บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 157 ดาบชักพาฟ้าคำราม
ตอนที่ 157: ดาบชักพาฟ้าคำราม
ฝนกระหน่ำสาดเท พื้นดินเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน
ฉางกั้วเค่อล้มกองกับพื้นพร้อมเลือดที่อาบเต็มตัว บาดแผลเหวอะหวะพรั่นพรึง ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส
ฉาจิ่นสั่นสะท้านใจ
นางทนดูไม่ไหวตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว หลาย ๆ ครั้งแทบจะทนไม่ไหวยื่นมือเข้าไปช่วย
ทว่าเห็นซูอี้นิ่งสงบไม่แสดงอาการอันใดออกมา นางจึงได้แต่สะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้
เวลานี้ ได้ยินคำพูดที่แฝงด้วยน้ำเสียงแห่งความเสียดายและสำนึกละอายของเขาแล้ว ฉาจิ่นไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป ไม่เช่นนั้นคงต้องผิดต่อจิตใจแห่งคุณธรรมความดีของตนเองเป็นแน่
“ตาย!”
ในชั่วฉับพลัน ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมถือโอกาสลงมือขณะที่ฉางกั้วเค่อล้มลง และสาวเท้าก้าวใหญ่ไปหนึ่งก้าวนั้นเอง ขวานใหญ่ของเขาก็ฟาดลงอย่างเต็มกำลัง
ฉึบ!
ประกายแสงสีขาววาววับของขวานใหญ่เฉิดฉายท่ามกลางราตรี ช่างน่าครั่นคร้ามหวาดผวายิ่งนัก
“พอได้แล้ว!”
ฉาจิ่นส่งเสียงร้องตวาด พลันสะบัดมีดสั้นคู่ออกไปกลางอากาศ
ชิ้ง!!!
ขวานคู่ของผู้ชายเฒ่าหลังค่อมถูกสกัดไว้ได้
ท่ามกลางสะเก็ดไฟแตกกระจาย ร่างของผู้ชายหลังค่อมสั่นเกร็งน้อย ๆ เขากล่าวด้วยความตกใจ “แม่สาวน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนี่!”
ฉางกั้วเค่อผู้ที่คิดว่าตัวเองคงต้องตายแน่แล้วก็ยังถึงกับตะลึงงันไปเช่นกัน สีหน้าสลดเหือด สาวน้อยคนนี้เป็นยอดฝีมือไม่แสดงตนเช่นนั้นหรือ?
ไกลออกไป ผู้ชายกลางคนในชุดกว้างกับผู้หญิงชุดเขียวสบตากัน หัวคิ้วขมวดขึ้นน้อย ๆ
ที่ข้างกองไฟในถ้ำหิน ซูอี้มองดูฉาจิ่นเงียบ ๆ ไม่ได้กล่าวความอันใด
ฉาจิ่นสูดหายใจเต็มปอด แล้วพูดด้วยเสียงเบาแฝงน้ำเสียงหวั่นวิตก “คุณชาย ไม่ว่าคน ๆ นี้จะเป็นหรือตาย สามคนนั้นไม่มีทางปล่อยพวกเราไปเป็นแน่ ดังนั้น…”
ทุกคนต่างตกตะลึง
เดิมทีพวกเขาเข้าใจว่า หลังหญิงสาวสวยคนนี้สอดมือเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้แล้วคงจะต่อสู้อย่างสุดกำลังเป็นแน่
ใครจะคาดคิดว่า นางกลับกล่าวขอโทษอธิบายต่อชายหนุ่มชุดสีเข้มในถ้ำหินคนนั้นด้วยความสำนึกผิดราวกับทำความผิดอันใดไว้
ราวกับ… นางไม่ใส่ใจเรื่องอื่นแม้แต่น้อย ใส่ใจแต่เพียงหนุ่มน้อยชุดสีเข้มคนนั้น
ทว่าไม่รอให้ฉาจิ่นพูดจนจบความ ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายและกล่าวน้ำเสียงสงบราบเรียบออกมา
“สิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่ผิด เขาต่างหากที่เป็นคนนำเรื่องยุ่งยากมา ถูกฆ่าตายก็สมควรแล้ว แต่หากว่าเรื่องยุ่งยากเกี่ยวพันมาถึงตัวพวกเรา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
ได้ฟังความ ฉาจิ่นราวกับปลดหินหนักออกจากอก
นางรู้สึกหวั่นเกรงหวาดวิตกยิ่งนักว่าเมื่อสักครู่ที่นางยื่นมือเข้าช่วยโดยพลการ จะทำให้ซูอี้เกิดความไม่พอใจจนลงโทษนางด้วย ‘บ่วงพันธนาการวิญญาณ’ อีกครั้ง
