บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 155 หนวดหงิกสะพายดาบ
ตอนที่ 155 : หนวดหงิกสะพายดาบ
ณ เรือนเงียบสุขสงบ
ขณะนี้ซูอี้กำลังสั่งกำชับ “เตรียมตัวให้ดี อีกประเดี๋ยวพวกเราจะต้องออกเดินทางกันแล้ว”
ฉาจิ่นอุทานด้วยความตะลึง “ออกเดินทาง?”
ซูอี้เหลือบมองดูนาง “มีปัญหาหรือ?”
ฉาจิ่นสะดุ้ง รีบสั่นศีรษะพลางกล่าว “คุณชาย พวกเราจะไปที่ใดกัน?”
“มหานครกุ่นโจว” ซูอี้พูดพลางเดินเข้าไปในห้องก่อนแล้ว
ฉาจิ่นที่ได้ยินพลันตะลึง ตัดสินใจไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยหรือ?
รู้เช่นนี้เสียแต่แรก เหตุใดไม่โดยสารเรือไปพร้อมกับพวกแม่นางหลิงเสวี่ยเสียเลยเล่า?
หรือหากต้องไป อย่างน้อยก็ควรจะเตรียมตัวล่วงหน้าสักหนึ่งวัน
เหตุใดคิดจะไปก็ไปเลยเช่นนี้?
ชั่วขณะนี้ฉาจิ่นอ่านความคิดของซูอี้ไม่ออกเลยจริง ๆ
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยไม่เข้าใจ ทว่านางยังคงรีบกลับห้องไปเก็บข้าวของสัมภาระ
อันที่จริงไม่มีอะไรต้องเก็บมากนัก มากสุดก็มีเพียงเสื้อผ้าเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
เมื่อเดินออกมาจากห้องก็เห็นซูอี้อยู่ที่ศาลา กำลังเก็บเก้าอี้หวายตัวนั้น
“…” ฉาจิ่นตาแทบถลน มีใครบ้างในโลกหล้าที่ออกเดินทางแล้วพกเก้าอี้ไปด้วย?
“คุณชาย ต้องเตรียมเสบียงอาหารแห้งกับของใช้อย่างเครื่องกันฝนไปด้วยไหมเจ้าค่ะ?”
“ไม่ต้อง”
“ถ้าเช่นนั้น… ท่านจะไปทางเรือหรือว่าขี่ม้า หรือว่านั่งรถม้าเจ้าค่ะ?”
“เดินเท้า” ได้ยินคำตอบนี้แล้ว ฉาจิ่นอดยกมือประคองหน้านิ่งด้วยความตะลึงไม่ได้
จุดหมายปลายทางที่จะไป… มันไกลออกไปเกือบแปดร้อยลี้เชียวนะ!
ต่อให้ตะบึงขี่ม้านับรวมเวลาพักผ่อนหลับนอนระหว่างทาง ไปถึงที่หมายก็ยังต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวันเลยทีเดียว!
นับประสาอะไรกับเดินเท้า?
จนกระทั่งเดินตามซูอี้ออกมาจากเรือนเงียบสุขสงบ มองดูซูอี้เอื้อมมือใส่กลอนประตูใหญ่เสร็จเรียบร้อย ฉาจิ่นจึงกล่าวขึ้นราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน “คุณชาย ท่านจะเดินเท้าจริง ๆ หรือเจ้าค่ะ?”
