บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 159 วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 159 วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช
ตอนที่ 159: วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช
ร่างของซูอี้ฉวัดเฉวียน ปล่อยหมัดออกไปพร้อมกับร่ายรำความลึกล้ำของเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนล่องลอย
แต่เดิมเคล็ดวิชานี้เป็นยอดวิชาที่สาบสูญไปแล้วของวิถียุทธ์… มันคือการรวมชีพจร สงบนิ่งประดุจต้นสน หยั่งรากลึกบนภูผา มีพลังสะท้านฟ้า เคลื่อนไหวประดุจกระเรียนเหินหาวบนสวรรค์ชั้นเก้า ล่องลอยในนภา
เมื่อปล่อยหมัดนี้ออกไป เลือดลมในตัวซูอี้เดือดพล่านเผาผลาญประดุจดังเตาหลอม ทุกจุดบนร่างเปล่งแสงส่องสว่าง พลังรอบตัวแผ่ขยายจนถึงขีดสุด
ปัง!
หมัดปะทะกับกรงเล็บ ความแข็งแกร่งปะทะกับความแข็งแกร่ง ดุจดังภูเขาใหญ่สองลูกกำลังห้ำหั่น
คลื่นพลังหฤโหดขนาดมหึมาระเบิดออกมาท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างซูอี้กับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม บรรยากาศรอบทิศทางที่พลังแผ่ขยายออกไปมีแต่เสียงร้องโอดครวญ ดินโคลนบนพื้นสาดกระเซ็น
ร่างของซูอี้สั่นสะท้าน ถอยหลังไปหลายก้าว เลือดลมเดือดพล่านไปทั้งร่าง
แผ่นดินแยกร้าวตามทุกฝีก้าวที่ถอย เสียงสั่นสะเทือนราวกับเสียงอัสนีพิฆาต
“ยังแย่ไปหน่อย มาอีก!”
นัยน์ตาดำขลับลุ่มลึกของซูอี้เปล่งประกาย ร้องตวาดออกมาพลางพุ่งตัวไปข้างหน้า ร่างของเขาสูงโปร่งประดุจมังกรผงาดกลางหุบเหว ชุดยาวสีเข้มโบกพลิ้วตามแรง
“โฮกกก!!”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเงยหน้าขึ้น ฟ้าร้องคำรามประดุจดังอัสนีบรรลัยกัลป์
ทว่าท่าทีของมันน่ากลัวเสียยิ่งกว่า ร่างที่กระโดดตะครุบกลางอากาศราวกับแสงสีขาวกำลังเคลื่อนไหว ไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น ในการตะครุบแต่ละครั้งยังดุดันราวกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบ รุนแรงราวกับอัคคีโหมกระหน่ำ
กรงเล็บแหลมคมโจมตีทุกสิ่งอย่างง่ายดาย เพียงแค่ขยับก็สามารถฆ่าปรมาจารย์ทั่วไปให้ตายได้ น่าหวาดเกรงยิ่งนัก
ในถ้ำหิน ฉาจิ่นมองดูทุกอย่างด้วยอาการหนาววาบถึงสันหลัง ใบหน้าสวยสว่างเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ตื่นกลัวหวาดเกรงไม่หาย
ถามใจตัวเองดู หากว่าคนที่ประมือด้วยคือนาง เกรงว่าคงรับไม่ไหวแม้แต่กระบวนเดียว…
ทว่าซูอี้ไม่ใช่เช่นนั้น
ทั้ง ๆ ที่วิชาดาบของเขาไร้เทียมทาน ทั้งยังสามารถใช้สายฟ้าอัสนี แต่เขาไม่ยอมใช้ กลับตอบโต้ด้วยสองหมัดที่ว่างเปล่า
และสิ่งที่ฉาจิ่นไม่อยากจะเชื่อเป็นที่สุดก็คือในการห้ำหั่นอย่างดุเดือดเช่นนี้ ซูอี้กลับไม่เป็นรองแม้แต่น้อย!
เมื่อเจอการรุกที่รุนแรงถึงชีวิตในแต่ละครั้ง เขาเป็นต้องหลบไปได้อย่างหวุดหวิดร่ำไป ความแม่นยำช่ำชองในแต่ละกระบวนท่ามีความงดงามยอดเยี่ยม
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าซูอี้กลับไม่ได้เปรียบเลยแม้สักนิด
สัตว์อสูรอัคคีแดงเนตรมังกรตนนั้นแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน กรงเล็บแหลมคมพ่นเปลวเพลิงอัคคี ความน่ากลัวในตัวมันครอบคลุมไปทั่วฟ้าโอบล้อมไปทั่วดิน เพียงแค่กระแทกโดนเบา ๆ ก็สามารถทำลายหินผาจนแตกละเอียดเป็นผุยผง
ทั้งยังเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันมีความคิดอ่าน ระหว่างที่กระโจนตะครุบสามารถหลบหลีกเคลื่อนย้ายรุกรับได้อย่างมีจังหวะ ต่างไปจากสัตว์อสูรที่รู้จักแต่การใช้กำลังเข้าต่อสู้อย่างสิ้นเชิง
ครืน!
ในราตรีอันมืดมิด มีเพียงหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่อสู้บ้าระห่ำอย่างดุเดือด รอบระยะพันวาล้วนกลายเป็นสถานประลองกำลังของพวกเขาทั้งสอง ต้นไม้ใบหญ้าหินผาภูสูงเหล่านั้นล้วนแตกสลายกลายเป็นละออง แผ่นดินถล่มกลายเป็นรอยแตกร้าวมีหลุมลึกไม่รู้มากมายเท่าใด
การต่อสู้เช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการต่อสู้กันระหว่างปรมาจารย์ระดับสุดยอด
ฉาจิ่นดูการต่อสู้ด้วยอาการตื่นเต้นหวาดผวา ยากนักจะสงบใจลงได้
และชั่วขณะนี้เอง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าระหว่างตนเองกับซูอี้นั้นแตกต่างกันมากถึงเพียงไหน
ต่างกันราวเมฆากับโคลนตมเลยทีเดียว!
เพราะอย่างไรเสีย ซูอี้ในตอนนี้อยู่ในขั้นต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น…
เมื่อนึกถึงความจริงในข้อนี้แล้ว ในใจลึก ๆ ของฉาจิ่นอยากจะคลั่งเสียให้ได้ เหตุใดในโลกนี้จึงมีคนที่ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้?
“หวังเพียงแต่ว่า ศิษย์พี่อย่าได้พาคนในสำนักมา…”
ฉาจิ่นแอบถอนใจ
ครั้งนั้นหลังจากที่ศิษย์พี่ใช้ดาบยันต์แอบโจมตีซูอี้แล้วก็หนีไป เขาต้องการจะกลับสำนักเพื่อพาพรรคพวกมาจัดการกับซูอี้
ทว่าตอนนี้ ฉาจิ่นภาวนาอย่าให้สำนักส่งคนมา
“อสูรร้าย ฮ่า ๆๆ!”
ระหว่างการต่อสู้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะของซูอี้ดังขึ้นราวกับอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน
เสื้อผ้าบนร่างของเขามีรอยฉีกขาดหลายแห่ง ทิ้งรอยกรงเล็บพร้อมกับเลือดไหลซิบ ๆ เป็นทางยาวเต็มตัวราวกับถูกอาบด้วยเลือด
ทว่าเขาดูราวกับดีใจมากเสียอย่างนั้น สีหน้าท่าทางสดชื่น มีกำลังวังชา ยิ่งสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม ท่าทีลำพองนั้นทำให้ฉาจิ่นถึงกับตะลึง
ซูอี้ในช่วงเวลาปกติทั้งเกียจคร้านทั้งทระนง ขี้เกียจจนเข้ากระดูก และทระนงจนเข้ากระดูกเช่นกัน ดูราวกับเฉยชาไม่แยแส แต่แท้จริงคือความทระนงที่ไม่เคยมองใครในสายตา
ทั้ง ๆ ที่อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น กลับใช้ชีวิตราวกับเฒ่าประหลาดเฉยชาไร้ความรู้สึก ไม่สนใจกับสิ่งใด ๆ
คนที่ไม่รู้มีแต่จะมองว่าเขาเป็นคนหนุ่มธรรมดาสามัญคนหนึ่ง
แต่หากใครหาเรื่องเขาจะเข้าใจได้ว่าการถูกจัดแจงให้สิ้นหวังและหวาดกลัวนั้นเป็นอย่างไร
ทว่าซูอี้ในตอนนี้แตกต่างไปจากตอนปกติอย่างสิ้นเชิง!
เขาปล่อยตัวอิสระ ในการต่อสู้มีทั้งรุกรับประชิดแยก ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังพิฆาตอันน่าครั่นคร้ามที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่งรอบแปดทิศ
ถึงแม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่อาจบดบังความงามสง่าของเขาไปได้
เห็นเขาหัวเราะเสียงดังเช่นนี้ และต่อสู้อย่างดุเดือดเผ็ดมันเช่นนี้ จึงสามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขา ดวงตางดงามของฉาจิ่นเปลี่ยนไปไม่เข้าใจขึ้นมา
ชายหนุ่มดุจดังเซียนตกสวรรค์ พลังยิ่งใหญ่ดังกระทิงบุก!
หันไปมองพยัคฆ์เพลิงเนตรครามอีกครั้ง ถึงแม้ความดุดันยังคงมีอยู่เช่นเดิม ทว่าบนขนขาวดังหิมะนั้นมีรอยหมัดฟกช้ำน่าสยดสยองปรากฏหลายแห่ง บางครั้งยังส่งเสียงร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด สั่นสะเทือนไปทั้งภูเขาไพรพนา ดินทรายปลิวว่อน
ฉันพลันนัยน์ตาสีเขียวมรกตของสัตว์อสูรตนนี้ก็เปล่งประกายอำมหิตออกมา ขนทั่วทั้งร่างราวกับถูกแผดเผา เพลิงไฟลุกโชติช่วง พลังของมันระเบิดสูงขึ้นในทันใด
ชั่วขณะนั้นเอง มันคล้ายกับกลายร่างเป็นดวงตะวันอีกดวง ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ส่องสว่างพิภพภูพนา ขับไล่ไอหมอกที่แน่นหนา
เมฆาและวายุเปลี่ยนสี
“โฮกกก!!!”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเงยหน้าร้องคำราม ในฉับพลันร่างที่คล้ายกับดวงตะวันแผดเผาก็กระโจนเข้าหาซูอี้
โดยไม่ต้องสงสัย สัตว์อสูรตนนี้ถูกบีบคั้นจนร้อนรนขึ้นมาแล้ว มันกำลังแสดงฤทธิ์เดชขั้นสุดท้าย
ระหว่างนั้น ขณะที่ร่างของมันอยู่กลางอากาศ ปรากฏมีเงาเสมือนขนาดใหญ่ราวกับแผ่นฟ้าเหยียบหมู่ดาว ยิ่งใหญ่จนเกินจินตนาการ ดุจดังสัตว์เทพในคำเล่าขาน น่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต!
“นี่คือตัวอะไร?”
ร่างอรชรของฉาจิ่นสั่นระริก เข่าสองข้างอ่อนยวบ ในใจเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แทบจะขณะเดียวกัน ลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีดำขลับของซูอี้ แสงไฟร้อนแรงดวงหนึ่งผุดขึ้น มิน่าเล่า เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้จึงสามารถบังคับควบคุมอัคคีเทพได้ ที่แท้เป็นเพราะในร่างของมันมีสายเลือดเจือจางของ ‘ซวนหนี’*[1] นั่นเอง…
ซวนหนี ถือเป็นหนึ่งใน ‘สิบแปดสัตว์เทพ’ ของเก้ามหาแดนดิน
รูปร่างของมันคล้ายกับสิงโต ชอบกินไฟ มีพลังมหาศาล สามารถควบคุมอัสนีพิฆาตธรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่ำชองวิถีแห่งเมฆหมอกบังตา
‘จักรพรรดิหมอก’ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเก้ามหาแดนดิน มีร่างเดิมเป็นสัตว์อสูรผู้มีสายโลหิตของซวนหนีที่ฝึกตนจนถึงระดับสุดยอด
ถึงแม้พยัคฆ์เพลิงเนตรครามตรงหน้าตนนี้จะมีสายเลือดของซวนหนีเพียงน้อยนิด ทว่าในอาณาจักรภูมิภพดังเช่นอาณาจักรต้าโจวเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่งในบรรดาสัตว์อสูรขั้นที่เก้า
ชั่วขณะนี้ ซูอี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งปะทะเข้ามาแล้วเช่นกัน รู้สึกเจ็บแสบไปทั่วร่าง รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแห่งอันตรายอย่างที่สุด
เป็นเพราะกลิ่นอายแห่งอันตรายอย่างที่สุดนี้เองที่กระตุ้นลมปราณขับกระชับไปทั่วทั้งร่างอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เลือดลมภายในกายพุ่งสูงราวกับมหาสมุทรสั่นสะเทือน
ฉับพลัน ทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดภายในร่างราวกับได้รับการกระตุ้นอย่างแรง แต่ละจุดเดือดพล่านราวกับคลื่นขนาดเล็ก
“ดี!”
ช่วงเวลาที่ซูอี้กำลังรอคอยก็คือช่วงเวลานี้
เขาหัวเราะเสียงดังออกมา แขนเสื้อพองโต แสงลี้ลับหนึ่งร้อยแปดลำยิงทะลุออกจากร่างสูงโปร่งโดยพร้อมเพรียงกัน
แต่ละลำยิงออกมาราวกับสายรุ้งแห่งแสงดาบ พุ่งทะลุสู่ชั้นสรวงสวรรค์ ส่งเสียงดังกึกก้อง เปล่งแสงเงาดาบออกมาเป็นระลอกกลางอากาศ เฉิดฉายเป็นประกาย กระเพื่อมราวระลอกคลื่น วิจิตรตระการตา
มองดูไกล ๆ ร่างของเขาราวกับเทพเทวา มีเงาดาบแสงลี้ลับอันวิจิตรตระการตาล้อมรอบอยู่ตรงกลาง ภาพเหตุการณ์ประหลาดเช่นนั้นเจิดจำรัสท่ามกลางความมืดมิด
ครืน!
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามพุ่งเข้าหาราวกับตะวันแดงขับเคลื่อน เงาเสมือนบนตัวราวกับกำลังจะดูดกลืนผืนแผ่นดินตรงนี้
ทว่าขณะที่สัมผัสกับเงาดาบแสงลี้ลับหนึ่งร้อยแปดลำนั้นแล้ว เงาเสมือนขนาดใหญ่ของซวนหนีกลับแตกสลายประดุจฟองน้ำในชั่วพริบตา
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามที่อยู่ในอาการโกรธเกรี้ยวถึงกับสะดุ้งสุดตัว รู้สึกได้ถึงอันตราย
แทบจะขณะเดียวกัน ซูอี้ยกมือขึ้นทำท่ากดลง
ขณะที่เมฆบางลมเบา
ก็เห็น…
ลำตัวยาวใหญ่นับหลายวาของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามตนนั้นสะดุดหยุดนิ่ง ถัดจากนั้นจึงกระแทกลงกับพื้นเสียงดังกึกก้องราวกับถูกภูเขาเทพโบราณกดทับ
พื้นปฐพีถูกกระแทกจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ หินดินแตกกระจุย
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามพยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้น สุดท้ายกลับทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บใจออกมา สุดท้ายล้มลงนอนแน่นิ่งไปอีกครั้ง ขนทั่วร่างของมันหมองมัวอับแสง โลหิตสีแดงไหลซึมออกมาจากผิว กระดูกเอ็นในร่างขาดสะบั้นไม่รู้กี่ท่อน!
เพียงพลังฝ่ามือเดียวก็สามารถสยบสัตว์อสูรขั้นที่เก้าซึ่งมีพลังเปรียบได้กับปรมาจารย์ขั้นห้าจนราบคาบ!
หันไปมองดูซูอี้อีกครั้ง ร่างของเขางามสง่า แสงเงาดาบสี่ทิศหมุนเวียนเปลี่ยนสลับระยิบระยับงดงามราวกับเทพเซียน
ภาพเช่นนั้นทำให้ฉาจิ่นถึงกับนิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น ในใจเต็มไปด้วยความครั่นคร้ามยำเกรง
ภาพแห่งความยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตเช่นนี้ เพียงพอจะทำให้นางลืมไม่ลงไปทั้งชาติ
น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
ราวกับเซียนสำแดงเดชสยบสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่ ราวกับไม่ใช่คนในโลก ไม่มีใครคนใดในโลกสามารถทัดเทียมได้
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว…”
เวลานี้ ความพึงพอใจยากจะพรรณนาผุดขึ้นในใจของซูอี้
ในร่างของเขา หนึ่งร้อยแปดจุดล้ำลึกราวกับดินแดนซ่อนเร้นขนาดเล็กที่ส่องประกายเฉิดฉายใสสว่างระยิบระยับ ในดินแดนซ่อนเร้นมีปรากฏการณ์ลึกลับซับซ้อนถักทอ ในความคลุมเครือเต็มไปด้วยความลึกลับยากจะคาดเดา
นี่ก็คือ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’!
ในชาติที่แล้ว ถึงแม้ซูอี้จะฝึกฝนเคล็ดวิชามากมายจนชำนาญและช่ำชอง ทว่ามีเพียงแค่เจ็ดสิบสองจุดเท่านั้นที่ถูกเปิดออก
ความบกพร่องนี้ทำให้ตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิต้องสูญเสียสมบัติล้ำค่าไปมากมายนับไม่ถ้วนจึงจะพอชดเชยการฝึกฝนกลับคืนมาได้บ้าง ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังมีผลกระทบต่อรากปฐมของการฝึกในช่วงแรกสุดอยู่ดี
ทว่าเวลานี้ ในช่วงระหว่างที่ห้ำหั่นกับพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม เขาจับโอกาสไว้ไม่ปล่อย บังคับทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดให้เปิดออก!
จุดล้ำลึกแต่ละจุดเปรียบเสมือนดินแดนซ่อนเร้นขนาดเล็ก มีปรากฏการณ์ที่ลึกลับซับซ้อนเกิดขึ้นภายใน มีพลังสามารถถักทอเชื่อมโยงฟ้าดิน ส่องสะท้อนแสงวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่!
วิถียุทธ์ระดับนี้ กระทั่งในแผ่นดินเก้ามหาแดนดินก็ยังกล่าวได้ว่าไม่เคยปรากฏมีมาก่อนและจะไม่ปรากฏอีกในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ ถือได้ว่าซูอี้ได้ฝึกฝนระยะต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณจนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังเพียบพร้อมครบถ้วนเกินกว่าเมื่อชาติก่อนในช่วงเวลาเดียวกันเสียด้วย!
“เพียงแค่ไม่รู้ว่า ปรากฏการณ์ลึกลับซับซ้อนจากการเปิดจุดเหล่านี้จะมีความมหัศจรรย์เช่นใด…”
ซูอี้กำลังสงบใจตัวเองเพื่อสัมผัสรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายตน ทันใดดาบเก้าคุมขังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างประหลาด
ครู่ถัดมา หนึ่งร้อยแปดจุดในร่างของเขาก็ปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาราวกับดวงดาว จากนั้นเคลื่อนไหวอย่างประหลาดเพื่อตอบรับการสั่นสะเทือนของดาบเก้าคุมขัง กลายเป็นการสั่นสะเทือนร่วมกันอย่างมหัศจรรย์
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ซูอี้ไม่ทันตั้งตัว
เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าภายในแต่ละจุดที่คล้ายคลุมเคลือในตอนแรก ขณะนี้กำลังสะท้อนเงาเสมือนของดาบออกมา!
เงาเสมือนดาบแต่ละเงาเหมือนกับดาบเก้าคุมขังในกายเขาไม่ผิดเพี้ยน!
สิ่งเดียวที่แตกต่างออกไปคือ บนเงาเสมือนไม่มีโซ่ตรวนผนึก อีกทั้งวิถีดาบที่แสดงออกแต่ละเล่มก็เป็นเพียงแค่เงาเสมือนซึ่งแปลงมาจากการสะท้อนของแต่ละจุด
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่าหนึ่งร้อยแปดเงาเสมือนดาบก็คือ ‘ปัญญา’ อันเกิดจากการสะท้อนของทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดจากตัวซูอี้เอง
“วิถีดาบเคล็ดล้ำลึก ดินแดนซ่อนเร้นสำแดงเดช ปรากฏการณ์เช่นนี้มหัศจรรย์ยิ่งกว่าเมื่อสักครู่เสียอีก…”
ซูอี้สั่นสะท้านขึ้นมาในใจ
[1] ซวนหนี สัตว์ในตำนานของจีน มีรูปเป็นราชสีห์ ชอบสูบควันไฟ จึงไปอยู่ที่วัด มักพบเห็นรูปปั้นของซวนหนีตามวัดจีน บริเวณกระถางธูป และแท่นที่ตั้งบูชาพระพุทธรูป