ทว่าตอนนี้ นางไม่ต้องกังวลแล้ว
“เป็นเรื่องใดเช่นนั้นหรือ?”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมถือขวานใหญ่ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางถาม
“พวกเจ้าต้องตาย”
มือหนึ่งของซูอี้ถือกาสุรา พลางก้าวเดินมาถึงหน้าปากถ้ำพลางกล่าว
เขาชี้ไปยังฉางกั้วเค่อที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่กับพื้น พลางกล่าว “แน่นอน หากพวกเจ้าตาย ทุกอย่างถือเป็นความผิดของเขาคนเดียวเช่นกัน ไม่เกี่ยวกับข้า”
ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมนิ่งงัน อดใจไม่ไหวหันหน้าไปถาม “ท่านทั้งสอง พวกเจ้าฟังเข้าใจหรือไม่? หนุ่มน้อยผู้อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณ บอกว่าหลังจากที่ฆ่าพวกเราตายแล้วจะโยนความผิดไปให้ฉางกั้วเค่อ…”
พูดจนถึงท้ายสุด กระทั่งตัวเขาเองก็ยังทนไม่ไหวปล่อยหัวเราะออกมา “เจ้าหน้าอ่อน ข้าฝึกตนมานานจนหลายปี เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดจาฮึกเหิมเช่นนี้”
เขาหัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ดออกมา
ผู้หญิงชุดเขียวก็อดแสยะยิ้มไม่ได้เช่นกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “คนอายุน้อยเพียงนี้ ก็สามารถฝึกตนถึงขั้นขอบเขตรวบรวมลมปราณได้ ร้ายกาจไม่เบา อีกทั้งข้างกายยังมีหญิงรับใช้ที่ร้ายกาจยิ่งกว่า จึงไม่แปลกที่จะมีความมั่นใจเต็มที่ มองไม่เห็นใครในสายตาเช่นนี้”
ช่างเข้าใจความรู้สึกคนอื่นเสียจริง ๆ
ผู้ชายชุดกว้างย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายแสงพลางกล่าว “บังอาจถาม คุณชายท่านนี้มีชื่อเสียงเรียงนามใด ร่ำเรียนอยู่ในสำนักใด?”
ท่าทีระแวดระวังตนของเขาเช่นนี้ทำให้ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมกับหญิงสาวชุดเขียวพากันนิ่งตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้าจางลง
ซูอี้ยกกาสุราขึ้นดื่มอึกหนึ่ง มองดูม่านฝนในยามราตรีพลางกล่าว “ลมแรงฝนหนัก ป่าเขาพนาร้าง พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเป็นช่วงเวลาฆ่าคนที่เหมาะสมรึ?”
ผู้ชายชุดกว้างขมวดหัวคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม
ไม่รอให้เอ่ยปากพูด ผู้ชายเฒ่าหลังค่อมก็แสยะหัวเราะออกมาก่อนแล้ว พลางฟาดขวานไปที่ซูอี้อย่างแรง “ข้าไม่สน ขอฟันเจ้าก่อนแล้วกัน!”
ครืน!
ขวานคู่บินร่อน บางเบาราวกับขนนก ทว่าเมื่อฟันลงมากลับรุนแรงประดุจอัสนีวิฆาตจากฟากฟ้า แรงพิฆาตหนักหน่วง เสียงสะท้านก้องพิภพ ครั่นคร้ามสยบวิญญาณ
ริมฝีปากของซูอี้เผยร่องรอยแห่งความดูแคลน เพียงแค่ยอดยุทธ์ที่ด้อยกว่าฉินเหวินเยวียนคนหนึ่งเท่านั้น ไม่รู้จักว่าอะไรคือความตาย
ชิ้ง!
ท่ามกลางเสียงดาบอันอึงอล ดาบบงการฟ้าดินออกจากฝัก ตัวดาบสีเขียวอ่อนเคลื่อนตัวรวดเร็วตามการเคลื่อนมือของซูอี้ ประดุจแสงไฟพุ่งโฉบผ่านขวานที่กำลังฟาดลงมาคู่นั้น แล้วแทงไปที่คอหอยของชายเฒ่าหลังค่อม
เพียงแค่ดาบเดียวเรียบง่ายไร้ลวดลาย ทว่ารวดเร็วจนถึงขั้นไม่น่าเชื่อ!
