บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 156 หายนะหล่นจากฟ้า
ตอนที่ 156: หายนะหล่นจากฟ้า
ผู้ชายหนวดหงิกตกใจ คงเป็นเพราะไม่คิดว่าเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่งกลับบังอาจพูดกับตนเองเช่นนี้
ทว่าเขาเป็นคนใจกว้าง ไม่ถือสาเอาความกับคนหนุ่ม จึงเพียงแค่หัวเราะขบขัน “วางใจเถอะ จะไม่ให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแม้ปลายผม”
ก่อนที่จะถึงตรงนี้ ผู้ชายหนวดหงิกเข้าใจโดยสัญชาตญาณว่าซูอี้จะต้องเป็นบุตรหลานของวงศ์ตระกูลใหญ่ใตที่ใดสักแห่งเป็นแน่
ไม่เช่นนั้น ใครบ้างจะพาหญิงรับใช้อรชรอ่อนช้อยออกเดินทางมาด้วย?
ที่หนักยิ่งกว่าคือ เห็นได้ชัดว่าบุตรหลานมีสกุลคนนี้อยู่สุขสบายจนเคยตัว ยังนำเก้าอี้หวายติดมาด้วย…
“ฉางกั้วเค่อ คิดจะเป็นพระโพธิสัตว์ปั้นดินข้ามแม่น้ำ*[1] กระทั่งตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ยังกล้ากล่าวอีกว่าจะให้ความคุ้มครองคนอื่น ไม่ละอายบ้างเลยหรือ?”
ท่ามกลางสายฝน เสียงหยดย้อยเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นร่างสะโอดสะองร่างหนึ่งก็เดินยักย้ายมา
นางอยู่ในชุดสีเขียวไผ่ ถือร่มกระดาษน้ำมัน ใบหน้าสวยหยาดเยิ้ม แม้ว่าเยื้องกรายอยู่ท่ามกลางม่านฝนหนาก็ยังงดงามแช่มช้อย
ผู้ชายหนวดหงิกลุกขึ้น ร่างสูงใหญ่ปิดกั้นอยู่นอกปากถ้ำ หัวเราะเสียงดังลั่น “พระโพธิสัตว์ปั้นด้วยดินแล้วอย่างไร ฆ่าเจ้าสักคนนั้นง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ!”
“หากรวมข้าอีกคนเล่า?”
เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างดำทะมึนท่ามกลางม่านฝนที่ไกลออกไปผลุบมาปรากฏข้างกายหญิงสาวชุดเขียว
คนที่มาร่างเล็กผ่ายผอม เส้นผมรำไร ใบหน้าเหี่ยวย่น ทั้งยังหลังค่อม ดูแล้วไม่มีอะไรเด่น
ทว่าในมือทั้งสองของเขากลับถือขวานคู่สีดำขนาดครึ่งตัวของเขา ยืนอยู่ตรงนั้น บนใบหน้ามีแต่ความเย็นชาและเหยียดหยาม
ผู้ชายหนวดหงิกหรี่ตาลง ยังคงหัวเราะ “หากว่าข้าออกฝีมือสุดกำลัง พวกเจ้าสองคนรวมกันก็ยังไม่พอสู้”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมร้องฮึ
ฉาจิ่นมองดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ในใจรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา นางมองการฝึกตนของคนทั้งสองไม่ออก ทว่ากลับได้กลิ่นอายแห่งอันตราย
นางอดส่งสายตาไปยังซูอี้ไม่ได้ กลับเห็นซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ศอกขวาวางพาดอยู่บนที่วางแขนของเก้าอี้ มือเท้าคาง ส่วนมือซ้ายถือกาสุรา นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความสบายใจ สายตามองไปยังกองไฟราวกับกำลังเหม่อลอย
เปลวไฟสะท้อนอยู่ในดวงตาลุ่มลึกของเขา พลันสว่างพลันมืด
อย่างไรเสียก็ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจเหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นภายนอกเลย และคร้านจะแบ่งใจมาสนอีกด้วย
ทว่า เนื่องด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน และอหังการเหลือเกินเช่นนี้เอง กลับทำให้ความหวาดกลัวภายในใจฉาจิ่นมลายหายไป รู้สึกสงบขึ้นมา
คน ๆ นี้ฆ่าตัวตนเก่งกาจระดับปรมาจารย์อย่างหนานเหวินเซียงราวกับฆ่าไก่ กระทั่งดาบยันต์ที่ถูกสร้างโดยเทพเซียนเดินดินก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ หากว่ามีอันตรายจริง…
ไม่ถูก!
