บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1541: อิจฉา
ตอนที่ 1541: อิจฉา
………………..
ตอนที่ 1541: อิจฉา
จนกระทั่งเมื่อเขาเห็นข้อความที่อาหลีเขียนบนพื้นด้วยเลือดยามออกจากสนามเต๋า
ซูอี้อดกล่าวด้วยความโล่งใจมิได้ “ดี! มีเจตนาเช่นนี้ ไฉนต้องกังวลว่านามจะมิกระฉ่อนเก้าสวรรค์?”
หากอาหลีทำเพียงระบายความเจ็บช้ำเศร้าโศก ซูอี้ก็จะเครียดอย่างยิ่ง แต่ยังห่างไกลจะโล่งใจเช่นยามนี้
‘พี่ซู ทัศนคติของคนเหล่านั้นน่าชิงชังเกินไป กระทั่งพี่สาวข้ายังต้องมาถูกข้าถ่วงแข้งถ่วงขา ให้คนพวกนั้นหัวเราะเยาะเสียหน้า ข้าจะจำไว้ให้มั่นว่าจะต้องให้พวกนั้นเบิกตามองให้ดีในภายหน้า!’
อาหลีเขียนบนกระดาษ
ซูอี้พยักหน้าพร้อมกับแย้มยิ้ม
เขากล่าวในใจว่าภายหน้าคือคราหลัง ยามนี้คือยามนี้ เมื่อเริ่มชุมนุมเซียนเจ็ดดารา ข้าจะช่วยเจ้าระบายโทสะให้!
‘พี่ซู ชุมนุมเซียนเจ็ดดาราครั้งนี้ พี่สาวข้าช่วยท่านหาโอกาสมาให้แล้ว พี่ต้องคว้าอันดับดี ๆ มาให้ได้นะ!’
อาหลีเขียนบนกระดาษ ‘ข้าได้ยินว่าขอเพียงติดสิบอันดับแรกจะได้รางวัลใหญ่ ไม่ต่างอันใดกับได้วาสนาเซียนเลย’
‘แต่พี่สาวข้าก็บอกว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดาราในหนนี้คือตัวตนสูงสุดจากรุ่นเยาว์ของสำนักเซียนใหญ่แห่งแคว้นจิ่ง พี่ซู ท่านต้องไม่กดดันจนเกินไปนะ’
เมื่ออ่านข้อความของสาวน้อยและสัมผัสถึงความเป็นห่วงได้จากมัน หัวใจของซูอี้ก็ท่วมท้นด้วยความอบอุ่น
น่าเสียดาย อาหลีหารู้ไม่ว่าโอกาสที่พี่สาวนางสู้เพื่อให้ได้มานั้นถูกเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักเซียนนภาหยกคัดค้านเสียแล้ว
ทว่าซูอี้หากล่าวถึงมันไม่
เขาลุกขึ้นกล่าว “ไป ไปหาพี่สาวเจ้ากัน”
อาหลีพยักหน้าอย่างว่าง่าย
……
ตั้งแต่กลับมา อาหนิงก็ขังตัวเองไว้ในห้องลำพัง นางยังคงเยาว์วัย เป็นเพียงหญิงสาวแรกแย้ม แม้ความสามารถของนางจะกล่าวได้ว่าหายากในโลกหล้า แต่นางก็อ่อนต่อโลกนัก
เดิมที นางอยากจะหาโอกาสวาสนาให้แก่น้องสาว และคิดว่าหากมีจดหมายจากอาจารย์ นางจะมอบโอกาสให้น้องสาวต่อสู้เป็น ‘หน่อเซียน’ ได้
ทว่าสัจธรรมนั้นประหนึ่งตบหน้านาง
ความอึดอัด โศกเศร้า โทสะ ความมิวางใจ… สารพัดอารมณ์พุ่งเข้าสู่หัวใจ ทำให้นางตระหนักเป็นคราแรกว่าการกระทำเก่าก่อนของนางน่าขันเหมือนเด็กเพียงไร
อาหนิงนั่งเงียบ ๆ ใบหน้าราวกับหยกนั้นหม่นหมองลง
นางรู้สึกเพียงติดค้างแก่น้องสาวนาง
“แม้ซูอี้จะกล่าวไว้ดี ทว่ายามเผชิญกับสัจธรรม นางก็ทำอันใดมิได้ กระทั่งผ่านการประเมินยังทำมิได้ แล้วเหตุใดจึงพูดถึงความเพียร ความกล้า และความคิดด้วย?”
อาหนิงรำพึง
กระทั่งนางยังไม่อาจปฏิเสธว่าคุณสมบัติของน้องสาวนาง… ธรรมดาเกินไปจริง ๆ
“แต่ว่า…”
อาหนิงกัดฟันกรอด ขณะครุ่นคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็อยากให้นางก้าวเดินบนวิถีฝึกตน เพื่อให้ผู้คนไม่หัวเราะเยาะและมองนางอย่างเหยียดหยามเช่นนี้!”
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ผู้ใด?”
อาหนิงขมวดคิ้ว นางบอกแล้วนี่ว่าไม่ให้ผู้ใดมากวนนาง
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเมื่อเสียงเคาะดังขึ้น ประตูจะถูกผลักเปิดทันควัน
จากนั้นซูอี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับอาหลี
“เจ้า…เจ้าจะมาเยาะเย้ยข้าหรือ?”
น้ำเสียงของอาหนิงเย็นชา
ทว่าชายหนุ่มกลับกล่าวกับอาหนิงว่า “พวกคนใหญ่คนโตของสำนักไม่เคยออกมาช่วยเจ้าเลยหรือ?”
อาหนิงส่ายหน้าพลางกล่าวอย่างหดหู่ “ไม่เลย”
นางหรือจะไม่รู้ว่า เหล่าผู้ทรงอำนาจเหล่านั้นหาถือสาเรื่องนี้จริงจังไม่ มีหรือจะลุกขึ้นช่วยเหลือนางกับน้องสาว?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงด้วยว่านครเซียนเทียนติ่งเป็นถิ่นฐานของสำนักดาบอุดรยะเยือก
“เจ้าจะถามเรื่องพวกนี้ไปเพื่อการใด?”
อาหนิงขมวดคิ้ว
ซูอี้กล่าวโดยไม่คิด “ข้าจะช่วยเจ้าสะสางโทสะนี้”
อาหนิง “???”
แม้จะรู้สึกว่าน่าขัน หัวใจของนางก็ยังรู้สึกตื้นตันมาก และน้ำเสียงก็อ่อนลง “อย่าเข้ามาพัวพันเลย ข้าขอให้ผู้อาวุโสหม่าช่วยเจ้าหาตำแหน่งเข้าร่วมในชุมนุมเซียนเจ็ดดาราแล้ว ถึงยามนั้น เจ้าต้องทุ่มสุดกำลังนะ บางทีเจ้าอาจถูกขุมกำลังเซียนบางแห่งเลือกเป็นศิษย์ก็ได้”
อาหลีที่อยู่ข้างกันนั้นเองก็พยักหน้าอย่างจริงจัง เห็นด้วยกับวาจาพี่สาวนาง
ซูอี้อดเงียบไปมิได้
เขาไม่เคยสนใจเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดารามาตั้งแต่ต้น ทว่าทั้งอาหลีและอาหนิงนั้นใจดีพอจะสู้เพื่อหาโอกาสให้แก่เขา
แล้วซูอี้ก็กล่าวขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสหม่าจากสำนักของเจ้าแจ้งแล้วว่าจะไม่ให้โอกาสข้าเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดารา”
อาหนิงพลันตะลึง “เป็นไปได้เช่นไร?”
อาหลีเองก็ตะลึงไปอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าจะถามเขาอีกครั้ง”
อาหนิงกล่าวอย่างหงุดหงิด “เขารับปากแล้วแท้ ๆ ไฉนมากลับคำเช่นนี้ได้?”
ซูอี้หยุดนาง กล่าวไว้ว่า “ข้าหาได้สนใจชุมนุมเซียนเจ็ดดารานี้ไม่ และหากต้องการเข้าร่วม ข้าก็มิต้องการความยินยอมของคนแซ่หม่านั่นก็เข้าได้”
ใบหน้าของอาหนิงเย็นเยือก “เจ้า… แน่ใจหรือว่าไม่อยากเข้าร่วม?”
ซูอี้พยักหน้า
อาหนิงชี้ไปที่ประตูและกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าอุตส่าห์ไปช่วยเจ้าหาโอกาส แต่เจ้ากลับไม่ยินดีกับมัน ข้าผิดหวังกับเจ้านัก ไปซะ!”
ซูอี้ “…”
จากนั้นเขาก็หันหลังจากไปโดยมิกล่าววาจาใดอีก
หากเขาต้องการจะทำบางอย่าง ผู้ใดก็เกลี้ยกล่อมเขามิได้
และสิ่งที่เขาไม่ต้องการทำ ผู้ใดก็ฝืนเขามิได้
……
เมื่อกลับสู่ที่พำนัก
ซูอี้ก็ทอดกายลงบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง
อาหลีตามมาอย่างรีบร้อน สายตามองชายหนุ่มอย่างเป็นกังวล ก่อนจะเขียนบนกระดาษ ‘พี่ซู พี่สาวข้ามิได้โกรธพี่นะ แต่ว่า…’
โดยไม่รอให้นางเขียนเสร็จ ซูอี้ก็กล่าวขัดขึ้นว่า “ข้าเข้าใจว่านางปรารถนาดี อ้อ แล้วก็เจ้าเก็บโอสถนี่ไป กลับไปหาพี่เจ้า และขอให้นางช่วยเจ้าหลอมรวมโอสถนี้เสีย ภายหน้าเจ้าจะได้กลับมาพูดอีกครั้ง”
กล่าวจบ ซูอี้ก็นำขวดหยกใบหนึ่งออกมาส่งให้อาหลี
ในขวดนั้นบรรจุโอสถเบญจขันธ์หลอมกระจ่างไว้เม็ดหนึ่ง
ร่างบอบบางของหญิงสาวสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ามิทันตั้งตัว ใบหน้าน้อยเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“รับไปเร็ว”
ยามนั้นเอง อาหลีจึงคืนสติ ยื่นมือออกไปรับด้วยปลายนิ้วสั่นสะท้านเล็กน้อย
ซูอี้โบกมือ “ไปเถอะ”
อาหลีสูดหายใจลึก ๆ และเขียนบนกระดาษ ‘พี่ซู ขอบคุณนะ!’
แล้วสาวน้อยก็หันหลังจากไป
ร่างผอมบางนั้นดูตื่นเต้นปรีดาเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
“ขอบคุณข้าเพื่อการใด เจ้าช่วยชีวิตข้า ซูอี้ผู้นี้นะ”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ
ใกล้ค่ำ
หนึ่งเสียงนุ่มนวลอันมีแรงดึงดูดพิเศษเฉพาะพลันดังขึ้นในที่พำนักของซูอี้
“ใต้เท้าจอมราชัน ผู้น้อยรวบรวมโอสถเซียนมาพอแล้ว โปรดชมดูเถิดเจ้าค่ะ”
“เข้ามาสิ อย่าให้ผู้อื่นรู้ตัวนะ”
ซูอี้เดินออกจากห้อง
ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ
นางสวมชุดคลุมยาวเรียบง่าย เรือนผมยาวรวบสูง เอวคอดบาง แม้ทั่วทั้งร่างจะไม่มีเครื่องประดับ แต่ก็ยังยากจะซ่อนความงามทรงเสน่ห์อันตรึงตาสะกดใจของนางได้ ดุจนงคราญล่มแดนดิน
นางคือชิงเวย
สตรีบางนางกล่าวได้ว่าเป็นนางเซียนเหนือสรวง เย็นชาเย่อหยิ่ง
สตรีบางนางกล่าวได้ว่าเป็นดั่งหายนะแห่งโลกหล้า สะคราญโฉมสะกดตาล่มแดนดิน
ชิงเวยเป็นอย่างหลัง
จอมปีศาจวิถีเซียนผู้บรรลุสู่ขอบเขตศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้สามารถทำให้หัวใจของคนนับมิถ้วนไหวหวั่นได้ในทุกกิริยา
ทว่ายามเผชิญหน้ากับซูอี้ นางกลับสำรวมกิริยา ก้มหัวค้อมตัวลง
เมื่อเขาเดินออกมาจากเรือนพักและค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้หวาย ชิงเวยก็ก้าวเข้ามามอบสมบัติสัมภาระชิ้นหนึ่งด้วยสองมือ
“ใต้เท้าจอมราชันโปรดตรวจดูเถิด!”
ชิงเวยกล่าวอย่างเคารพ
แม้พลังจะยังมิฟื้นตัว ทว่าอำนาจจิตวิญญาณของเขาก็ยังอยู่ เขารับสมบัติสัมภาระมา และใช้จิตสัมผัสเข้าตรวจสอบทันที
โอสถเซียนหลายสิบชิ้นซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า หายากทั่วฟ้าดินปรากฏขึ้นอย่างครบถ้วน
“เยี่ยม”
ซูอี้เอ่ยชม “แค่วันเดียวก็ได้มาหมดแล้ว ทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ”
คู่เนตรงามของชิงเวยเปล่งประกาย ริมฝีปากแดงแย้มยิ้ม “เราล้วนกระทำการอย่างสุดกำลังเพื่อรับใช้ใต้เท้าจอมราชันเจ้าค่ะ”
ซูอี้เก็บแหวนสัมภาระไปและกล่าวว่า “ยามเจ้ามา ข้าเกรงว่าเจ้าคงรู้สถานการณ์ของที่นี่แล้วกระมัง?”