“เจ้าสามารถถือการเดินเท้าครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวฝึกตนเแบบหนึ่งก็ย่อมได้”
ซูอี้มือไพล่หลังเดินหน้าไป “ใช้ฝีเท้าวัดแผ่นดิน ภูเขา ห้วงลำธาร ใช้จิตสัมผัสทิวทัศน์ระหว่างทาง กินลมดื่มน้ำค้าง ตากลมอาบน้ำฝน มีคุณประโยชน์เหลือคณาต่อผู้ฝึกตนเช่นข้า”
“ฝึกตน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกตะหงิด ๆ ว่าเจ้าต้องการจะตามเหวินหลิงเสวี่ยไปมหานครกุ่นโจว?” ฉาจิ่นแอบบ่นพึมพำ
ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าฉาจิ่นยังคงติดตามไปแต่โดยดี เพียงแต่ว่า… พอนึกว่าต้องเดินเท้าไปมหานครกุ่นโจวแล้ว หัวใจดวงน้อยแทบจะสลาย
ซูอี้กลับไม่ได้คิดมากถึงเพียงนั้น
การฝึกตนของเขาหยุดอยู่ที่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ขืนไม่สำเร็จลุขั้นอีก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะรับได้
จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เคยเชิญเขาไปหุบเขามารบุปผาโลหิต ด้วยหนึ่งเดือนให้หลังจะมีปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งเกิดขึ้น
ทว่าเขาไม่อาจรอได้นานถึงเพียงนั้น
…แท้ที่จริง การเดินทางไปมหานครกุ่นโจว ไม่ใช่ความหุนหันพลันแล่นแต่อย่างใด
ประการที่หนึ่ง เขาต้องการไปถอนรากถอนโคนอันตรายบางอย่างที่ซุกซ่อนตัวอยู่ เช่นเว่ยเจิงหยาง
จากนั้นว่าจะไปพบกับเหวินเสวี่ยเจา เพื่อให้เรื่องราวระหว่างกันสิ้นสุดกันเสียที
ถึงแม้จะไม่สามารถยกเลิกสัญญาการสมรสได้ในทันที แต่ก็เป็นการเตือนนาง ว่าหากยังอยู่ร่วมกันในนามของสามีภรรยา เขาซูอี้ไม่มีทางยอมให้เกิดเหตุการณ์สวมหมวกเขียว*[1] อย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้น ชายหนุ่มก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าเหวินเสวี่ยเจาด้วยอีกคน
แน่นอน ทั้งหมดนี้คือผลเลวร้ายที่สุดซึ่งคาดไว้
อย่างไรเสีย ไม่เห็นแก่หน้าพระก็ยังต้องเห็นแก่หน้าพุทธองค์ เพื่อเห็นแก่หน้าของเหวินหลิงเสวี่ย ทางที่ดีที่สุดคือไม่ลงมือฆ่าพี่สาวของนาง
นอกจากนี้ การไปมหานครกุ่นโจวในครั้งนี้สามารถถือโอกาสไปพบเวิงอวิ๋นฉีได้ เพราะการไปพรรคมารหยินสาขาย่อย ณ มหานครกุ่นโจว ก็ถือเป็นการช่วยชิงหว่านสืบเสาะเบาะแสชาติกำเนิดด้วยเช่นกัน
ประการที่สอง คืออย่างไรเสียมหานครกุ่นโจวก็ถือได้ว่าเป็นเมืองใหญ่ของแคว้นสำคัญหนึ่งในหกแคว้น ไม่ว่าด้วยขนาดหรือความเจริญรุ่งเรืองของมหานครกุ่นโจว เมืองอย่างมหานครอวิ๋นเหอยังห่างไกลนัก
ว่ากันว่าที่มหานครกุ่นโจว มีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการฝึกตนของปรมาจารย์ ซึ่งมีความสมบูรณ์เพียบพร้อมมาก
ดังเช่นตำหนักเทียนหยวน หนึ่งในสิบมหาตำหนักแห่งมหาอาณาจักรโจวก็ตั้งอยู่บน ‘ยอดเขาเทียนหยวน’ ซึ่งห่างจากมหานครกุ่นโจวไปหลายสิบลี้
เช่นเดียวกัน ปรมาจารย์บางท่านในหกเขตปกครองของแคว้นกุ่นล้วนพำนักอยู่ในมหานครกุ่นโจว เพราะมีแต่สถานที่เช่นนั้นเท่านั้นจึงสามารถตอบสนองความต้องการด้านการฝึกตนของพวกเขาได้
ดังคำกล่าวที่ว่าคนเรามีแต่จะเดินขึ้นสู่ที่สูง ดังนั้นมันก็ย่อมเป็นเช่นนี้แล
——
หนึ่งวันถัดมา
หยวนลั่วซีเข้ามาในตรอกน้ำเต้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี วันนี้นางมาเชิญซูอี้ไปเป็นแขกที่บ้าน
ทว่าเมื่อเห็นกลอนประตูบนประตูใหญ่ของเรือนเงียบสุขสงบ นางก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันใด
คุณชายซูออกไปข้างนอกเช่นนั้นหรือ?
