บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 158 โอกาส
ตอนที่ 158: โอกาส
ฝนยังคงตกต่อไปไม่หยุด เพียงแต่ลดกำลังลงไปมากแล้ว
ได้ฟังความ ฉางกั้วเค่อผู้ซึ่งอยู่ในอาการตื่นตระหนกราวกับฟื้นตื่นความความฝัน พ่นลมหายใจยาว ๆ จากนั้นพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยความทุลักทุเล
เขาหอบหายใจรัวชั่วครู่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ที่แท้คุณชายมองสถานการณ์ออกตั้งนานแล้ว”
ซูอี้มองดูเขาด้วยสายตาราบเรียบ พลางกล่าว “ถึงแม้เสือโคร่งตัวนี้จะมีพลังปกติทั่วไป ทว่าจากกลิ่นอายที่คงค้างในศพของมันยังสามารถมองออกได้ว่าสายเลือดนั้นไม่ธรรมดา หากว่าข้าคาดเดาไม่ผิด เป็นไปได้มากว่ามันคือรุ่นหลังของสัตว์อสูรขั้นที่เก้า”
ในโลกภูมิ สัตว์อสูรถูกแบ่งออกเป็นเก้าขั้น
ตามปกติทั่วไปแล้ว ผู้แก่กล้าของขอบเขตโคจรโลหิตสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรขั้นที่หนึ่งถึงสาม
ผู้แก่กล้าของขอบเขตรวบรวมลมปราณสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรขั้นที่สี่ถึงหก
ส่วนสัตว์อสูรขั้นที่เจ็ดขึ้นไปนั้นมีแต่เพียงยอดยุทธ์หรือบรรดาตัวชนเช่นปรมาจารย์เท่านั้นจึงจะสามารถฆ่าตายได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์อสูรขั้นที่เก้าหรือเรียกอีกอย่างได้ว่าราชาสัตว์อสูรจะมีสติปัญญาและพลังอำนาจในระดับหนึ่ง ต่อให้เป็นยอดยุทธ์ ทว่าโดยทั่วไปแล้วก็ยังไม่กล้าปะทะด้วยซึ่ง ๆ หน้า
ฉางกั้วเค่อแสดงสีหน้าแห่งความยอมรับนับถือออกมา กล่าว “คุณชายสายตาแหลมคม ฉางผู้นี้น้อมยอมรับ กล่าวโดยไม่ปิดบัง เสือโคร่งตัวนี้เป็นรุ่นหลังของ ‘พยัคฆ์เพลิงเนตรคราม’ ขั้นที่เก้า ฉางผู้นี้ฆ่าเสือโคร่งตัวนี้เพื่อจะจับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม ใครจะคาดคิดว่า…”
ยังพูดไม่จบ ซูอี้กลับกล่าวราวกับเข้าใจกระจ่างแล้ว “พยัคฆ์เพลิงเนตรครามนี้แตกต่างไปจากสัตว์อสูรขั้นที่เก้าทั่วไปนัก?”
“ถูกต้อง”
ฉางกั้วเค่อถอนใจยาว “ข้าฆ่าสัตว์อสูรตนนี้ เดิมทีตั้งใจว่าจะดูดปราณของมัน เพื่อเตรียมตัวจะก้าวสู่ปรมาจารย์ขั้นสาม แต่ใครจะคาดคิด สัตว์อสูรตนนี้มีพลังแข็งแกร่งสามารถเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นห้า น่าขยาดหวาดเกรงยิ่งนัก จึงได้แต่หนีด้วยความจนปัญญา สุดท้ายจึงมาพบกับฮัวเหลียนซิ่วผู้หญิงคนนี้…”
เงียบไปสักครู่ เขากล่าวต่ออีก “ฮวาเหลียนซิ่ว จี๋ชางเหอ อินถง ทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นองครักษ์ข้างกายขององค์ชายสาม พวกเขามาจากที่ ๆ ต่างกัน ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้ซึ่งสังกัด มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมานาน สาเหตุที่พวกเขาตามฆ่าข้าในครั้งนี้…”
เห็นว่าเขายังคงจะพูดต่อไป ซูอี้ขมวดคิ้วเอ่ยตัดบท “เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเล่า ข้าไม่ใคร่สนใจต้องการรู้”
ฉางกั้วเค่อนิ่งอึ้งไปสักครู่ จากนั้นจึงรีบประสานมือกล่าวขอโทษ “ครั้งนี้ข้าน้อยทำให้คุณชายต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย คุณชายช่วยชีวิตของฉางผู้นี้ไว้ วันข้างหน้าหากคุณชายมีเรื่องอันใดให้รับใช้ ต่อให้ฉางผู้นี้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็ยินดี!”