เอื๊อก!
คอหอยของผู้ชายแก่หลังค่อมถูกแทงทะลุ โลหิตสาดกระเซ็นออกมา
เสียบคอในดาบเดียว!
ลูกนัยน์ตาของเขาเบิกกว้างกลอกกลิ้ง พยายามก้มมองดูคอของตัวเอง พูดอึกอัก “นี่คือ.. วิชาดาบ… อะไร…”
เสียงพูดยังคงดังก้อง ร่างเล็กเตี้ยของเขากลับหงายล้มลงกับพื้น แววตาเต็มไปด้วยความงงงัน
ฉางกั้วเค่อเบิกตาโพลง แทบจะคิดไปว่าตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไปจึงมองเห็นภาพหลอน
คุณชายเจ้าสำราญที่ดูอย่างไรก็เป็นบุตรผู้ดีคนนั้น ฆ่าตัวตนเช่นปรมาจารย์ได้ภายในดาบเดียว!?
“นี่มัน…”
หญิงสาวชุดสีเขียวสูดหายใจเฮือก
ตื่นตระหนกกับภาพที่เกิดขึ้นจนหนังศีรษะชาไร้ความรู้สึก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเข้าใจไปว่าซูอี้กับฉาจิ่นเป็นเพียงแค่คนเดินทางที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันด้วยเท่านั้น จึงไม่ได้ให้ความสนใจในตัวพวกเขาแม้แต่น้อย
จนกระทั่งฉาจิ่นแสดงฝีมือ พวกเขาจึงพบโดยบังเอิญว่าหญิงชายหนุ่มสาวคู่นี้ไม่ธรรมดาเลย ทว่าก็ยังไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก
เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาทั้งสามก็เป็นถึงปรมาจารย์
ทว่าตอนนี้ หญิงสาวชุดสีเขียวจึงเข้าใจได้ในที่สุดว่าหนุ่มน้อยที่ดูแล้วคล้ายกับคุณชายตระกูลมีอันจะกินคนนี้เป็นตัวอันตรายที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด!
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกินความคาดหมายของพวกเขามาก
มีเพียงแต่ฉาจิ่นคนเดียวเท่านั้นที่เย็นใจเป็นที่สุด ในดวงตางดงามยังมองเห็นวี่แววของความสงสารเวทนา คนสารเลวเหล่านี้คิดไปเองว่าตนเองเป็นยอดยุทธ์ราวกับเทพมังกรบนสวรรค์ ไม่ได้รู้สักนิดว่าซูอี้ผู้อยู่ต่อหน้าพวกเขาฆ่าปรมาจารย์มาไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว
“ไปกัน!”
ผู้ชายชุดกว้างไม่อาจชักช้าร่ำไรได้อีก หมุนตัวหนีโดยเร็ว
ดาบของซูอี้เมื่อสักครู่ดุจดังอัสนีพิฆาตจากสรวงสวรรค์ ทำให้เขารู้ได้ในทันใดว่าเหตุการณ์ไม่ดีแล้ว ไหนเลยยังจะกล้ารีรออยู่อีก?
นี่ไม่ใช่ความขลาดกลัว แต่เป็นความละเอียดรอบคอบในการรักษาตน
“หนีพ้นหรือ?”
สายตาของซูอี้เย็นยะเยือก ดาบบงการฟ้าดินในมือส่งเสียงดังก้องกังวาน ตัวดาบปรากฏภาพอาคมที่ลึกลับซับซ้อน
ปลายดาบชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า
ครืน!
บนม่านฟ้าสีมืดครึ้มแสงสว่างเจิดจ้าลำหนึ่งโฉบผ่าน ราตรีอันมืดมิดราวกับถูกปลุกให้ตื่น ชั่วขณะนั้นภูเขาลำธารพลันสว่างเจิดจ้าราวกับเวลากลางวัน
ทว่าเมื่อดาบของซูอี้ฟาดฟันออกไปตามแรง
ภายใต้การจับจ้องของสายตาแห่งความไม่คาดฝัน ผู้ชายชุดกว้างที่หนีไปไกลกว่าร้อยวาถูกสายฟ้ายาวราวกับดาบอันคมกริบฟาดโดน
“อ๊าก…!”