หยวนลั่วซีครุ่นคิดสักครู่จึงเริ่มเดินถามชาวบ้านในตรอกน้ำเต้า ไม่นานนักก็ได้รับคำตอบ…
ซูอี้พาฉาจิ่นจากไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!
หยวนลั่วซีกลับไปพร้อมด้วยความผิดหวังเต็มหัวใจ
เมื่อหยวนอู่ทงทราบข่าวนี้ก็นิ่งตะลึงไปเช่นกัน ทว่าทันใดก็รำพึงออกมา
“ไม่ผิดจากที่ข้าคาดไว้เลยจริง ๆ เป็นไปไม่ได้ที่คนระดับคุณชายซูจะอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอเล็ก ๆ ได้นาน”
“แต่ในเมื่อคุณชายซูต้องการจะจากไป เหตุใดจึงไม่บอกล่วงหน้าเล่า?” หยวนลั่วซีกระฟัดกระเฟียด
“คนระดับเขาเช่นนั้น เหตุใดต้องบอกพวกเราด้วย?” หยวนอู่ทงย้อนถาม
หยวนลั่วซีนิ่งไป นั่นสินะ คนไม่ยึดติดราวกับเทพเซียนตกสวรรค์อย่างคุณชายซูเช่นนั้น ไหนเลยจะใส่ใจกับการบอกลาและส่งอำลากัน?
หยวนอู่ทงกล่าวเตือนด้วยท่าทีจริงจัง “ยัยหนู พวกเรากับเขาต่างกันเกินไป ต่อให้เจ้าวิ่งไล่ตามด้วยความลำบากเพียงใด ชั่วชีวิตนี้ก็ไล่ตามไม่ทัน มีแต่จะยิ่งห่างไกลเขาออกไปทุกที”
ใบหน้าน้อย ๆ ของหยวนลั่วซีร้อนขึ้นมา พูดแง่งอน “ท่านพูดเรื่องอะไรกัน ในใจของข้ามีเพียงแค่ความเคารพนับถือคุณชายซูเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น”
หยวนอู่ทงถาม “จริงหรือ?”
หยวนลั่วซีตอบกลับทันใด “แน่แท้!”
คำตอบหนักแน่นยิ่งนัก
เพียงแต่ว่า ระหว่างทางกลับไปที่ห้องของตัวเอง จิตใจของหยวนลั่วซีกลับเลื่อนลอย ในใจของตนเอง มีแค่ความเคารพนับถือเท่านั้นจริงหรือ?
หากว่าเป็นเช่นนี้ เหตุใดเมื่อรู้ว่าคุณชายซูจากไปโดยไม่ร่ำลา จึงรู้สึกผิดหวังและเสียใจถึงเพียงนั้นกันเล่า?
หยวนลั่วซีกลับถึงห้องด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น และไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น ราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“ใช่แล้ว คุณชายซูเคยบอกว่าเขาจะไปมหานครกุ่นโจว และอีกไม่นานนักข้าก็จะต้องไปที่ตำหนักเทียนหยวน ถึงเวลานั้นก็มีโอกาสได้พบกันอีก!”
นึกถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาสวยของหยวนลั่วซีก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา ใบหน้างดงามเปล่งประกายเฉิดฉาย
เวลานี้นางจึงพบว่าฟ้ามืดแล้ว แต่ตนเองกลับนั่งพร่ำเพ้ออยู่ในห้องทั้งวัน หิวจนท้องแทบจะแฟบอยู่แล้ว
“ใครก็ได้ เตรียมอาหารให้ข้าด้วย ข้าจะกินให้อิ่มไปเลย!”