ซูอี้โพล่งออกมา “เจ้าต้องการจะตอบแทนบุญคุณนั้นง่ายมาก ทิ้งเสือโคร่งตัวนี้ไว้ที่นี่ก็พอแล้ว”
ฉางกั้วเค่อเข้าใจในทันใด เป็นไปได้มากว่าซูอี้สนใจพยัคฆ์เพลิงเนตรครามขั้นที่เก้าตัวนั้นเช่นกัน
เขาตอบโดยไม่ต้องคิด “หากคุณชายต้องการสามารถนำไปได้ แต่บุญคุณที่ช่วยชีวิต ฉางผู้นี้จะจดจำไว้ในใจไม่มีวันลืม!”
ซูอี้กล่าว “ฝนหยุดตกแล้วเจ้าจงไปเสีย”
ฉางกั้วเค่อพยักหน้า
ไม่นานนัก ฉาจิ่นก็เก็บกวาดทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปในถ้ำ พลางกล่าวคำ “คุณชาย ในตัวของคนทั้งสามนอกจากอาวุธสามชิ้นนี้แล้ว เหลือแต่เพียงยาสำหรับรักษาบาดแผล หินวิญญาณ กับเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นที่ควรค่าจะให้เก็บไว้อีก”
พูดพลางหยิบของที่ยึดมาได้เหล่านั้นออกมาวางเรียงต่อหน้าซูอี้
ซูอี้ตรวจมองดูสักครู่ รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเช่นกัน
ตัวตนอย่างปรมาจารย์ยากจนถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
สุดท้าย ซูอึ้จึงถือไม้กระดานสีดำของผู้ชายชุดดำขึ้นมาถือ
สิ่งนี้หลอมสร้างมาจาก ‘ไม้จุนลายหงส์’ อันเป็นไม้หายาก
บนไม้กระดานมีลายหงส์เจ็ดลาย ซึ่งหมายความว่าไม้จุนนี้ถูกไฟหลอมมาเจ็ดร้อยปีแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าเป็นไม้หายากที่พบเห็นได้ยาก
ครอบครัววงศ์ตระกูลในภูมิภพมักจะปลูกต้นกุ้ยหน้าบ้าน ส่วนหลังบ้านจะปลูกต้นจุน เพื่อเป็นสิริมงคลว่าบุตรหลานในวงศ์ตระกูลล้วนสามารถ ‘หักกุ้ยค้ำจุน’
แม้กระทั่งในโลกการฝึกตน สำนักใหญ่ ๆ บางสำนักก็จะปลูกต้นจุนลายหงส์กับหญ้าดาวกระจายเกล็ดมังกรที่สำนักและในแดนเร้นลับ เพื่อให้เป็นสิริมงคลดังคำกล่าวที่ว่า ‘ค้ำจุนสำเร็จลุกระจาย’
แน่นอน เหล่านี้เป็นคำกล่าวเพื่อความสิริมงคลเท่านั้น
สำหรับซูอี้แล้ว ถึงแม้ไม้กระดานสีดำอันมีพลังหยินลึกล้ำสั่งสมภายในไม้จุนลายหงส์โดยธรรมชาตินี้จะไร้ประโยชน์ต่อเขา ทว่าต่อภูตผีเช่นชิงหว่านแล้วถือเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับฝึกตนที่หาได้ยาก
อย่างรวดเร็ว ซูอี้ยัดทรัพย์สินที่ริบมาได้เหล่านี้ใส่เข้าไปในหยกดำคล้องเอว ตั้งใจว่าเมื่อถึงมหานครกุ่นโจวแล้วจะนำของไร้ประโยชน์เหล่านี้นำไปแลกเป็นหินวิญญาณกับเม็ดยาให้หมด
หลังจากนั้นเขานั่งลงบนเก้าอี้หวายหลับตาพักผ่อน