คนอื่นเจอกับเขาสิจึงจะเรียกว่าอันตราย
คิดได้เช่นนี้ ร่างน้อยอันเกร็งกระด้างของฉาจิ่นก็ผ่อนคลายลง ปรายตางามมองไปที่หน้าถ้ำ ตั้งใจว่าจะดูให้สนุก
“ไก่แจ้เฒ่า อย่าดื้อรั้นเลย ‘ดาบเก้าสยบมาร’ ของฉางกั้วเค่อดังกระฉ่อนไปทั่วหกเขตปกครองมหานครกุ่นโจว ไม่ได้มีแต่ชื่อเท่านั้น หากว่าเอาชีวิตเข้าแลก ข้าก็จะจริงจังด้วยเช่นกัน”
ฉับพลัน เสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในม่านฝนราตรีสงัด มีคนหนึ่งเดินมา สวมชุดกว้างรัดเอว มือถือไม้กระดานสีดำ
เวลาที่เดิน ปลายเท้าของเขาราวกับไม่ได้แตะพื้น น้ำฝนสาดเทกระหน่ำไม่อาจเปรอะเปื้อนโดนชุดของเขา สง่ายิ่งนัก
เห็นคน ๆ นี้แล้ว สีหน้าของผู้ชายผมหงิกเปลี่ยนไป เคร่งเครียดยิ่งนัก กลิ่นอายคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ผู้เป็นนายของพวกเจ้าช่างให้เกียรติข้าเสียจริง ถึงขั้นส่งสุนัขบ้าอย่างเจ้ามา”
ผู้ชายชุดกว้างยิ้มน้อย ๆ กล่าว “หากว่าพี่ฉางรับปาก ภายในหนึ่งเดือน ไม่ย่างเท้าเข้าสู่มหานครกุ่นโจวแม้แต่ครึ่งก้าว ข้าจะใช้สุราอย่างดีอำลาส่งเจ้า”
“อย่าพูดมาก ต่อให้ข้ารับปาก เกรงว่าพวกเจ้าก็คงไม่เชื่อ และเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะรามือเพียงเท่านี้”
ผู้ชายหนวดหงิกกล่าวเสียงเย็นยะเยือก
ผู้ชายชุดกว้างปรบมือชมเชย กล่าว “พี่ฉางคาดการณ์แม่นยำราวเทพเซียน แต่เจ้าพูดผิดไปแล้ว หากว่าเจ้าตัดขาข้างหนึ่งของตัวเองทิ้ง ข้าสามารถสาบานต่อฟ้ารับรองจะให้เจ้าได้จากไปขณะมีชีวิตอยู่”
ครืน!
เพิ่งพูดจบ จู่ ๆ มีเสียงสายฟ้าฟาดดังขึ้นบนฟากฟ้า
ทุกคนนิ่งเงียบในทันใด
สีหน้าของแต่ละคนดูประหลาด
ฉาจิ่นแทบจะอดไม่ไหวหัวเราะออกมา กระทั่งสวรรค์ก็ยังไม่เชื่อคำสาบานของคน ๆ นี้กระนั้นหรือ?
ผู้ชายชุดกว้างสีหน้าเจื่อนจ้อย ลูบจมูกพลางกล่าว “ฤดูฝนตกเช่นนี้ ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อผู้ให้คำสาบาน”
หญิงสะคราญชุดเขียวมือถือร่มแผดน้ำเสียง “อินเซียนเซิง ถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่ลงมือส่งฉางกั้วเค่อสู่แดนอัสดงอีก?”
