืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะประเมิน รอผลประเมินอยู่เพียงลำพัง
หลังโต๊ะประเมินมีผู้ทรงอำนาจสามคนนั่งอยู่
ผู้ที่อยู่ตรงกลางคือซุนอวิ๋นฉี ผู้อาวุโสจากสำนักดาบอุดรยะเยือก
เขายังเป็นผู้ประเมินหลักในครั้งนี้อีกด้วย
ไม่นานนัก ผู้ทรงอำนาจผู้หนึ่งก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “รากกระดูกบกพร่อง ศักยภาพอยู่ในระดับทั่วไป ความสามารถงั้น ๆ มิเข้าเกณฑ์”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา สนามเต๋าก็เต็มไปด้วยเสียงเซ็งแซ่ สาวน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับอาหลีหลาย ๆ คนซึ่งถูกประเมินในวันนี้หันมามอง
ในสายตาพวกนางมีทั้งสงสาร ยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น เห็นใจและเย้ยเยาะ และอื่น ๆ
ใบหน้าของอาหลีซีดขาว ร่างบอบบางแข็งทื่อ นางเม้มปากแน่น มิกล่าววาจาสักคำ คู่เนตรกลมโตกระจ่างใสหม่นรัศมีลงมาก ดุจเพลิงซึ่งกำลังจะถูกดับ
ไม่นานนัก ผู้ทรงอำนาจอีกคนที่หลังโต๊ะประเมินก็เอ่ยวาจา “ร่างกายอ่อนแอ บกพร่องโดยกำเนิด ชั่วชีวิตนี้ถูกกำหนดแล้วว่าไร้หวังฝึกฝน”
รอบข้างเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง สายตาและคำนินทานับไม่ถ้วนดุจศรคมทะลวงหัวใจของอาหลี
ร่างของนางสั่นสะท้านน้อย ๆ ดวงตามืดมัว ริมฝีปากเกือบถูกกัดแตก
ตัวข้าไร้สามารถเพียงนั้นเลยหรือ?
ดวงตาของสาวน้อยเลื่อนลอย
ในหัวของนางอื้ออึงอลหม่าน
ยามนี้ เสียงของผู้ประเมินหลักซุนอวิ๋นฉีก็ดังขึ้น “แม่หนูน้อย เจ้ามิผ่านการประเมิน รีบไปเถอะ”
วาจาขวานผ่าซาก!
ทั้งเสียงเสสรวล เสียงถอนใจและเสียงแดกดันยังคงกระหึ่มทั่วทั้งสนามเต๋า
สาวน้อยยืนนิ่งราวถูกบดขยี้แหลกสลายจากเหตุการณ์นี้
ทันใดนั้น ร่างเพรียวบางร่างหนึ่งก็รุดเข้ามาในสนามเต๋า
นางคืออาหนิง
หญิงสาวสวมอาภรณ์สะท้อนแสง รูปร่างสง่างาม ทว่าใบหน้างดงามนั้นกลับเย็นชาถมึงทึงอย่างยิ่ง
“ผู้อาวุโสซุน ข้าเห็นการประเมินก่อนหน้านี้มากับตา แม้น้องสาวของข้าจะมีวิถีการฝึกทั่วไป แต่ก็ยังพอรับได้ไม่ใช่หรือ?”
อาหนิงยืนตรงหน้าน้องสาวของนาง พลางเอ่ยถามเสียงดัง
เสียงเซ็งแซ่รอบข้างพลันเงียบหาย เหล่าผู้ชมสิ้นวจี
คิ้วของซุนอวิ๋นฉีขมวดพลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เราทั้งหลายเข้าใจความอาวรณ์ที่มีต่อน้องสาวของเจ้าได้ แต่กล่าวตามตรง ด้วยคุณสมบัติของน้องสาวเจ้า อย่าว่าแต่ไม่อาจผ่านประเมินชุมนุมเซียนเจ็ดดาราของเราได้เลย แค่จะเข้าร่วมสำนักเล็ก ๆ ยังไม่มีหวังด้วยซ้ำ!”
อาหนิงโกรธจัด และกำลังจะเอ่ยบางอย่าง
ทว่าซุนอวิ๋นฉีกลับกล่าวตัดบทอย่างเย็นชา “อาหนิง เจ้าเป็นศิษย์หลักรุ่นเยาว์ของสำนักเซียนนภาหยกในแคว้นจิ่ง ไม่เห็นหรือว่าคุณสมบัติน้องสาวของเจ้าย่ำแย่เพียงใด?”
อาหนิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ซุนอวิ๋นฉีกล่าวตำหนิโดยมิให้โอกาสนางพูด “รีบพาน้องสาวเจ้าไปเสีย หาไม่ มิเพียงเจ้าจะเสียหน้า แต่สำนักเซียนนภาหยกที่อยู่เบื้องหลังเจ้าก็ด้วย!”
วาจานั้นทำให้อาหนิงพลันฟื้นสติ และตระหนักแล้วว่านางเสียกิริยา
ในที่สุดอาหนิงก็ฝืนกล้ำกลืนโทสะและความโศกเศร้าในใจ กระซิบกับอาหลีว่า “น้องพี่ ไปกันเถอะ พี่สาวผู้นี้จะหาโอกาสอันสูงกว่านี้ให้เจ้าในภายหน้าเอง!”
ทว่าอาหลีในยามนี้สูดหายใจลึก ๆ เงยหน้าขึ้นมองซุนอวิ๋นฉีและคนอื่น ๆ ที่อยู่บนแท่นประเมิน ดวงตากระจ่างใสของนางเปี่ยมด้วยเพลิงผลาญ
และทันใดนั้น อาหลีก็กัดปลายนิ้วของนางเขียนลงบนพื้น ‘ไม่ว่าพวกเจ้าจะบอกว่าข้าสามารถฝึกฝนได้หรือไม่ก็มิสำคัญ!’
‘ในภายหน้า ชื่อของข้า อาหลีผู้นี้จะสะท้านเหนือวิถีเซียนแน่นอน!’
ทุกคำถูกเขียนด้วยโลหิตแดงฉาน ลายมือมั่นคงเฉียบคมเยี่ยงดาบ
เมื่อเห็นข้อความโลหิตบนพื้น ซุนอวิ๋นฉีและคณะที่อยู่หลังโต๊ะประเมินต่างตกตะลึง
ผู้คนทั่วสนามเต๋าเองก็ผงะงัน
อาหนิงอดแสดงความตื่นเต้นปรีดาออกมามิได้
เติมที นางกังวลอยู่ว่าผลการประเมินในวันนี้จะทำร้ายจิตใจอาหลีมากเกินไป แต่ยามนี้ ดูเหมือนเหตุการณ์นี้จะไปกระตุ้นจิตต่อสู้ในใจอาหลีแทน!
หญิงสาวเมินคนทั้งหลาย ดึงชายเสื้อพี่สาวของนางแล้วเดินออกจากสนามเต๋า
ร่างผอมบางนั้นอาบแสงสว่างจากนภา ให้บรรยากาศมุ่งมั่นดื้อรั้น
เสียงหนึ่งเย้ยเยาะ
“ช่างน่าขำ เป็นเพียงยายหนูใบ้ กล้าใช้วาจาโอหัง!”
ผู้พูดคือซุนอวิ๋นฉี ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เหล่าผู้ฟังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันใด
“เจ้า…”
อาหนิงหันกลับมาอย่างเดือดดาล
ซุนอวิ๋นฉีกล่าวอย่างเฉยเมย “หรือข้าจะพูดผิดไป? อันที่จริง หากมิใช่จดหมายจากอาจารย์เจ้า ขอให้สำนักดาบอุดรยะเยือกของข้ามอบโอกาสน้องสาวเจ้าสักครั้ง ด้วยคุณสมบัติต้อยต่ำมิเข้าขั้นของนาง โอกาสเข้ารับประเมินหนนี้ก็ไม่มีทางเสียล่ะ!”
อาหนิงโกรธเสียจนโทสะอัดแน่นอยู่ในทรวง
อาหลีกระตุกชายแขนเสื้อของพี่สาวนาง ขณะมองอย่างเป็นกังวล
อาหนิงถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังจากไปกับอาหลี
เบื้องหลังของพวกนางมีสายตาเย้ยเยาะดูแคลนมองตามมามากมาย เสียงหัวเราะดังก้องทั่วฟ้า
ซุนอวิ๋นฉีที่อยู่ตรงโต๊ะประเมินมองร่างสองพี่น้องจากไป ก่อนจะพลันเสสรวล พลางกล่าวกับตนเองเสียงเบาหวิว “ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิกล้าออกมาโวยวายตรงหน้าข้า ช่างมิรู้จักเจียมตนเอาเสียเลย”
ผู้ทรงอำนาจอีกสองคนข้างกายเขาอดขำมิได้
จริงอยู่ที่อาจารย์ของอาหนิงเป็นเซียน
แต่นครเซียนเทียนติ่งนี้เป็นถิ่นสำนักดาบอุดรยะเยือกของพวกเขา!
