บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 162 มือประหารแห่งหุบเขา
ตอนที่ 162: มือประหารแห่งหุบเขา
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ในเมื่อข้าสัญญาว่าจะถ่ายทอดวิธีการเปลี่ยนร่างให้ ข้าจะไม่ผิดวาจาของตนเองที่กล่าวออกไปแล้ว ดังนั้นเจ้าจงรับฟังให้ดี”
พยัคฆ์เพลิงเนตรครามเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อ
โดยไม่รอให้มันตอบสนอง ซูอี้เอ่ยพยางค์ที่ไม่ชัดเจนออกมา ราวกับว่าเขาท่องบทสวดภาษาลึกลับ แต่กระนั้นจังหวะเสียงของเขาไหลลื่นอย่างยอดเยี่ยม
นี่เป็นภาษาแห่งปีศาจโบราณ เมื่อมันถูกขับออกโดยปราณวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของซูอี้ จึงกลายเป็นพลังล้ำลึกดังก้องอยู่ในหูของพยัคฆ์เพลิงเนตรคราม
รูม่านตาของสัตว์ประหลาดเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จิตใจของมันจมอยู่ในสภาวะตระหนักรู้อันน่าฉงน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานพักใหญ่
เมื่อพยัคฆ์เพลิงเนตรครามตื่นขึ้นจากการตระหนักรู้ มันก็เป็นเวลาพลบค่ำมากแล้ว
มันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ แต่กลับพบว่าชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวนั้นจากไปโดยไม่เอ่ยลาเสียแล้ว
หลังจากที่ตกตะลึงเป็นเวลานาน พยัคฆ์เพลิงเนตรครามก้มลงเอาหัวโขกไปที่พื้นถึงสามครา ดวงตาประกายวาววับเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื่นเต้น
จากนั้นมันจึงยืนขึ้น สะบัดขนขาวราวกับหิมะบนตัวมัน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดผา และส่งเสียงคำรามกู่ก้องประหนึ่งฟ้าร้อง
เสียงนั้นราวกับฟ้าร้องแหวกเปิดทะเลเมฆ ภูเขาและแม่น้ำ ต้นไม้นับไม่ถ้วนล้วนสั่นไหว นกและสัตว์ทุกตัวต่างตกใจและสั่นสะท้าน
บนเส้นทางไหล่เขาซึ่งถูกใช้โดยเหล่าคนเลี้ยงแกะที่อยู่ห่างไกล ฉาจิ่นได้ยินเสียงคำรามและอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับ
แต่เนื่องจากระยะทางที่ไกลเกินนางจึงหาได้มองเห็นสิ่งใดไม่
แสดงความกตัญญูเช่นนั้นหรือ?
ฉาจิ่นถอนสายตาพลางพึมพำอยู่ในใจ
ไม่ไกลนัก ซูอี้เดินไปข้างหน้าด้วยมือไพล่หลัง ร่างสูงของเขาโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางแสงพระอาทิตย์อัสดง
“หากคำนวณมิผิดไป พลบค่ำคงไปถึงเมืองหยางขู่ตามที่คนตัดไม้เอ่ยบอกพอดีแล้ว” ซูอี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเร่งฝีเท้าของเขา
ทว่า หลังจากเดินลัดเลาะไปมาระหว่างภูเขาและแม่น้ำอีกเกือบครึ่งชั่วยาม ช่องทางผ่านหุบเขาเล็กแคบก็ได้ปรากฏขึ้นในสายตา ขนาบข้างของทางเดินที่คดเคี้ยวและขรุขระนี้เป็นหน้าผาสูงตระหง่านทั้งสองข้าง และด้วยความขรุขระของโขดหินมากมายที่ขวางอยู่ตามรายทางรวมไปถึงความกว้างของเส้นทางที่ไม่มากเท่าใดนัก เส้นทางนี้จึงผ่านไปได้แค่การเดินทางด้วยเท้าเพียงอย่างเดียว
ยามเห็นเส้นทางนี้ ซูอี้หยุดกะทันหันเนื่องจากได้กลิ่นเหม็นสาบจาง ๆ ลอยเตะจมูก
“สถานที่แห่งนี้เหมาะแก่การซุ่มโจมตีนัก เป็นการยากที่เหยื่อจะหลบหนี”
ซูอี้คิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินหน้าต่อไป
ไม่นานนัก เสียงการต่อสู้และการสังหารก็ดังขึ้นมาแต่ไกล
ดวงตาของฉาจิ่นหรี่ลงเล็กน้อย นางตระหนักรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนจะแนะนำด้วยเสียงต่ำ “นายท่าน หรือเราอ้อมไปอีกทางจะดีกว่า?”