ฉาจิ่นเคยชินกับท่าทีเกียจคร้านเสียเหลือเกินของซูอี้แล้ว นางจึงเดินไปหาฉางกั้วเค่อ และหยิบยารักษาบาดแผลออกมาขวดหนึ่งพลางกล่าวเบา ๆ “สิ่งนี้มอบให้เจ้า”
“ขอบคุณแม่นางมาก”
ฉางกั้วเค่อประสานมือคารวะด้วยความซาบซึ้ง
ฉาจิ่นกล่าว “ไม่ต้องขอบคุณข้า หากว่าเมื่อสักครู่ไม่ใช่เพราะเจ้าต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อให้คุณชายกับข้าได้มีโอกาสรอด เกรงว่าคุณชายก็คงไม่ช่วยชีวิตเจ้า”
ฉางกั้วเค่ออดถามขึ้นมาไม่ได้ “บังอาจถามแม่นาง คุณชายของเจ้าชื่อเสียงเรียงใด?”
ฉาจิ่นเม้มปากส่ายหน้า ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่ไม่กล้าบอก
เห็นเช่นนี้แล้ว ฉางกั้วเค่อจึงได้แต่นิ่งเงียบไป
อย่างช้า ๆ ฝนก็หยุดตก ไอสีขาวกระจายครอบคลุมป่าเขาลำเนาไพรราวกับความฝันภาพลวงตา
กำลังของฉางกั้วเค่อฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว จึงกล่าวอำลาต่อซูอี้กับฉาจิ่น
ซูอี้นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้สนใจเขาราวกับหลับไปแล้ว
ฉาจิ่นประสานมือคารวะน้อย ๆ พลางกล่าว “เดินทางปลอดภัย”
ฉางกั้วเค่อพยักหน้า หมุนตัวแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป ร่างหายลับไปในความมืดมิดคลุมเครืออย่างรวดเร้ว
“คืนนี้พยัคฆ์เพลิงเนตรครามจะต้องมาหาแน่ เจ้าต้องอยู่แต่ตรงนี้ ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น อย่าได้หาเรื่องเดือดร้อนให้ข้าเป็นอันขาด”
จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้นขณะที่หลับตาเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย
ฉาจิ่นตื่นตระหนกในใจพลันรีบพยักหน้า
นางนั่งลงข้างกองไฟอย่างเงียบ ๆ แสงไฟสะท้อนลงบนใบหน้าอันงดงามขาวเนียนจนแดงระเรื่อสดใส ดวงตาคู่งามประดุจหยดน้ำหันไปมองซูอี้บนเก้าอี้หวายเป็นพัก ๆ ความรู้สึกมากมายภายในใจผันผวนปรวนแปร
“ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นศัตรู ข้าควรจะโกรธแค้นอย่างที่สุดจึงจะถูก แต่นี่เพิ่งไม่กี่วันเท่านั้น ตัวเองกลับเหมือนจะลืมความเจ็บแค้นเหล่านี้ไปเสียแล้ว…”
ใบหน้างามแฉล้มของฉาจิ่นพลันมืดพลันสว่าง ฟันขาวเป็นประกายกัดริมฝีปากแดงอิ่มเอิบ ดวงตาใสสว่างฉายแววเลื่อนลอย ดิ้นรน และผิดหวัง
นึกถึงตรงนี้ ฉาจิ่นถึงกับตกใจ “หรือว่า ข้ามองเขาเป็นผู้ที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ไปแล้วเช่นนั้นหรือ?”
“อีกทั้ง ดูเหมือนว่าข้าเริ่มจะคุ้นเคยกับสถานภาพหญิงรับใช้ไปเสียแล้ว ไม่ว่าทำการใด ล้วนคำนึงถึงความรู้สึกของเขาเป็นหลัก เกรงว่าเขาจะโกรธ เกรงว่าจะถูกเขาดุด่า เมื่อได้รับการยอมรับจากเขา ในใจของข้ากลับรู้สึกดีใจขึ้นมา ข้า… ข้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ…”
ฉาจิ่นตกอยู่ในความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จนลมหนาวพัดเข้ามาในถ้ำ พัดแรงจนกองไฟเกือบจะดับ ฉาจิ่นสั่นสะท้านและตื่นสะดุ้งขึ้นมาในทันใด
และก็เป็นเวลานี้เช่นกัน บนเก้าอี้หวายไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าร่างสูงโปร่งของซูอี้หยุดยืนอยู่หน้าปากถ้ำหินตั้งแต่เมื่อใด สายลมพัดเสื้อผ้าของเขาจนพลิ้ว
“มันมาแล้ว” ซูอี้กล่าวขึ้นมาเบา ๆ
ฉาจิ่นตกใจกลัว พยัคฆ์เพลิงเนตรครามตนนั้นมาแล้ว!?
ดวงตาสวยเบิกกว้าง พยายามมองดูที่ ๆ อยู่ไกลออกไป
ราตรีมืดมิดประดุจหมึก ม่านหมอกหนาแน่นมีแต่ความขาวมัว
ทันใดนั้นเอง ในม่านหมอกที่ลึกไปไกล โคมไฟราวกับไฟสีเขียวมรกตคู่หนึ่งก็สว่างขึ้น ประกายแสงสีเขียวอ่อนเฉิดฉายกลิ่นอายของความหนาวเหน็บและกระหายเลือด
นั่นคือดวงตาคู่หนึ่งนั่นเอง!
เมื่อเผชิญกับสายตาคู่นั้น ฉาจิ่นสั่นสะท้านหวาดกลัวจนขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกราวกับคอถูกบีบรัด กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตผุดขึ้นเต็มร่าง ทำให้นางรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
ในขณะนี้เอง พลันซูอี้ก็หัวเราะ ลึก ๆ ในดวงตาที่ราบเรียบลุ่มลึกผุดประกายความท้าทายที่รอมานาน
“โอกาสของข้ามาถึงแล้ว!”
เขาไม่รีรออีก สาวเท้าก้าวออกไปจากถ้ำ
ชั่วขณะนี้ ซูอี้ผู้ที่ราบเรียบสงบนิ่งมาโดยตลอดในสายตาของฉาจิ่น เวลานี้ประดุจดาบรบออกจากฝัก บนร่างสูงโปร่งนั้นเต็มไปด้วยความดุดันก้าวร้าว หยิ่งผยองท้าทาย
ร่างของเขาประดุจดาบอันคมกริบไร้คู่ต่อสู้!
ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ฉาจิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน ในดวงจิตที่เกร็งแน่นกดดันของนางเกิดสั่นสะท้านขึ้นมา
ดาบซ่อนอยู่ในฝัก คมดาบจึงถูกเก็บ เวลาที่ออกจากฝัก คมดาบจึงปรากฏ
เช่นนี้จึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงเขาเช่นนั้นหรือ?
เวลานี้ ไอหมอกแน่นหนาระหว่างทางแยกกระจายไปตามสองข้างทางระหว่างที่ซูอี้เดินไปข้างหน้า
ส่วนด้านหลัง ดวงตาสวยของฉาจิ่นจับจ้อง ในที่สุดก็มองเห็นเค้าโครงของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามตัวนั้น
ตัวสูงเกินวา ขนขาวประดุจหิมะโชติช่วงด้วยเพลิงอัคคีอันน่าพิศวง ดวงตาสีเขียวมรกตราวกับโคมไฟแห่งผีร้าย น่าหวาดกลัวสยดสยอง
มันยืนอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ ความดุร้ายแผ่กระจายระหว่างที่หายใจเข้าและออก ความหฤโหดแผ่กระจายประดุจคลื่นน้ำในความมืดมิด
ชั่วขณะนี้ ป่าทั้งแถบไม่มีเสียงหนอนแมลงขับขานอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสะพรึงกลัวต่อกลิ่นอายบนตัวสัตว์อสูรขั้นที่เก้าตนนี้
ฉาจิ่นก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาในใจเช่นกัน
ถึงแม้นางจะเป็นศิษย์สายตรงของสำนักวงเดือน และเคยพบเห็นสัตว์ลักษณะพิเศษมามากมาย ทว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม
และสัตว์อสูรตนนี้ไม่ใช่สัตว์อสูรขั้นที่เก้าทั่ว ๆ ไปเสียด้วย อันที่จริงความแข็งแกร่งของมันไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์ขั้นห้าเลย!
“ไม่ผิด เหมือนกับที่ข้าคาดเดาไว้ เป็นสัตว์ประหลาดที่มีโลหิตแห่งปฐมญาณอยู่บนตัว”
ซูอี้สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปข้างหน้า ไม่เพียงแต่ไม่กลัว ในสายตายังปรากฏแววแห่งความปลื้มปีติราวกับได้รับของล้ำค่า
นัยน์ตาของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามส่องประกายแสงสีเขียวราวกับไม่คาดคิดและไม่เข้าใจ ส่งเสียงร้องคำรามออกมา
เสียงราวกับฟ้าร้องคำราม ดังทะลุความมืดมิด สัตว์ป่าทั้งหลายต่างตื่นตระหนก ต้นไม้ใบหญ้าบนพื้นหักระเนระนาด บินว่อนกระจัดกระจาย
ในถ้ำหิน เสียงดังสนั่นจนเยื่อหูของฉาจิ่นแทบจะฉีกขาด มองเห็นดาวสีทองขึ้นเต็มตา คลื่นไส้จนแทบกระอักเลือด
นางสีหน้าเปลี่ยนไป
เสียงร้องคำรามกึกก้องนั้นแฝงด้วยพลังแห่งความกดดัน สะท้อนจิตสะท้านวิญญาณ หากว่าคนทั่วไปได้ยินจะต้องระเบิดตายอยู่ตรงนั้น!
ทว่าซูอี้กลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่น้อย ร่างของเขาไม่กระดิก ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ ในดวงตาที่ลุ่มลึก แรงการต่อสู้สั่งสมเพิ่มขึ้นทีละน้อย กลิ่นอายพลังบนตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
นับแต่กลับชาติมาเกิด เขายังไม่เคยเจอกับคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมาก่อน
ทว่าตอนนี้ ปรากฏขึ้นมาแล้วหนึ่ง!
เห็นว่าซูอี้ยังคงตรงเข้ามา ที่ไกลออกไป พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเดือดดาลขึ้นมา หางที่คล้ายกับแส้ยาวของมันเชิดสูง ร่างกำยำสูงใหญ่ของมันเคลื่อนตัวแล้ว
ฉึบ!
แสงอัคคีซึ่งแฝงด้วยกลิ่นคาวและความโหดเหี้ยมบรรลัยโลกัลป์พุ่งตรงไปที่ซูอี้
มันกรีดกรายกรงเล็บแหลมประดุจคมมีด ปล่อยแสงอัคคียาวเหยียดออกมาฉีกแหวกชั้นอากาศโดยง่ายดาย จนเกิดเป็นเสียงร้องคำรามราวกับเสียงระเบิด
เสียงดังสนั่นเช่นนั้นสามารถทำให้ปรมาจารย์ทั่วไปหนาวสะท้านไปทั้งตัว!
เห็นแต่เพียงซูอี้บุกขึ้นไปมือเปล่า ไม่คิดจะหลบเร้น ส่งเสียงคำรามยาวออกมา
“วันนี้ จะใช้พลังแห่งสัตว์ชั่วร้ายของเจ้าสร้างพลัง ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ของข้า!”
เสียงดังกึกก้องประดุจระฆังหลวง ดังลอยออกไปไกลในความมืดมิดปกคลุมด้วยสายหมอก เต็มไปด้วยความลำพองอหังการ