ผู้ชายชุดกว้างถอนใจ “ออกรบต้องใช้กลยุทธ์ทำลายใจศัตรู หากว่าเขาเชื่อว่าพวกเราจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอดจริง ก็เท่ากับเมื่ออับจนหนทาง ย่อมไม่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกอีก หากเป็นเช่นนี้ จะจัดการกับเขาง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดความเสียหายอันใด ทว่าไม่นึกเลย สายฟ้าฟาดบนสวรรค์กลับไม่เป็นใจเอาเสียเลย…”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ
หญิงงามนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ กล่าว “สวรรค์ไม่เป็นใจ พวกเราจึงต้องร่วมมือกัน ไม่มีความเสียหายมากมายอันใดนักหรอก”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมส่ายหน้า ฉีกหัวเราะพลางกล่าว “ถูกต้อง”
เงียบไปสักครู่ ผู้ชายหนวดหงิกชี้ไปที่ซูอี้กับฉาจิ่นในถ้ำ สายตากลับจ้องไปที่ผู้ชายชุดกว้าง กล่าว “ปล่อยพวกเขาไป ข้าจะอยู่เล่นกับพวกเจ้า ข้ารับรองจะไม่หนีไปอีก”
“โอ้ว พระโพธิสัตว์ปั้นด้วยดินตัวเองเอาตัวไม่รอดยังคิดจะเมตตาสงสารอีก ข้ารู้สึกชื่นชมเสียจริง ๆ”
หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะหึหึหยอกล้อ
ผู้ชายชุดกว้างถอนใจยาว “หายนะหล่นจากฟ้าเป็นอย่างไร? ก็เป็นเช่นนี้ หากนับกันจริง ๆ เป็นเพราะเจ้า ฉางกั้วเค่อ ทำให้พวกเขาต้องเข้ามายุ่งกับเหตุการณ์นี้ด้วย หากว่าพวกเขาตายไป ถือเป็นความผิดของเจ้าคนเดียวเท่านั้น ฉางกั้วเค่อ”
“แม่สาวคนนั้นเก็บไว้ก่อนได้ ข้าชอบ”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมผอมกะหร่องยกขวานขึ้นชี้ไปที่ฉาจิ่น ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางพูด ในสายตามีแต่ไฟรุ่มร้อน
เดิมทีฉาจิ่นตั้งใจว่าจะดูให้สนุกเท่านั้น เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมา ไอ้แก่ตายยากคนนี้อายุเท่าไรแล้ว ยังหัวงูได้ถึงเพียงนี้ อยากจะจับถลกหนังดึงเอ็นขัดกระดูกเผาเป็นเถ้าถ่านเสียจริง!
ผู้ชายหนวดหงิกหมุนตัวมา แสดงสีหน้าละอายแก่ใจพลางกล่าว “ท่านทั้งสอง ฉางผู้นี้ผิดต่อพวกเจ้า ประเดี๋ยวหากเกิดการต่อสู้ ข้าจะพยายามสุดชีวิตช่วยเปิดทางให้ท่านทั้งสองหนีเอาตัวรอด!”
ฉาจิ่นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ คน ๆ นี้เป็นคนจิตใจซื่อตรงเปิดเผยอยู่เช่นกัน
ซูอี้ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ได้ยลความแล้วหนังตายังไม่เผยอขึ้นสักนิด กล่าวเสียงราบเรียบ “หากว่าเจ้าละอายแก่ใจจริง ก็รีบไปตายเสียให้จบเรื่อง ส่วนพวกเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
ฉางกั้วเค่อสะดุด หน้าแดงก่ำขึ้นมา
ที่ไกลออกไป พวกของผู้ชายชุดกว้างพากันหัวเราะเย้ยหยัน
หญิงสาวสวยชุดสีเขียวหัวเราะ “นี่ พี่ชายน้อยท่านนี้พูดจาน่าฟัง ข้าชอบ ข้าชักไม่อยากให้เขาตายเสียแล้วสิ”
“อย่าหลงกล เจ้าหนุ่มนั่นพูดเช่นนี้ บางทีคงอาจจะอยากให้พวกเราปล่อยเขาไปก็เป็นได้”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมหัวเราะ
“เอาล่ะ จัดการกับคนแซ่ฉางนี่ก่อน”
ผู้ชายชุดกว้างพูดพลางตวัดไม้กระดานสีดำในมือมา
ครืน!