“หาได้จำเป็นไม่” ซูอี้ส่ายหัว
หากใช้ทางอ้อมไป เขาคงไม่ถึงเมืองหยางขู่ตามที่วาดหวังในคืนนี้
ฉาจิ่นไม่เอ่ยแนะสิ่งใดต่อ นางแค่กังวลว่าจะมีปัญหา หาใช่กลัวว่าซูอี้จะไม่สามารถแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ได้
หลังจากเดินไปได้ไม่นาน พวกเขาทั้งสองก็เห็นการต่อสู้อันดุเดือดบนทางแคบที่อยู่ไกลออกไป
หมาป่าขนสีโลหิตนับร้อยตัวล้อมกลุ่มนักรบและโจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง เสียงหมาป่าเห่าหอนระงมไปทั่วทั้งหุบเขา
ร่างกายของหมาป่าเหล่านี้กำยำหนาแน่นมีขนาดไม่ต่างอันใดกับลูกวัว อีกทั้งพวกมันยังเร็วและดุร้าย
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้พวกมันน่ากลัวยิ่งขึ้นก็คือพวกมันประสานการโจมตีของกันและกันได้อย่างดีเยี่ยม มีทั้งรุกและถอย ประหนึ่งคล้ายกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
เนื่องจากนี่คือหุบเขาลึกซึ่งมีหน้าผาสูงชันทั้งสองด้าน เส้นทางทั้งด้านหน้าและด้านหลังของกลุ่มนักรบจึงถูกปิดกั้น พวกเขาติดอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“สัตว์อสูรระดับห้า ‘หมาป่าเพลิงโลหิต’!”
ฉาจิ่นหรี่ตาลงเล็กน้อย
นี่คือสัตว์อสูรที่เปรียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น หากเผชิญหน้ากับมันเพียงตัวเดียว นางก็สามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย
แต่หมาป่าเพลิงโลหิตจะอยู่เป็นกลุ่มฝูงเสมอ และด้วยเหตุนี้พวกมันจึงเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งต่อผู้บ่มเพาะที่เดินทางแบบโดดเดี่ยว
“ดูคล้ายว่ามีปรมาจารย์วิถียุทธ์ปะปนอยู่ในหมู่นักรบเหล่านั้น ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ภายใต้การล้อมของหมาป่าเพลิงโลหิตนับร้อย…”
ฉาจิ่นสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่ากลุ่มนักรบนั้นถูกนำโดยปรมาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นชายผู้สวมชุดนักรบรูปร่างผอมบาง และถือกระบองสัมฤทธิ์คู่ในมือทั้งสอง กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างของเขานั้นเยือกเย็นและน่าเกรงขามยิ่ง
เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงแสดงสีหน้าไม่แยแสต่อฝูงหมาป่า พลางเหวี่ยงกระบองสัมฤทธิ์คู่บดขยี้ร่างของหมาป่าเพลิงโลหิตได้อย่างง่ายดาย
จนถึงตอนนี้ ศพของหมาป่าเพลิงโลหิตที่อยู่ใกล้เขาถูกกองสุมอยู่บนพื้นราวกับเนินเขาขนาดย่อม เลือดรินไหลดั่งแม่น้ำ และแม้แต่กระบองสัมฤทธิ์คู่ก็ยังอาบฉานไปด้วยโลหิตสีแดงสด
แต่กระนั้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้า เหงื่อที่ขมับและหน้าผากผุดออกไม่หยุดหย่อน ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย เฉกเช่นเดียวกับการหายใจของเขาที่หนักหนากว่าปกติ
ข้าง ๆ ชายในชุดนักรบมีผู้คนแต่งตัวคล้ายคณะคนคุ้มกันอยู่สี่คนและเด็กหญิงอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีอีกหนึ่ง
ผู้คุ้มกันทั้งสี่ต่างแสดงสีหน้ามุ่งมั่นที่จะปกป้องหญิงสาวจนสุดตัว
มองดูหญิงสาวอีกครา นางสวมชุดกระโปรงสีทับทิมแขนกว้างทรงพอดีตัว ผิวของนางขาวดุจดั่งหิมะ คิ้วของนางโค้งเข้ารูป รูปลักษณ์ของนางช่างสดใสและสวยงามยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ คิ้วของนางขมวดเข้าหากันอย่างแน่นหนา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและตื่นตระหนก
“สตรีนางนี้ย่อมมาจากตระกูลสูงศักดิ์เป็นแน่แท้”
เพียงเหลือบมองฉาจิ่นก็เห็นเบาะแสมากมายในทันที
สตรีที่ถูกคุ้มกันโดยปรมาจารย์วิถียุทธ์และผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นปลายอีกสี่คน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ต้องรู้ว่าแม้แต่บุตรชายของฉินเหวินเยวียน ผู้ว่าการแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ ยังไม่มีปรมาจารย์คอยดูแลอยู่ข้างกายแม้แต่หนึ่ง
“นายท่าน พวกเราควรทำอย่างไรดี?” ฉาจิ่นอดไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอนว่าต้องสังหาร เลือด เขี้ยว กรงเล็บและขนของราชาหมาป่าล้วนมีค่าและมีประโยชน์ หากไม่เก็บไปคงน่าเสียดาย”
“เจ้าตามข้ามา”
สิ้นประโยคซูอี้ถือดาบบงการฟ้าดินไว้ในมือขวาและเดินก้าวตรงไปข้างหน้า
“โบร๋ว!” “โบร๋ว!” “โบร๋ว!” “โบร๋ว!”