เมื่อหยวนลั่วซีเดินออกมาจากห้อง สีหน้าจึงกลับสู่ความแช่มชื่นเบิกบานแล้ว
ภายใต้ราตรีเฉกเช่นเดียวกัน
ณ ป่าไพรไร้ผู้คนซึ่งอยู่ห่างออกไปสามร้อยลี้จากมหานครอวิ๋นเหอ ที่นั่นฝนกำลังตกห่าใหญ่
ราตรีมืดครึ้ม ฝนตกหนักเหลือเกิน หยดฝนกระแทกลงบนกิ่งไม้ใบหญ้าเกิดเป็นเสียงดังซ่า ๆ
ดินแดนแห่งภูผากลางป่าเขา มีถ้ำกว้างประมาณสามวาคล้ายกับห้องเก่า ๆ สามารถให้คนเข้าไปหลบฝนได้
กองไฟลุกโชนภายในถ้ำให้ความรู้สึกอบอุ่น
นอกถ้ำมีแต่เพียงราตรีอันมืดมิดอึมครึมกับสายฝนห่าใหญ่ ลมเย็นฝนสาดนำมาซึ่งความเปียกชื้นหนาวเหน็บจนทิ่มแทงกระดูก
“คุณชาย เกรงว่าคืนนี้พวกเราต้องค้างคืนกันที่นี่แล้ว” ฉาจิ่นกล่าวเสียงเบา
นางนั่งข้างกองไฟ สวมชุดเรียบง่ายเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง ผมดำขลับเงางามถูกเกล้าขึ้นสูง เผยให้เห็นคอขาวเนียนยาวระหง
ทว่า ถึงแม้จะใส่ชุดเรียบง่ายเช่นนี้ ก็ยังยากนักจะปกปิดเรือนร่างที่งดงามของนางได้
“รีบร้อนอะไร เอาแต่ออกเดิน จะมีแต่ทำให้ละเลยความงดงามของภูเขาลำธาร”
อีกด้าน ซูอี้ถือสุรานั่งสบายอยู่บนเก้าอี้หวาย ดื่มไปพูดไป ช่างสำราญใจยิ่งนัก
มุมปากของฉาจิ่นกระตุกเล็กน้อย
ความงดงามของภูเขาลำธารอันใดกัน นับตั้งแต่เดินทางออกจากเขตปกครองอวิ๋นเหอ แล้วก็ข้ามน้ำข้ามเขามาตลอดทาง หนทางที่เดินมีแต่จะเฉอะแฉะกันดาร สิ่งที่ได้พบเห็นล้วนมีแต่ป่าเขาไพรร้าง
พอกระหายก็ดื่มได้แต่น้ำในป่า พอหิวก็ได้แต่ล่าสัตว์กับเก็บผลหมากรากไม้ประทังท้อง ตลอดทางเจอกับความทุลักทุเลมาแล้วไม่รู้เท่าใด!
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หนึ่งวันหนึ่งคืนเจอฝนตกหนักถึงสามห่า เสื้อผ้าที่ใส่เปียกแล้วก็แห้ง แห้งแล้วก็เปียกอีก ทั้งเปรอะทั้งเลอะไปด้วยดินโคลนและกลิ่นเหงื่อ
ทำให้ผู้ที่รักความสะอาดสะอ้านอย่างฉาจิ่นแทบจะทนไม่ไหว
ซูอี้ปลายตามองไปที่ฉาจิ่นพลางกล่าว “ต้าเหนิงแห่งสำนักพุทธก็เคยสวมชุดกระสอบอุ้มบาตรเดินเท้าเปล่าบนแผ่นดินอันทุรกันดารโดยไม่หวาดกลัวต่อความทุกข์ยาก หนาวเหน็บ และร้อนระอุ ผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของสำนักเต๋าก็เคยข้ามน้ำข้ามเขาเพื่อรับรู้ถึงรสธรรมระหว่างฟ้าดิน ส่วนเหล่าซิ่วไฉอาวุโสของสำนักปราชญ์ต่างก็ว่า ‘อ่านตำราหมื่นฉบับไม่สู้เดินทางหมื่นลี้’ รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
ฉาจิ่นถามด้วยอาการตะลึง “เพราะเหตุใด?”
ซูอี้ยกสุราขึ้นดื่มเสร็จจึงตอบ “ฟ้าดินมีความงดงามแต่ไม่เอ่ย สรรพสิ่งมีกฎเกณฑ์แต่ไม่พูด ธรรมแห่งฟ้าดิน ความสำคัญแห่งการฝึกตน ล้วนอยู่ใต้เท้าที่เดินมาตลอดทางของเจ้า”
“แต่เหตุใดผู้น้อยจึงไม่รู้สึกเลยสักนิดเจ้าค่ะ?” ฉาจิ่นสงสัยนัก
ซูอี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “เพราะเจ้าโง่”
ฉาจิ่น “…”
ซูอี้คร้านจะพูดต่ออีก สายตาของเขามองไปนอกถ้ำหิน มองดูราตรีมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป
ในเวลานี้เอง ท่ามกลางลมฝนยามราตรี ทันใดมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ตอนที่เพิ่งได้ยินเสียงฝีเท้ายังคงอยู่ไกลนัก ทว่าเมื่อฟังอีกครั้งกลับอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม
ดวงตางามของฉาจิ่นหรี่ลง มองเห็นร่างผู้ชายตัวโตหนวดหงิกเดินเข้ามา เวลาที่น้ำฝนหยดกระทบตัวเขาจะถูกสะเทือนจนกระเด็นออกไป
พลังของเขาดุดันมาก ดวงตากะพริบเร็วราวกับสายฟ้าแลบ สะพายดาบใหญ่หนึ่งเล่มพร้อมฝัก พอเข้าใกล้ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา
จอมยุทธ์!
ดวงตางามของฉาจิ่นระแวดระวังขึ้นมา ป่าเขาไพรร้างเช่นนี้ ท่ามกลางฝนตกหนักฟ้าคะนอง กลับมีบุคคลวิถียุทธ์ร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏตัว เป็นใครล้วนต้องระแวดระวัง
สิ่งที่น่าหวาดวิตกยิ่งกว่าคือในมือผู้ชายหนวดหงิกหิ้วเสือโคร่งตัวหนึ่ง และบนหัวเสือมีรอยหมัดที่ลึกมาก
เห็นได้ชัดว่าถูกชกจนตาย!
เสือตัวขนาดนี้อย่างน้อยคงหนักหลายร้อยชั่ง ทว่าเขากลับหิ้วมันราวกับไร้น้ำหนัก
“รบกวนท่านทั้งสองด้วย ฝนตกหนักเกินไป มองเห็นแต่ไกลว่าที่ตรงนี้มีแสงไฟกะพริบจึงรีบตรงมา เมื่อฝนหยุดตกแล้วข้าก็จะไป”
พูดพลาง ผู้ชายหนวดหงิกก็เดินเข้ามาในถ้ำหิน แล้วสะบัดร่างเสือตัวนั้นลงกองกับพื้น จากนั้นทิ้งตัวนั่งลงอีกด้านของกองไฟ
ฉาจิ่นทนไม่ไหว มองไปที่ซูอี้ กลับเห็นซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายราวกับไม่รู้สึกอันใดทั้งสิ้น
หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่สนใจการมาของผู้ชายหนวดหงิกคนนี้แม้แต่น้อย
เห็นเช่นนี้ ฉาจิ่นจึงปิดปากเงียบไม่พูดเช่นกัน
บรรยากาศเปลี่ยนไป รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ผู้ชายหนวดหงิกราวกับสงสัยอยู่บ้าง เขามองดูซูอี้ แล้วก็มองดูฉาจิ่นอีกครั้ง สุดท้ายได้แต่ส่ายหน้าและนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน หลับตาพิงตัวกับผนังถ้ำพักเอาแรง
ในช่วงราตรี มีแต่เสียงลมกับเสียงฝนเท่านั้น รวมถึงเสียงไม้แตกเปรี๊ยะ ๆ ในกองไฟ
ฉาจิ่นนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความอึดอัดอย่างมาก หากว่าฝนห่านี้ตกไม่ยอมหยุด ไม่ต้องคอยระแวดระวังตัวกันไปตลอดเช่นนี้หรอกหรือ?
ทันใด ท่ามกลางสายฝนที่ไกลออกไปมีเสียงดังสนั่นขึ้นมา
ฉาจิ่นนิ่งไป มีคนมาอีกแล้วหรืออย่างไร?
ผู้ชายหนวดหงิกพิงผนังถ้ำลืมตาขึ้นเงียบ ๆ นั่งตัวตรงแล้วจึงถาม “ท่านทั้งสองไม่ต้องร้อนรนไป ประเดี๋ยวไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พวกเจ้าเพียงแค่คอยดูเหตุการณ์เท่านั้น อย่าได้เข้ามาร่วม”
ซูอี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “หากว่าเจ้าไม่ต้องการจะทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วย จงจากไปจากที่นี่ตอนนี้ ไม่ใช่มาพูดไร้สาระเช่นนี้”
[1] สวมหมวกเขียวหมายถึงการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแอบมีคนอื่น เหมือนกับภาษาไทยคำว่า สวมเขา