……
“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่หญิงอาหนิงกับอาหลีกลับมาแล้วขอรับ”
ในโถงใหญ่แห่งหนึ่ง เฉียนอวี่เดินเข้ามารายงาน
หม่าสิงคงกล่าวขึ้น “อาหนิงเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ศิษย์พี่หญิงอาหนิงบอกว่าต้องการอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ยามนี้นางอยู่ในห้องของตัวเองขอรับ”
เฉียนอวี่ตอบ และรายงานข่าวซึ่งเพิ่งสืบมาจากโลกภายนอกทีละประเด็น
หลังจากได้รู้ว่าเกิดสิ่งใดบ้างในสนามเต๋าประเมิน สีหน้าของหม่าสิงคงและเหล่าผู้ทรงอำนาจจากสำนักเซียนนภาหยกก็ดำคล้ำลงเล็กน้อย
พวกเขาไม่ได้สนใจที่อาหลีถูกปัดตก ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองคือทัศนคติของซุนอวิ๋นฉี ผู้อาวุโสจากสำนักดาบอุดรยะเยือกต่างหาก!
“ประชดประชันตำหนิศิษย์หลักของสำนักเซียนนภาหยกเราต่อหน้าธารกำนัล ซุนอวิ๋นฉีผู้นี้จะทำเกินไปแล้ว!”
บางผู้มิพอใจ
“แต่นี่เป็นถิ่นของสำนักดาบอุดรยะเยือก เราผู้มาเยือนจะทำอันใดได้เล่า?”
บางผู้ยิ้มเจื่อน “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแต่ต้นจนจบ แม้ปากคอของซุนอวิ๋นฉีจะเราะร้าย แต่เขาก็ถือว่ากล่าวได้ตรงไปตรงมา เอาผิดมิได้ เพราะถึงอย่างไร เราต่างก็รู้ว่าคุณสมบัติของอาหลี… มันธรรมดาเกินไปจริง ๆ”
หม่าสิงคงพยักหน้า “หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น หากทำให้อาหนิงละอายแล้วคืนความกล้าก็มิแย่หรอก”
ไม่นานนัก เหล่าผู้ทรงอำนาจก็เปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่น
ฉางเล่อสิงผู้ฟังเรื่องทั้งหมดอยู่เห็นเช่นนี้ หัวใจของเขาก็หนาววาบ ศิษย์พี่หญิงอาหนิงกับน้องสาวของนางถูกคนอื่นเหยียดหยามเช่นนี้ ก็แค่… ลืมมันไปหรือ!?
ขณะเดียวกัน…
หลังจากอาหลีกลับมา นางก็ไปหาซูอี้ หยิบพู่กันเขียนบนหนังสัตว์ว่า ‘พี่ซู ข้าถูกคัดออกแล้ว’
สาวน้อยคอตก ดูละอายและหวาดหวั่น
ซูอี้ลูบศีรษะน้อย ๆ ของนางด้วยรอยยิ้ม “หากจะโทษ ก็โทษสายตาพวกเขาเถิด อย่าใส่ใจเลย”
อาหลีเขียนลงบนกระดาษต่อด้วยความจิตตกเคร่งเครียด ‘ข้ามิสนคำเย้าของพวกเขาหรอก แต่ข้ารู้สึกสงสารพี่สาวข้า’
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเก้าอี้หวาย และกล่าวว่า “บอกข้าที เกิดอันใดขึ้นระหว่างการประเมิน?”
สาวน้อยกำลังอัดอั้นไปด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็เหมือนได้พบผู้ให้ระบายทุกข์ และเขียนมันลงบนกระดาษทันที
แม้สาวน้อยจะมิอาจเขียนลงรายละเอียดได้ทั้งหมด ทว่าเมื่อได้อ่านสิ่งที่เกิด ซูอี้ก็คาดเดาถึงเหตุที่เกิด ณ ยามนั้นได้
อาหลีนั้นสงบเสงี่ยมและระแวดระวังอย่างมาก ซ้ำนางยังตัวคนเดียว ยามยืนโดดเดี่ยวในสนามเต๋านั้นก็ต้องประสบกับคำดูถูกเย้ยเยาะสารพัด
ทั้งต้องมารับวาจาลำพองสำคัญตนสูงของผู้ประเมินทั้งสามคน และคำเหยียดหยามของคนชื่อซุนอวิ๋นฉีผู้นั้นอีก!
คาดเดาได้เลยว่านางต้องถูกเหยียดหยามเพียงไร
นางพูดไม่ได้ จึงทำได้เพียงต้องกล้ำกลืนฝืนทน!
หลังจากได้อ่าน ดวงตาของซูอี้พลันเย็นเยียบอย่างไร้เสียง!