คู่เนตรงามของชิงเวยเกร็งตัวเล็กน้อย ขณะกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ผู้น้อยหาตั้งใจไม่ ทว่าเพื่อหาที่อยู่ของใต้เท้าจอมราชันในการส่งโอสถเซียนด้วยตนเอง เลย…”
ชิงเวยเงียบครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “ศักยภาพของแม่หนูผู้นี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปจริง ๆ เจ้าค่ะ แต่เรื่องนั้นมิสำคัญ เพราะ… ผู้น้อยรู้สึกอิจฉานางนักเจ้าค่ะ”
“อิจฉา? เพราะเหตุใดกัน”
ซูอี้ว่า
ชิงเวยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปกปิดความคิดของตนเองเลยแม้แต่น้อย “นางได้รับความเอ็นดูจากใต้เท้าจอมราชันตั้งแต่ได้ก้าวสู่วิถีฝึกฝน แค่นี้ก็ทำให้ผู้ใดก็ตามในวิถีเซียนริษยาตาร้อนได้แล้วเจ้าค่ะ และผู้น้อยก็ย่อมมิใช่ข้อยกเว้น”
ซูอี้ยิ้มค้าง
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวเบา ๆ “การเข้ามาพัวพันกับข้ายังหมายถึงต้องแบกรับอันตรายเกินคาดเดา กล่าวได้ว่าโชคเคราะห์หนุนเสริมกันนะ”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ส่ายหน้ากล่าว “พอเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้เลย เมื่อการฝึกฝนของข้าฟื้นคืน ยังมีเรื่องมากมายต้องทำ และข้าย่อมไม่อาจดูแลอาหลีได้ ข้าอยากให้นางอยู่กับเจ้าก่อน ให้เจ้าดูแล ชี้ทางการฝึกฝนให้นาง”
ร่างของชิงเวยสั่นสะท้านและกล่าวขึ้นอย่างยินดียิ่ง “ผู้น้อยจะมิให้เสียความเชื่อใจของใต้เท้าจอมราชันแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่ และกล่าวว่า “ก่อนถึงยามนั้น เจ้าขอความเห็นอาหนิงก่อนนะ หากนางเต็มใจ ก็ให้เจ้าดูแลนางด้วยอีกคน”
เหตุผลที่เขาคิดเช่นนี้ก็มิใช่ใดอื่น นอกจากหวังว่าอาหลีจะมีผู้ร่วมทาง เพื่อมิเหงาหงอยจนเกินไป และอาหนิงผู้เป็นพี่สาวของนางก็เป็นผู้เหมาะสมที่สุดโดยมิต้องสงสัย
แน่นอนว่าเงื่อนไขอยู่ที่อาหนิงจะตอบตกลงหรือไม่ด้วย
“ได้เจ้าค่ะ!”
ชิงเวยรับคำโดยมิต้องคิด
“ไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือ ลุกขึ้นและเดินกลับห้อง
เขาอยากฟื้นการฝึกฝนของเขาโดยเร็วที่สุดแทบรอมิไหว
“ใต้เท้าจอมราชัน ผู้น้อยขอบังอาจถามเจ้าค่ะ”
ชิงเวยอดกล่าวมิได้ “ท่าน… อยากจะไปเข้าร่วมชุมนุมเซียนเจ็ดดารานั่นจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
ซูอี้นิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า “ไป”
“เจ้ามิต้องเข้ามาพัวพันนะ”
ซูอี้กล่าวเตือน
เขาไม่ชอบการรังแกกันเสมอมา
หากชิงเวยเข้าพัวพัน เรื่องราวจะน่าเบื่อเกินไป
“ผู้น้อยเข้าใจแล้ว จะมิเข้าไปพัวพันกับแผนของใต้เท้าจอมราชันเจ้าค่ะ”
ชิงเวยยิ้มหวาน กิริยาทรงเสน่ห์ตรึงตา ร่างสง่างามของนางภายใต้แสงอัสดงเผยเสน่ห์เย้ายวนถึงชีวิต ทำให้ผู้คนใหลหลง
หัวใจของซูอี้อดสะท้านมิได้
เสน่ห์ของนางปีศาจระดับราชันเซียนผู้นี้ใหญ่หลวงนัก!
แม้หัวใจจะแข็งแกร่งเยี่ยงเหล็ก เขาก็ยังแทบมิอาจห้ามไหว ผู้อื่นจะเหลืออันใด
“น่าเสียดาย การฝึกฝนของข้าในยามนี้ยังต้อยต่ำเกินไป หาไม่…”
ซูอี้ส่ายหน้า มิคิดมากถึงเรื่องนั้น
จนกระทั่งร่างของเขาเดินกลับห้อง ชิงเวยก็กะพริบตาทรงเสน่ห์เปี่ยมจิตวิญญาณของนาง ยกริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างดูจะเห็นบางอย่าง ก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
คืนนั้น หลังจากอาหนิงช่วยอาหลีหล่อหลอมโอสถเบญจขันธ์หลอมกระจ่างสำเร็จ อาหลีผู้เป็นใบ้มาสามปีก็สามารถพูดได้ในที่สุด…
………………..