ไม้กระดานเบาหวือ กลับก่อให้เกิดเสียงฟ้าผ่า ราวกับภูเขาสูงใหญ่ฟาดผ่านมา
ปรมาจารย์!
ดวงตางามของฉาจิ่นจับจ้อง
ป่าเขาลำเนาร้างเช่นนี้ กลับมีปรมาจารย์ปรากฏตัวมากมายถึงเพียงนี้ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
ชิ้ง!
ฉางกั้วเค่อชักดาบใหญ่ด้านหลังออกมา ท่าทีของเขาเปลี่ยนแปลงไปในทันใด ลมปราณทะลุเมฆหมอก หนักหน่วงดังภูเขา
เขาฟันกลางอากาศ
ปัง!
ท่ามกลางเสียงกระทบกระทั่ง ฉางกั้วเค่อร้องตะโกน “ทั้งสองท่าน ไม่ว่าพวกเจ้าจะโกรธแค้นฉางผู้นี้หรือไม่ ครั้งนี้ต่อให้ข้าต้องตายก็จะเปิดทางให้พวกเจ้าได้หนีออกไป รีบคว้าจังหวะโอกาสให้ดี ได้ทีแล้วรีบหนีออกไป!”
เสียงยังคงดังก้อง เขาสาวเท้าก้าวใหญ่พุ่งออกจากถ้ำ ร่างอันสูงใหญ่ตรงเข้าสู่ฝนห่าใหญ่ ตวัดดาบฟาดฟัน อาจหาญไร้ผู้เทียมทาน
ครืน!
อัสนีฟาดแสงเรืองรองบนฟากฟ้าสะท้อนลงบนร่างสูงใหญ่ของเขา งามสง่าประดุจเทพ
ดาบใหญ่ในมือของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ดำขลับทั้งเล่ม ยาวถึงสามศอก กว้างถึงเก้านิ้ว บนดาบมีแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำอาบชโลมราวกับเพลิงอัคคี เวลาที่ฉวัดเฉวียนราวกับมังกรยักษ์เฉิดฉายแสง ร้ายกาจยิ่งนัก
ทว่า ผู้ชายชุดกว้างก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงแม้จะมีเพียงแค่ไม้กระดาน แต่รุกรับมีจังหวะ เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ถึงแม้ประลองซึ่งหน้าแกร่งสะท้าน ทว่าไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
นี่คือการต่อสู้เอาเป็นเอาตายระหว่างปรมาจารย์โดยไม่ต้องสงสัย อันตรายและน่ากลัวยิ่งนัก ฝนฟ้าคะนองถูกสะเทือนจนกระจาย หินภูผาใกล้ ๆ แตกกระเด็น
แต่ไม่นานนัก ผู้ชายชุดกว้างก็ถูกบีบจนต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ เพียงเพราะฉางกั้วเค่อสู้ตาย ไม่คิดจะมีชีวิตรอด
ผู้ชายชุดกว้างไม่อยากจะถูกฝ่ายตรงข้ามดึงไปตายด้วย
“บุกพร้อมกัน”
หญิงงามชุดเขียวเก็บร่มในมือ เสียงดังชิ้งขึ้นมา คมดาบสีเลือดเด้งออกมาจากปลายร่มประดุจถือดาบยาว ฟันไปยังฉางกั้วเค่อกลางอากาศ
ครืน!
ส่วนผู้ชายเฒ่าหลังค่อมผอมกะหร่องคนนั้นถือขวานใหญ่หนึ่งคู่บุกขึ้นไป ตวัดขวานฟาดลง น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
“พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นปรมาจารย์…”
ฉาจิ่นสูดลมหายใจเย็น ๆ เข้าปอด แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
ที่เขตปกครองอวิ๋นเหอมีปรมาจารย์เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ ท่ามกลางราตรีฝนห่าใหญ่เช่นนี้ กลับมีปรมาจารย์สี่คนกำลังห้ำหั่นกัน!!
“สถานภาพของคนกลุ่มนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ และต้องเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดามากด้วย…”
ฉาจิ่นแอบพูดเบา ๆ
ครืน!
