บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 160 บททดสอบความอดทนของบุรุษ
ตอนที่ 160: บททดสอบความอดทนของบุรุษ
ซูอี้ไม่คาดคิดเลยว่าดาบเก้าคุมขังจะนำโชคลาภมาสู่ตัวเขาเช่นนี้
เดิมที จิตวิญญาณของเขากล้าแกร่งจนหาผู้ใดเทียบเปรียบได้ยากอยู่แล้วครั้งตั้งแต่อยู่ที่เก้ามหาแดนดิน แต่ขณะนี้มันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นอีก จนแม้แต่เขายังประเมินไม่ได้ว่าขีดจำกัดขณะนี้อยู่ที่ใด
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาเขากลายสู่อิสระ’ ขณะนั้นดาบเก้าคุมขังมีการตอบสนองเช่นกัน”
“การตอบสนองครั้งนั้น เป็นดาบเก้าคุมขังพยายามระงับอำนาจของโซ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าชั้น แต่กระนั้นครั้งนี้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
“สิ่งนี้น่าสนใจยิ่ง หากจะพูดว่าทุกครั้งที่ดาบเก้าคุมขังตอบสนอง มันสัมพันธ์กับการทะลวงระดับของข้าคงไม่ผิดกระมัง?”
ซูอี้สั่งสมประสบการณ์การบ่มเพาะมานับไม่ถ้วนในชีวิตก่อนหน้านี้ เขาจึงอนุมานได้ว่ายามที่เขาบรรลุซึ่งการฝึกฝน มันย่อมจะกระตุ้นดาบเก้าคุมขังในเวลาเดียวกัน นำไปสู่ผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดมาสู่ตัวเขาเอง
ตัวอย่างเช่น การสำเร็จสภาวะ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ในครั้งนี้ ด้วยพลังของดาบเก้าคุมขัง ทำให้ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นของตัวเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอีก
หลังจากครุ่นคิดอยู่ได้พักหนึ่ง ซูอี้ก็ถอนความคิดและมองไปที่พยัคฆ์เพลิงเนตรคราม ซึ่งกำลังนอนไม่ไหวติงอยู่ในหลุมบนพื้นดิน
ขนของมันเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต ดวงตาของมันขุ่นมัว ลมหายใจทั้งอ่อนแอและติดขัด เมื่อมันสังเกตเห็นดวงตาของซูอี้ที่จ้องมายังตน มันจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงขยับเดินตรงไปหา
“โฮก!!”
สัตว์อสูรนั่นคำรามก้องอย่างข่มขู่
“อย่าได้กังวลไป แม้เจ้าจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ซูผู้นี้ถือว่าเจ้าคือผู้ช่วยทะลวงด่าน ดังนั้นแล้วข้าหาได้มีจิตคิดจะทำร้ายเจ้าให้ลำบากต่อไปอีกไม่ สิ่งที่ข้ากำลังจะทำต่อไปนี้คือการตอบแทน”
ซูอี้หัวเราะ หยิบลูกท้อสีแดงสดซึ่งลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟออกมาแล้วโยนไปทางสัตว์อสูร “นี่คือหนึ่งในสามลูกท้อไฟหยางบริสุทธิ์ที่ข้ามี จงกินมันเสียถือว่าเป็นคำขอบคุณจากตัวข้า”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามร่างยักษ์เบิกตากว้าง ราวกับว่ามันไม่อยากเชื่อในฉากที่เห็น มันดมด้วยจมูก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วอ้าปากเพื่อกลืนลูกท้อไฟเข้าไป
ทันใดนั้น พลังที่อ่อนแอกลับฟื้นคืนขึ้นมาก อีกทั้งดวงตาของมันยังเปล่งประกายประหนึ่งดาวเหนือ
ซูอี้หยิบสมุนไพรวิญญาณออกมาแล้วโยนให้มันต่อ “ซูผู้นี้หาใช่มีสันดานเข่นฆ่าอย่างไร้เหตุผล เจ้าและข้าหาได้มีความแค้นชิงชังกันแต่แรกเริ่ม วันนี้เจ้ากับข้าได้พานพบกันถือได้ว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตมา ยามเมื่อเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะให้ ‘วิธีการแปลงร่าง’ แก่เจ้า”
หลังจากเอ่ยจบประโยค ซูอี้ก็หันไปทางหน้าปากถ้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“ส่วนเรื่องลูกหลานของเจ้าอย่าได้มาโทษข้า มันไม่ใช่ตัวข้าที่เป็นคนลงมือสังหาร ความเกลียดชังนี้ไม่อาจนับข้าเข้าร่วมได้”
ซูอี้กล่าวเสริม เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำและมองดูศพของลูกเสือหลากสีบนพื้น
ชายหนุ่มไม่สนใจว่าสัตว์อสูรยักษ์จะเชื่อถือถ้อยคำของเขาหรือไม่ เขานั่งลงและเริ่มทำสมาธิ
การต่อสู้เมื่อครู่นี้ เขาได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย และต้องใช้เวลาในการรักษา
ฉาจิ่นจ้องมองทุกอย่างด้วยความงุนงง รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน
ไม่นานนัก นางถอนหายใจยาวและยืนอยู่หน้าถ้ำอย่างเงียบ ๆ ดวงตาที่สวยงามของนางมองไปที่สัตว์ร้ายตาสีฟ้าซึ่งกำลังรักษาตัวเองอยู่เช่นกัน
สัตว์อสูรระดับเก้าหาใช่สิ่งที่สามารถดูแคลนได้ แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นห้ายังต้องล่าถอยอย่างไม่คิดชีวิตหากเจอเข้าสักหนึ่ง แต่กระนั้นเมื่อครู่นี้ มันกลับถูกซูอี้ผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น ปราบลงด้วยมือเปล่าเท่านั้น!
ทว่าสิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือท้ายที่สุด ซูอี้กลับไม่ได้จบชีวิตสัตว์อสูร แต่กลับส่งมอบสมุนไพรวิญญาณมากมายให้แก่มันเพื่อให้มันฟื้นฟู ทั้งยังมองว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นโชคชะตาฟ้าบันดาล และต้องการจะมอบวิธีการกลายร่างให้แก่มัน!
“หรือนี่จะเป็นเป็นพฤติกรรมปกติเฉกเช่นที่เทพเซียนทั้งหลายพึงมี?”
ฉาจิ่นรู้สึกสับสน ในใจยิ่งรู้สึกว่าซูอี้นั้นลึกลับเกินกว่าที่นางเคยประเมิน บุรุษผู้นี้ซ่อนความลับมากมายไว้เท่าใดกันแน่?
เวลาล่วงเลยไป
ยามเมื่อรุ่งอรุณใกล้เข้ามา พยัคฆ์เพลิงเนตรครามลุกขึ้นยืน ดวงตาสีครามประหนึ่งไพลินของมันจับจ้องไปยังทางถ้ำ
ร่างกายของฉาจิ่นแปรเปลี่ยนเป็นแข็งค้าง แต่ในไม่ช้านางก็พบว่าสัตว์อสูรนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็หันหลังกลับ และเดินลับหายไปในราตรีอันมืดมิด
“มันไม่อยากได้วิธีการแปลงร่างอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่น่าใช่ แต่คล้ายว่ามันคงยังหวาดเกรงเกินกว่าจะรั้งอยู่ต่อเสียมากกว่า…”
ฉาจิ่นลอบครุ่นคิดกับตัวเอง รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
ยามรุ่งสางคืบคลาน
แสงยามเช้าขับไล่ความมืดมิด อาบไล้ขุนเขาและแม่น้ำ แต่งแต้มโลกทั้งใบให้เปี่ยมสีสันในทันใด
แม้คืนที่ผ่านมาจะไม่ได้หลับนอนแม้เพียงน้อย แต่ด้วยรากฐานวิถียุทธ์อันมั่นคง ฉาจิ่นจึงหาได้รู้สึกอ่อนล้าแต่อย่างใด
“ไปกันเถิด” ซูอี้ลุกขึ้นจากพื้น
ทันใดนั้นฉาจิ่นตระหนักว่าซูอี้ได้เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและเปื้อนเลือดของเขาเป็นชุดเสื้อคลุมสีเขียวตัวใหม่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองออกเดินทางลัดเลาะไปมาระหว่างภูเขาและทุ่งนา ยามแลเห็นผลไม้ป่าข้างทาง ฉาจิ่นจะแวะเก็บผลไม้บางส่วนไว้เป็นอาหารสำหรับพวกเขา
หลังจากประสบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ฉาจิ่นรู้สึกว่าแม้จะเดินอยู่ในป่าลึกเพียงใด ความรู้สึกเหนื่อยหรือระแวดระวังนั้นไม่บังเกิดในใจอีกต่อไปแล้ว
ยามนี้เมื่ออารมณ์ผ่อนคลาย นางจึงได้ใส่ใจชมทิวทัศน์รอบด้านได้อย่างเต็มที่
ครืน!
ใกล้เที่ยงวัน น้ำตกแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นระหว่างหน้าผาที่อยู่ไกลออกไป สายน้ำดำดิ่งลงสู่เบื้องล่างประหนึ่งมังกรขาว เสียงน้ำกระทบด้านล่างก้องกังวานราวกับฟ้าร้อง
ดวงตาที่สวยงามของฉาจิ่นเปล่งประกาย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบาอย่างเคอะเขิน “นายท่าน ข้าอยากอาบน้ำใต้น้ำตก…”
ไม่กี่วันที่ผ่านมาหลังจากเดินทางลัดเลาะไปตามป่าเขา ขณะนี้เสื้อผ้าของนางเปื้อนเขรอะไปด้วยฝุ่นโคลน ทำให้ฉาจิ่นผู้รักสะอาดรู้สึกรังเกียจกลิ่นกายตนเองอยู่เล็กน้อย
“ข้าอาบก่อน แต่ถ้าหากเจ้าไม่ถือสา จะอาบด้วยกันข้าก็ไม่รังเกียจ”
สิ้นคำ ซูอี้เดินตรงไปยังน้ำตกที่ปรากฏแก่สายตาทันที
ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งพูดสิ่งใดไม่ออก ใบหน้างามงดของนางแดงระเรื่อ ในใจลอบสบถอย่างรุนแรง เจ้าเชื้อเชิญสตรีร่วมอาบน้ำง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?
ทว่าหลังจากครุ่นคิดได้อยู่ครู่หนึ่ง ฉาจิ่นจึงเร่งรีบก้าวเท้าเดินตามซูอี้ไป อืม นางหาใช่สตรีธรรมดาสำหรับซูอี้ไม่ นางเป็นสาวรับใช้ เช่นนั้นแล้วนางจึงจำเป็นต้องตามอีกฝ่ายไป คอยเฝ้ามองดูแลไม่ให้มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง
ด้านล่างของน้ำตกเป็นแอ่งน้ำที่มีโขดหินหน้าตัดเรียบกระจัดกระจาย น้ำในสระใสจนเห็นเบื้องล่าง
ซูอี้ถอดเสื้อผ้าของเขาแล้วและแช่ตัวในสระน้ำใสกระจ่าง ร่างสูงของชายหนุ่มแม้จะดูผอม แต่กล้ามเนื้อของเขาเป็นเหลี่ยมชัดและผิวพรรณของเขาเปล่งประกายราวกับหยก
จากระยะไกล เมื่อมองดูซูอี้กำลังแช่น้ำอย่างสบาย ฉาจิ่นรู้สึกคันไปทั้งตัว และอยากจะกระโดดลงสระและอาบน้ำให้สบายตัว
แต่สุดท้ายนางก็ยั้งใจตนเองไว้
หากนางลงไปอาบน้ำกับซูอี้จริง ๆ มันคงไม่งามเท่าใดนัก
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูอี้ลุกขึ้นและเดินออกจากสระ เช็ดคราบน้ำบนร่างกายจนแห้ง ใส่เสื้อผ้า และบิดผมยาวก่อนจะมัดเป็นมวย เขารู้สึกสดชื่นและอารมณ์ดีขึ้น
ไม่ใช่เพียงฉาจิ่นที่ชอบความสะอาด แต่บุรุษเช่นเขาก็ยังรักความสะอาดไม่น้อยหน้า
“ไปล้างตัว”
ซูอี้เอามือไพล่หลัง ขยับกายเดินไปใต้ร่มไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก และนั่งอย่างเกียจคร้านบนก้อนหิน
ฉาจิ่นลังเล
เดิมทีนางวางแผนที่จะให้ซูอี้คอยดูต้นทางระวังภัยอันตราย แต่เมื่อตระหนักถึงสถานะตัวตนปัจจุบันของตนเอง นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจอย่างลับ ๆ ก่อนจะหันหลังกลับและรีบออกไป
ที่หน้าสระ
ฉาจิ่นถอดเสื้อผ้าออกทีละชั้น วางซ้อนกันบนก้อนหินอย่างเรียบร้อย หลงเหลือไว้แต่เพียงผ้าคลุมบางสีน้ำเงินปกปิดหน้าอก และชุดชั้นในซึ่งปกปิดบริเวณที่สงวน จากนั้นร่างขาวราวหิมะก็จมอยู่ใต้ผิวน้ำ
ยามน้ำใสในสระชำระล้างร่างกายผิว ฉาจิ่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดวงตาคู่สวยปิดพริ้มลงเล็กน้อย ใบหน้าทรงเสน่ห์และสดใสเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน
แต่แล้วในใจกลับเผลอเรออดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งแรกยามได้พบกับซูอี้
ครั้งแรกที่นางพบกับเขาคือขณะที่ไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ เวลานั้นนางคิดเพียงว่าซูอี้เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากองค์ชายหกและมีภูมิหลังเป็นยอดฝีมือเชิงดาบ
แต่ต่อมา ยิ่งนางคิดถึงเหตุการณ์ที่ประดังเด สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนผันผวน มีทั้งโกรธบ้าง เขินบ้าง ผิดหวังบ้าง…
“ควรเสร็จได้แล้วกระมัง?”
ทันใดนั้น เสียงไม่อดทนดังขึ้น
ร่างกายของฉาจิ่นสั่นสะท้าน นางตื่นขึ้นทันทีจากความคิดที่วุ่นวายของนาง
เมื่อนางเห็นซูอี้ยืนอยู่ไม่ไกลจากขอบสระ นางกลายเป็นประหนึ่งกวางที่หวาดกลัว มือของนางโอบรอบหน้าอกของตนโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าที่งดงามของนางทั้งอับอายและหวาดระแวง
เขามาตั้งแต่เมื่อใดกัน!?
ยิ่งไปกว่านั้น สระน้ำนี้ใสราวกับกระจก แค่เพียงเหลือบมองก็สามารถเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ไม่พึงควรจะเห็นได้ในพริบตา เขา… เขาเห็นสิ่งใดไปบ้างเมื่อครู่นี้?
เรือนร่างเรียบเนียนของฉาจิ่นขดม้วนราวกับพยายามจะแอบซ่อนอยู่ในน้ำที่กระจ่างใส
ซูอี้ดูฉากนี้ด้วยความใคร่รู้ ไม่มีปิดบังทั้งยังเถรตรงราวกับอยากจะมองให้เห็นซึ่งทุกสิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาเอ่ยถ้อยคำอย่างเกียจคร้าน “การอาบน้ำของสตรีช่างเป็นบททดสอบความอดทนที่แสนยากไม่ว่าต่อบุรุษใด”
สิ้นคำกล่าวซูอี้วางเสื้อผ้าสะอาดอีกชุดไว้ข้างหิน “เสื้อผ้าชุดนี้เป็นของข้า เจ้าจงนำไปผลัดใส่ก่อน”
ฉาจิ่นที่ทั้งเขินอายและโกรธถึงกับนิ่งอึ้ง บุรุษเย็นชาผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่านางไม่มีเสื้อผ้าชุดใหม่อีกแล้ว?
ความอบอุ่นที่อธิบายไม่ถูกปะทุขึ้นในใจของนาง ปรากฏว่า คนที่ดูเฉยชาอย่างซูอี้แท้จริงแล้วยังละเอียดลออใส่ใจความเป็นอยู่ของคนที่อยู่ข้างกาย…
แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ ซูอี้หยิบเอาเสื้อผ้าอีกกองโตมาวางตรงหน้า ถ้อยคำกล่าวออกว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าที่สกปรกแล้วของตัวข้า ภายหน้าหากว่างเมื่อไร เจ้าจะนำพวกมันไปซักรวมกับของเจ้าด้วย”
หลังจบประโยคซูอี้ก็เดินจากไปอย่างเมินเฉย
ฉาจิ่นนั้นแทบจะอ้าปากค้าง ความรู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อครู่นี้มลายหายไปสิ้นในทันที มุมของริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางกระตุกอย่างรุนแรง
ปรากฎว่าที่อีกฝ่ายทำดีกับตนก็เพื่อหาโอกาสใช้งานให้ซักผ้านั่นเอง…
อย่างไรแล้ว ฉาจิ่นลอบถอนหายใจให้กับตัวเองอีกครั้ง นางเป็นสาวใช้ในสายตาของเขา ดังนั้นจึงสมควรแล้วหากนางจะได้รับหน้าที่ซักผ้าดังเช่นนี้ มันไม่มีสิ่งใดผิดแปลกแม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ?
แต่กระนั้น เหตุใดตัวข้าจึงยังคงรู้สึกคับข้องใจอยู่เช่นนี้?
ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่
ซูอี้ซึ่งกำลังจะนั่งลงอีกครั้ง จู่ ๆ ก็เลิกคิ้วขึ้นและมองไปในระยะไกล
เสียงดังตุ้บ ดูเหมือนของหนักจะตกลงบนพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นเงาสีขาวก็แวบวาบและหายวับไปอย่างเงียบเชียบ
ซูอี้ขยับเดินไป จากนั้นจึงเห็นศพหมูป่านอนไม่ไหวติงอยู่บนพื้นหญ้า