ผู้ชายชุดกว้างส่งเสียงร้องครวญ ร่างสั่นสะท้านแล้วร่วงหล่นสู่พื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ทุกอย่างเงียบกริบ
สายตาของหญิงสาวในชุดเขียวตะลึงนิ่ง จิตใจยุ่งเหยิง
ก่อนหน้านี้ซูอี้ฆ่าผู้ชายเฒ่าหลังค่อมตายในดาบเดียว ทุกอย่างยังคงอยู่ในขอบเขตที่นางยังสามารถเข้าใจได้
ทว่าดาบนี้ใช้สายฟ้าอัสนีพิฆาตสวรรค์ ฆ่าศัตรูที่อยู่ไกลเกินกว่าร้อยวาจนตายได้เช่นนี้เกินกว่าขอบเขตการรับรู้ของนางแล้ว นางรู้สึกงงงันไปหมด
ฉาจิ่นก็ตะลึงเช่นกัน
นางเคยเห็นวิธีเด็ดขาดแบบล้างผลาญตอนที่ซูอี้ยกมือพิฆาตหนานเหวินเซียง ทว่าไหนเลยจะคาดคิดว่ากระทั่งพลังอัสนีพิฆาตสวรรค์ก็ยังถูกซูอี้นำมาใช้ได้?
“เห็นชัด ๆ ว่านี่เป็นวิธีการของเทพเซียนบนดิน…”
ดวงใจทั้งดวงของฉาจิ่นสั่นสะท้าน นางมาจากสำนักวงเดือน เคยเห็นเพียงพลังของผู้อาวุโสชั้นยอดสุดเท่านั้น ที่สามารถชักวายุบินผงาด เป่าปากเป็นสายฟ้า ควบคุมเพลิงอัคนี ทั้งหมดนี้สามารถกล่าวได้ว่าแย่งชิงมาซึ่งพลังทั้งหลายในโลกหล้า
ทว่านั่นคือตัวตนเทพเซียนเดินดินผู้ซึ่งก้าวย่างบนเส้นทางแห่งวิถีต้นกำเนิด
ใครจะกล้าเชื่อได้ว่าหนุ่มน้อยผู้อยู่ในช่วงเริ่มต้นขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างซูอี้จะสามารถใช้พลังแห่งสายฟ้าฟาดได้?
ฉางกั้วเค่อก็อ้าปากตาค้างเช่นกัน หรือว่าครั้งนี้ตัวเองพบกับเทพเซียนเข้าให้แล้ว!?
“ไปหิ้วเขากลับมา”
เสียงของซูอี้ทำให้ฉาจิ่นสะดุ้ง นางรีบพุ่งออกจากถ้ำหินมุ่งหน้าไปยังที่ ๆ ไกลออกไปนับร้อยวา ณ จุดที่ผู้ชายชุดกว้างถูกพิฆาต
“เหตุใดเจ้าจึงไม่หนี?”
ซูอี้เบนสายตามองไปยังหญิงสาวในชุดสีเขียว นางคุกเข่าลงกับพื้นด้วยอาการสั่นสะท้านโดยไม่สนใจคราบดินโคลนบนพื้น โขกศีรษะกล่าวอ้อนวอน “ผู้น้อยมีตาแต่ไร้แวว ผู้อาวุโสได้โปรดเมตตาสงสาร ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
นางตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด ในใจคิดว่าซูอี้เป็นปีศาจเฒ่าในร่างคนหนุ่ม
“ก่อนหน้านี้ยังพูดจายอกย้อน วางท่าสูงกว่าใคร ๆ ตอนนี้รู้ว่าเหตุการณ์พลิกผันจึงคุกเข่าอ้อนวอน เป็นถึงปรมาจารย์ไม่คิดจะรักษาหน้าตัวเองหน่อยหรือ?”
ซูอี้กล่าวดูแคลน
เทียบกันแล้ว ท่าทีอาจหาญไม่กลัวตายของฉางกั้วเค่อกลับทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกชื่นชมมากกว่า
“ไม่เข้าสู่หนทางวิถีต้นกำเนิด สุดท้ายเป็นได้เพียงคนธรรมดา ถึงแม้ผู้น้อยจะฝึกตนเป็นปรมาจารย์ แต่ก็เป็นเพียงแค่มนุษย์เดินดินเท่านั้น ไม่รู้จักฤทธิ์เดชของเทพเซียน จนก่อให้เกิดความผิดพลาดอย่างมหันต์ในวันนี้”
หญิงสาวชุดสีเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “หากว่าผู้อาวุโสยอมปล่อยตัว ผู้น้อยยินดีจะอยู่รับใช้ข้างกายผู้อาวุโส เป็นวัวเป็นควายรับใช้ท่าน”
“อยู่รับใช้ข้างกายข้า?”
ซูอี้แสยะหัวเราะ “เจ้ายังห่างไกลนัก”
หญิงสาวชุดเขียวคนนี้ดูหน้าตาสะสวย ทว่าในสายตาของซูอี้บุคลิกลักษณะของนางยังไม่เพียบพร้อม
มองไม่สบายตา ดูแล้วไม่สบายใจ จะเก็บไว้ข้างกายเพื่อประโยชน์อันใด?
เวลานี้เอง ฉาจิ่นก็หิ้วผู้ชายชุดกว้างที่ถูกสายฟ้าพิฆาตจนร่างดำเป็นตอตะโกกลับมา ได้ยินหญิงสาวชุดเขียวกล่าวแล้วในใจรู้สึกพะวักพะวนขึ้นมาอย่างประหลาด
ทว่า เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ความพะวักพะวนอย่างประหลาดนั้นก็มลายหายไปในฉับพลัน รู้สึกผ่อนคลายสบายใจไปทั้งตัว
ดวงตางามของฉาจิ่นกลอกกลิ้ง ร้องรับอาสา “คุณชาย สู้ให้ข้าจัดการกับนางดีกว่าไหมเจ้าค่ะ?”
ร่างบอบบางที่คุกเข่าอยู่กับพื้นของหญิงสาวชุดเขียวสั่นสะท้าน ลุกพรวดพราดขึ้นตรงจะไปฆ่าฉาจิ่น
นางเป็นผู้หญิง รู้ชัดเป็นที่สุดว่าเวลาที่ผู้หญิงจัดการกับผู้หญิงนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตเสียยิ่งกว่าผู้ชาย!
ดวงตาใสของฉาจิ่นจ้องถมึง คาดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวชุดเขียวผู้อ่อนน้อมหวาดกลัวเมื่อก่อนหน้านี้จะกลับกลายเป็นดุดันเช่นนี้ได้ในชั่วพริบตา
เอื๊อก!
ปลายดาบแทงทะลุคอของหญิงสาวชุดเขียว ทำให้ร่างที่แขวนอยู่กลางอากาศของนางร่วงหล่นกับพื้น
นางกุมคอที่มีเลือดไหลอาบพลางจับจ้องเขม่นมองซูอี้ สายตาเคียดแค้นและคลุ้มคลั่ง “พัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องของพวกเรา พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก!”
พูดจบก็สิ้นหายใจตาย
ฉาจิ่นตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ ในใจยังคงรู้สึกหวาดกลัว “ข้าเพียงแค่พูดขึ้นมาประโยคเดียวเท่านั้น นางก็จะเอาชีวิตข้าแล้ว ผู้หญิงนางนี้ช่างบ้าระห่ำเสียเหลือเกิน”
ซูอี้ชายตามองดูนางครู่หนึ่ง พลางกล่าว “ตอนที่เจ้าตามจองล้างจองผลาญข้า ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?”
ฉาจิ่นเงียบไปในทันใด ในใจทั้งกล้ำกลืนและขมขื่น
“จัดการกับคนเหล่านี้ จากนั้นนำศพไปโยนให้ไกลหน่อย หากว่าสัตว์ป่าบนเขาได้กลิ่นเข้า คืนนี้เลิกคิดได้เลยว่าจะอยู่อย่างสงบ”
พูดพลาง ซูอี้หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำ นั่งลงบนเก้าอี้หวายด้วยอาการเกียจคร้าน ทว่าสายตากลับมองไปยังฉางกั้วเค่อผู้ชายหนวดหงิกที่นอนบาดเจ็บอยู่ในโคลนตม
“ถึงแม้สามคนนี้จะตายไปแล้ว แต่เรื่องเดือดร้อนของเจ้าหนักหนายิ่งกว่าที่ข้าคาดคิดเอาไว้ เล่ามาสิว่า ปีศาจเสือตนนี้เรื่องราวเป็นอย่างไร?”
ซูอี้ชี้ไปที่ศพเสือโคร่งข้างถ้ำหิน ถามขึ้นมา