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก สายฟ้าฟาดคะนองราวกับงูสีเงินเต้นระบำ
บนพื้น ฉางกั้วเค่อคนเดียวรับมือสามคน ยังคงองอาจอย่างไม่มีใครทัดเทียม ดาบใหญ่สีดำในมือถักทอคลื่นดาบเป็นชั้น ๆ
ทว่าอย่างไรเสียคู่ต่อสู้ของเขาเป็นถึงปรมาจารย์ระดับเดียวกันสามคน อีกทั้งเพียงแค่พลังของผู้ชายชุดกว้างคนนั้นเพียงคนเดียวก็สามารถต้านทานเขาอยู่ ประกอบกับผู้หญิงชุดเขียวกับผู้ชายเฒ่าหลังค่อมอีก ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพอันตรายยิ่งนัก
ไม่นานนัก บาดแผลบนตัวเริ่มมีมากขึ้น
“รีบหนีไป!”
ท่ามกลางสายฝนยามวิกาล ฉางกั้วเค่อแผดเสียง สายตาเย็นเฉียบ
เวลานี้เขาต่อสู้ราวกับไม่คิดชีวิต อาศัยกำลังของคน ๆ เดียวยับยั้งฝ่ายตรงข้ามที่มีกันสามคน!
ฉางจิ่นทนไม่ไหวเบนสายตามองไปยังซูอี้
กลับเห็นซูอี้นั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งยังหลับตาเก็บแรงอีก ไม่มีทีท่าจะไปแม้แต่น้อยนิด
หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาขี้เกียจจะสนใจการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์ที่กำลังเปิดฉากอยู่ด้านนอก…
“เลอะเลือน!!”
เห็นได้ชัดว่าฉางกั้วเค่อก็รู้สึกได้เช่นกันว่าซูอี้กับฉาจิ่นไม่คิดจะฉวยโอกาสหนีไป เขาทั้งร้อนใจทั้งโกรธเกรี้ยว
ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้
เขาเสี่ยงอันตรายจนบาดแผลเต็มตัวเกือบเอาชีวิตไม่รอดจึงยับยั้งฝ่ายตรงข้ามได้เพียงสักครู่เท่านั้น เมื่อพลาดโอกาสไป ทุกอย่างก็จบเห่
“เวลาไหนกันแล้ว ยังจะสนใจความเป็นความตายของเขาอีก ฉางกั้วเค่อ เจ้าทำได้เพียงแค่นี้!”
ผู้ชายชุดกว้างร้องหึออกมา ไม้กระดานสีดำในมือราวกับสายฟ้าฟาดลงบนดาบใหญ่สีดำของฉางกั้วเค่อ
เช้ง!!
ท่ามกลางเสียงกระแทกสนั่นฟ้าสะเทือนดิน ดาบใหญ่สีดำหลุดกระเด็นออกจากมือ ร่างของฉางกั้วเค่อเซถลา
ยังไม่ทันได้หลบ คมดาบสีเลือดในมือของหญิงสาวชุดเขียวก็แทงเข้าหลังของเขา
ฉึบ!
พร้อมกับเลือดที่ติดออกมา แผ่นหลังถูกแทงทะลุฉีกขาดลึกจนเห็นกระดูก
ถือโอกาสนี้ ผู้ชายชุดกว้างก้าวขึ้นมาข้างหน้า ไม้กระดานในมือฟาดไปที่หัวของฉางกั้วเค่อ
ตุบ!
ถึงแม้ฉางกั้วเค่อจะเบนหัวหลบจุดสำคัญ ทว่าถูกไม้กระดานฟาดลงบนไหล่ กระดูกไหล่หักทรุดฮวบในทันที
ร่างสูงใหญ่ของเขาถูกฟาดจนหัวคะมำลงกับพื้นหน้าถ้ำ น้ำสาดกระเด็นไปทั่ว
ราวกับรู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย ฉางกั้วเค่อกลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัว เพียงแต่ทนไม่ไหวทอดถอนใจออกมา หันหน้ามองเข้าไปในถ้ำด้วยความลำบาก กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เมื่อสักครู่ เหตุใดจึงไม่หนีไป?”
น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความเสียใจ และทั้งละอายใจ
[1] พระโพธิสัตว์ปั้นดินข้ามแม่น้ำ หมายถึง แม้แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร