บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 161 ลูกเสือ
ตอนที่ 161: ลูกเสือ
ซูอี้นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงเข้าใจ
หมูป่าตัวนี้ต้องถูกส่งมาจากพยัคฆ์เพลิงเนตรครามเป็นแน่แท้
“ควรแล้วกับการเป็นสัตว์อสูรซึ่งเบิกปัญญาสำเร็จ มันรู้วิธีตอบแทนคุณโดยไม่ต้องถูกสอนสั่ง”
ซูอี้กล่าวอย่างแผ่วเบา
จากนั้นเขาจึงหยิบดาบบงการฟ้าดินออกมา สับขาทั้งสี่จากตัวหมูป่าออกโดยตรง ก่อนจะนำมันไปล้างที่ลำธารเพื่อทำความสะอาด สร้างกองไฟ ทำเตาย่างแบบง่าย ๆ และแขวนขาหมูป่าไว้บนนั้น
กองไฟลุกโหมกระหน่ำ ขาของหมูป่าเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามอย่างรวดเร็ว ไขมันหยดบนกองไฟทำให้เกิดเสียงชี่ ๆ ก่อนกลิ่นหอมของเนื้อที่เย้ายวนใจจะกระจายออกไป
ซูอี้นั่งยอง ๆ ที่ด้านข้าง หยิบน้ำผึ้งและเครื่องเทศหลายชนิดจากจี้หยกข้างเอวแล้วทาที่ขาหมูป่าเป็นครั้งคราว ท่วงท่าชำนาญไม่เก้กังแม้เพียงนิด
เมื่อเห็นว่าขาของหมูป่ากลายเป็นสีน้ำตาลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเครื่องปรุง ซูอี้อดไม่ได้ที่จะปาดนิ้วชิมลิ้มลองรสชาติ
“แม้เทียบไม่ได้กับตับมังกรหรือไขกระดูกหงส์อมตะ แต่อย่างน้อยสิ่งที่ข้าเป็นคนปรุงย่อมมีรสชาติไม่ธรรมดา…”
ซูอี้หยิบดาบบงการฟ้าดินขึ้นมาอีกครา แล้วหั่นชิ้นเนื้อที่สุกเกรียมได้ที่ออกมาชิ้นหนึ่งก่อนจะหยิบใส่ปาก ต่อมรับรสที่ปลายลิ้นเปิดออกอย่างรู้ความ ทั้งปากเต็มไปด้วยรสชาติเลิศล้ำอันหลากหลาย
ผิวด้านนอกกรอบเกรียมเล็กน้อย แต่กระนั้นด้านในกลับนุ่มละมุนทั้งยังชุ่มฉ่ำ หากจะให้บรรยายโดยสั้นคงมีเพียงสองคำนั้นคือ ‘วิเศษล้ำ’
หลังจากจิบเครื่องดื่มแล้ว ซูอี้อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าอย่างลับ ๆ ให้กับตนเอง อาหารที่เขาทำเองมีรสชาติดีกว่าภัตตาคารในโลกปุถุชนอย่างไม่อาจเทียบ
ต่อมาเขาดื่มและกินเนื้อไปพร้อม ๆ กัน
ผ่านไปพักใหญ่ ยามฉาจิ่นเดินมาจากระยะไกล มีเพียงขาหน้าหมูป่าที่เหลืออยู่บนกองไฟเท่านั้น
ทว่ากลิ่นหอมเย้ายวนของเนื้อที่สุกเกรียมได้ที่ทำให้นางกลืนน้ำลายอย่างไม่อาจควบคุม กระนั้นดวงตาที่สวยงามของนางกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ คนเกียจคร้านเช่นซูอี้ทำอาหารเป็นด้วยงั้นหรือ?
อีกทั้งอาหารยังดูน่าลิ้มลอง…
ฉาจิ่นเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบา “นายท่าน เสื้อผ้าของท่านถูกซักและตากแล้ว”
ขณะนี้นางสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินตัวหลวม ผมยาวดำขลับถูกมัดไว้ด้านหลังศีรษะอย่างประณีต ทั้งร่างกายสะอาดสะอ้านเรียบร้อย ใบหน้างดงามและสดใสประหนึ่งผลึกแก้ว
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ขาหมูป่าที่เหลืออยู่นั้นเจ้าจงนำมันออกไปทิ้งให้ข้าที”
ประโยคครึ่งแรกทำให้ฉาจิ่นมีความสุข
ทว่าครึ่งท้ายของประโยคทำใบหน้าสวยสะพรั่งของนางเปลี่ยนเป็นนิ่งงัน ความคับข้องใจพลันปรากฏขึ้นในอก นางอดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่าอยู่ภายใน ข้าไม่ควรคาดหวังกับชายคนนี้ให้มากนัก!
ในสายตาของชายคนนี้ นางคงเป็นเพียงแค่นักโทษ หาได้จำเป็นต้องใส่ใจถึงความรู้สึกใด ๆ ไม่!
ซูอี้เดินจากไปโดยเอามือไว้ข้างหลัง “ทว่า หากเจ้าไม่รังเกียจของเหลือจากตัวข้า เจ้าก็นำมันไปกินเสียข้าไม่ถือสา”
หลังจากสิ้นประโยค ซูอี้พลันลุกขึ้น และเดินกลับไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างเฉยเมย
“เห็นชัดว่าเขาอยากให้ข้ากิน แต่กลับปากแข็งไม่กล้าเอ่ยขึ้นโดยตรง บุรุษผู้นี้ช่างน่ารำคาญใจเสียจริง!”
ฉาจิ่นบ่นพึมพำพลางขยับกายมานั่งยังที่เดิมของซูอี้ที่นั่งเมื่อครู่นี้ ก่อนจะหยิบเอาขาหมูป่าที่เหลือมากินอย่างเบิกบาน
ทันทีที่กัดชิมขาหมูป่า ดวงตาของนางเปล่งประกาย เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ “หืม… ชายผู้นี้ทำอาหารชำนาญถึงเพียงนี้เลยงั้นหรือ?”
แม้ขณะนี้นางจะกินอย่างมูมมามจนแก้มทั้งสองพองโปน แต่ด้วยความงามซึ่งเลิศล้ำไร้ที่ติมันกลับทำให้นางยิ่งน่าเอ็นดู
ในท้ายที่สุด หลังจากกินขาหมูป่าจนหมดสิ้น ฉาจิ่นดูดเลียคราบไขมันบนนิ้วมือสองสามครั้ง จากนั้นจึงเหยียดปลายลิ้นสีชมพูสดของนางออกแล้วเลียรอบ ๆ ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางอย่างสำราญใจ
“หากกินเสร็จแล้วก็จงรีบไปเก็บข้าวของ ถึงเวลาที่เราจะออกเดินทางกันแล้ว”
เสียงของซูอี้ดังขึ้นจากระยะไกล
ฉาจิ่นลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรีบทำตาม
ในอดีต นางค่อนข้างจะขัดขืนคำสั่งของซูอี้ แต่หลังจากกินขาหมูป่านี้ นางบังเกิดความยินยอมอย่างน่าแปลกประหลาด
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จสรรพ ทั้งสองจึงเดินทางต่อไป ระหว่างทาง ซูอี้จะยืนบนยอดเขาเป็นครั้งคราวเพื่อชมทะเลหมอกทั้งยังนั่งพักผ่อนริมลำธารบ้างเป็นบางครา
และยามพบเจอสิ่งใดน่าสนใจ เขาจะคุยกับฉาจิ่นสักสองสามคำ
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เขาเป็นเหมือนนักเดินทางที่ไร้จุดหมาย เดินทางไปเรื่อยเปื่อยเพื่อเชยชมภูเขาและแม่น้ำ ความกว้างใหญ่ของโลกหล้า และความงามจากการรังสรรค์ของฟ้าดิน
สภาพจิตใจของฉาจิ่นก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกันระหว่างทาง คล้ายว่านางลืมความยุ่งเหยิงทางโลกไปหมดแล้ว นางเริ่มผ่อนคลายไปกับการเดินท่องเคียงซูอี้ เฝ้าดูแสงยามเช้าและเมฆหมอกในตอนเย็น เพ่งพินิจทัศนียภาพอันงดงาม
แต่กระนั้นมีสิ่งหนึ่งที่แปลกไปบ้าง ฉาจิ่นพบว่าเมื่อใดก็ตามที่นางและซูอี้หยุดพักผ่อน ซากสัตว์มักจะปรากฏอย่างไร้สุ้มเสียง ซึ่งทั้งหมดเป็นนกและสัตว์ในป่าเขา
ไม่นานนักหลังจากครุ่นคิด ฉาจิ่นก็ตระหนักเข้าใจว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นผลงานของพยัคฆ์เพลิงเนตรครามเป็นแน่แท้ เจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นคงจะต้องการตอบแทนความกตัญญูต่อซูอี้ สิ่งนี้ทำให้หัวใจของฉาจิ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น
ทว่า สิ่งที่ทำให้ฉาจิ่นเขินอายก็คือเนื้อย่างที่นางทำนั้นจืดชืด และด้อยกว่าซูอี้มาก ดังนั้นซูอี้จึงโยนมันทิ้งไปด้วยความขยะแขยงและท้ายที่สุดตัวเขาจึงลงมือทำอาหารเองเช่นเดิม
ไม่กี่วันต่อมา
ซูอี้พบคนตัดไม้บนภูเขา หลังจากการซักถามเล็กน้อย เขาพบว่าหลังจากเดินทางอีกครึ่งวัน เขาสามารถไปถึงสถานที่ที่เรียกว่า ‘เมืองหยางขู่’ ได้
จากเมืองหยางขู่ ไปทางทิศตะวันออกอีกแปดสิบลี้ มันคือมหานครกุ่นโจว ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “เมืองหลวงแห่งแคว้นกุ่น”
ยามสาย
ซูอี้นั่งพักผ่อนบนก้อนหินหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนยอดผาอย่างสบาย ๆ ทันใดนั้น มีเสียงของวัตถุหนักตกลงบนพื้นในระยะไม่ไกลนัก
ยามได้ยินเสียงนั้นซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าจะกลับไปเข้าสู่วังวนแห่งโลกปุถุชน จากนี้ไปเจ้าไม่จำเป็นต้องส่งอาหารมาให้ข้าอีก”
ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองออกไป แต่กระนั้นป่ารอบด้านยังคงเงียบเชียบไม่ไหวติง
ทว่าเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามถัดมา
ไม่ไกลจากก้อนหินที่ซูอี้นั่งพักผ่อนอยู่มากนัก เงาทะมึนของสัตว์อสูรร่างยักษ์ตนหนึ่งปรากฏขึ้น มันคือพยัคฆ์เพลิงเนตรครามซึ่งเคยถูกกำราบโดยซูอี้
อย่างไรก็ตาม ในปากของมันขณะนี้คาบลูกเสือขาวลายพาดดำตัวหนึ่งซึ่งยาวเพียงครึ่งแขน แววตาไร้เดียงสาน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ฉาจิ่นตกตะลึงกับภาพที่ในทันที นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามคุกเข่าลงบนพื้นไปทางซูอี้ ศีรษะของมันก้มลง และเสียงคำรามทุ้มต่ำดังออกจากปากของมันคล้ายกับว่ามันกำลังวิงวอนด้วยความเคารพ
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับเข้าใจสิ่งที่มันต้องจะกล่าว ก่อนจะเอ่ยตอบกลับ “เจ้าวางแผนที่จะให้ข้าอุปการะเลี้ยงดูและสอนสั่งลูกของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามผงกหัวครั้งแล้วครั้งเล่า
“เจ้านี่น่าสนใจไม่น้อย หากเป็นสัตว์อสูรตัวอื่น ถ้ามีโอกาสได้รับวิธีการเปลี่ยนร่าง พวกมันคงจะมีความสุขอย่างท่วมท้น และวิงวอนขอติดตามรับใช้ข้าผู้นี้ให้เป็นนายบงการเจ้าชีวิต แต่ทว่า เจ้ากลับยอมละทิ้งโอกาสของตนเองเพื่ออนาคตของทายาท…”
กล่าวจบ ซูอี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ขณะนี้ ในที่สุด ฉาจิ่นก็เข้าใจ และอดไม่ได้ที่ใจจะรู้สึกสั่นไหวกับภาพที่บังเกิดขึ้นตรงหน้า
นางเคยอ่านบันทึกของสำนักมามากมาย นางจึงรู้ดีว่า ‘วิธีเปลี่ยนร่าง’ สำหรับเหล่าสัตว์อสูรนั้นล้ำค่าหาสิ่งเทียบมิได้สำหรับพวกมัน
โดยเฉพาะยิ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสูง สายเลือดยิ่งแข็งแกร่ง การแปลงร่างก็จะยากเป็นเงาตามตัว!
ฉาจิ่นมั่นใจมากด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อของซูอี้ หากเขาลั่นวาจาออกไปว่าเขาจะสอนวิธีการแปลงร่างให้มัน ตัวมันนั้นย่อมแปลงร่างสำเร็จได้แน่นอนอย่างไม่ยากเข็ญ
แต่ใครจะไปคิดว่าสัตว์อสูรตัวนี้กลับยอมละทิ้งวาสนาของตัวเองให้กับลูกของมันแทน!
เห็นเช่นนี้ สตรีผู้อ่อนไหวเช่นนางจะไม่รู้สึกสั่นคลอนได้อย่างไร?
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหาพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม และโน้มตัวไปรับลูกเสือ เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กนี้อายุเพียงไม่กี่เดือน ขนสีขาวของมันนั้นลื่นนุ่มราวกับเส้นไหม
ซูอี้คว้าขนนุ่ม ๆ ที่หลังคอของลูกเสือน้อยและหยิบมันขึ้นมา เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มอ่อนยามได้ยินเสียงกรีดร้องเล็กแหลมจากปากที่มีแต่ฟันน้ำนมหลายสิบซี่ เสียงกรีดร้องของมันนั้นหาได้น่ากลัวไม่ ทว่าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาซึ่งน่าเอ็นดูชมยิ่งนัก
ซูอี้แตะนิ้วของตนไปที่ท้องของลูกเสือน้อยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออก “พื้นฐานกระดูกนั้นพอใช้ แต่ขณะนี้ยังไม่อาจทราบได้ว่าสายเลือดนั้นบริสุทธิ์แท้หรือไม่ แต่กระนั้นก็ช่างเถิด เพื่อเห็นแก่ที่เจ้าที่ช่วยตัวข้าจนสำเร็จ ข้าจะยินยอมเก็บลูกของเจ้าเอาไว้เลี้ยงดูให้เติบใหญ่ตามที่เจ้าปรารถนา”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข ดวงตาของมันเป็นประกายเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ล่วงหน้าก่อน ข้าหาได้รับลูกเจ้าเป็นศิษย์ของข้าไม่ และหากภายภาคหน้าเขาประพฤติตนไม่ดีทำให้ข้าต้องขุ่นเคือง ข้าจะตัดสัมพันธ์กับเขาในทันที”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ชาติที่แล้ว พญาปักษาต้าเผิงปีกคุกเข่าวิงวอนขอเป็นศิษย์เขาเป็นเวลาสิบวันสิบคืน
ท้ายที่สุดเมื่อเห็นถึงความจริงใจ เขาจึงอนุญาตให้คอยอยู่เคียงข้างและรับเป็นศิษย์ในเวลาต่อมา
แต่หลังจากรู้ข่าวการตายของตัวเขา นกน้อยตัวนั้นกลับกลายเป็นคนทรยศอย่างไร้ยางอาย ทั้งยังใช้ประโยชน์จากความโกลาหลเพื่อขโมย ‘เตาหลอม’ ซึ่งเขาทิ้งไว้เป็นมรดก!
แม้ซูอี้จะไม่สนใจสมบัตินอกกายเหล่านั้น ทว่าสิ่งที่เขาเกลียดคือการทรยศของอีกฝ่าย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันหนึ่งเมื่อเขากลับไปที่เก้ามหาแดนดินอีกครา เขาตั้งใจจะเคี่ยวพญาปักษาตนนั้นในเตาหลอมสวรรค์ให้กลายเป็นน้ำแกงเพื่อดื่มกิน!
ไม่เช่นนั้นความชิงชังในใจคงไม่อาจชำระล้าง!
และด้วยบทเรียนนี้เองที่ทำให้ซูอี้ถ่ายทอดเพียงเนื้อหาส่วนวิถียุทธ์ของ ‘เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ’ ให้กับเหวินหลิงเสวี่ยเท่านั้น แม้ว่าน้องภรรยาของเขาผู้นี้จะดีต่อเขาเสมอมาก็ตามที
ส่วนเนื้อหาที่เหลือซึ่งสูงกว่านั้น เขายังไม่คิดวางแผนจะให้มันกับนางในตอนนี้…
นี้เรียกว่าถูกงูกัดครั้งเดียวแต่กลัวเชือกมาสิบปี ไม่ว่าเขาจะใจกว้างแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งมีอารมณ์และไม่อาจละทิ้งอดีต เขาย่อมต้องระวังตัวต่อผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นแล้ว ขณะนี้เขาจึงจำเป็นต้องอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้ชัดเจนแก่พยัคฆ์เพลิงเนตรคราม
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามยังคงผงกหัวขึ้นลงราวกับเข้าใจและยอมรับ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ถอนหายใจเบาพลางลอบคิดในใจ ไม่แน่ว่าเจ้าตัวน้อยนี้ ในอนาคตอาจจะสร้างประโยชน์ให้แก่เขาได้บ้างก็เป็นได้…
หรืออย่างน้อย ๆ ให้มันเป็นเพื่อนเล่นของหลิงเสวี่ย อีกทั้งหากเขาฝึกสอนมันอย่างดี ในอนาคตมันจะแข็งแกร่งเพียงพอปกป้องหลิงเสวี่ยได้ในยามที่เขาไม่อยู่เคียงข้างนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความคิดต่อต้านในหัวใจของซูอี้ค่อย ๆ เลือนหายไป จากนั้นเขามอบลูกเสือที่อยู่ในมือให้ฉาจิ่นซึ่งอยู่ไม่ไกล
ดวงตาของฉาจิ่นเป็นประกาย นางจับเจ้าเสือน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ความรักและความสุขเผยออกที่หว่างคิ้วและดวงตาของนางอย่างชัดเจน