ไม่ไกลออกไป ฝูงหมาป่าแปรเปลี่ยนเป็นโกลาหลเมื่อพวกมันตระหนักเห็นแขกไม่ได้รับเชิญสองคนคือซูอี้และฉาจิ่น
กลุ่มนักรบซึ่งถูกปิดล้อมก็เห็นเช่นกัน พวกเขาทุกคนต่างแสดงสีหน้ายินดี
แต่แล้ว ยามมองอย่างละเอียดและเห็นว่ากลุ่มที่มาใหม่มีเพียงคู่คนหนุ่มและหญิงสาว ความเบิกบานบนใบหน้าของพวกเขาหายไปในทันใด อารมณ์ของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นอีกครั้ง
ขณะนี้มีหมาป่าเพลิงโลหิตหลายร้อยตัวอยู่ล้อมรอบ สถานการณ์จะไม่ดีขึ้นเลย เว้นแต่ผู้ที่มาใหม่จะเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์!
“โบร๋ว~~”
ในส่วนลึกของฝูงหมาป่า หมาป่าเพลิงโลหิตตัวหนึ่งซึ่งมีร่างกายใหญ่โตโดดเด่นกว่าทุกตัวหอนคำรามสู่ท้องฟ้าราวกับออกคำสั่ง
ทันใดนั้น กลุ่มหมาป่าเพลิงโลหิตส่วนหนึ่งพุ่งออกไป หมายมั่นจะสังหารซูอี้
เจตนาสังหารแผ่กระจาย หมาป่าเพลิงโลหิตเหล่านั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้า
ทว่าชายหนุ่มในเสื้อคลุมเขียวไม่มีเจตนาจะหลบหนีแต่อย่างใด แต่กลับก้าวมาข้างหน้าแทน
ทันใดนั้น ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นฉากนองเลือดอันน่าตกตะลึง
พวกเขาเห็นดาบยาวอยู่ในมือของชายหนุ่มเสื้อคลุมเขียวฟาดฟันออกด้วยท่วงท่าที่เรียบง่าย หัวของหมาป่าเพลิงโลหิตทั้งสามลอยขึ้นสู่อากาศอย่างน่าอัศจรรย์
ถัดจากนั้น ดาบฟาดฟันออกอีกครา
ฉัวะ ฉัวะ!
เลือดสาดกระเซ็นประหนึ่งน้ำพุ เหล่าหมาป่าเพลิงโลหิตไม่มีแม้แต่เวลาตอบสนอง ร่างของพวกมันถูกเฉือนฟันอย่างทารุณ บ้างไส้ทะลัก บ้างกะโหลกแยก บ้างคอสะบั้น…
ในชั่วพริบตา หมาป่าเพลิงโลหิตมากกว่าสิบกลายเป็นซากศพที่เปื้อนเลือดและเศษเนื้อ ย้อมทั้งพื้นที่เป็นสีแดงฉาน
“บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?”
สตรีกระโปรงสีทับทิมรู้สึกประหลาดใจ
“มีเพียงเหล่ายอดอัจฉริยะรุนเยาว์เท่านั้นที่ทำได้เพียงนี้”
มุมมองของชายผู้สวมชุดรบนั้นแตกต่าง
ชายหนุ่มคนนั้นอยู่เพียงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้นเท่านั้น แต่กระนั้นกลับสามารถทำลายล้างกลุ่มหมาป่าเพลิงโลหิตได้เหมือนหักกิ่งไม้แห้ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหาใช่ตัวตนคนธรรมดาไม่!
ทางด้านฝูงหมาป่าเพลิงโลหิตต่างเกิดความโกลาหล เสียงคำรามกู่ร้องดังก้องมากกว่าเดิม
ซูอี้เพิกเฉยต่อเสียงคำรามของพวกมันและเดินตรงไปข้างหน้าโดยจ้องเขม็งไปที่หัวหน้าฝูง ซึ่งก็คือราชาหมาป่าเพลิงโลหิตที่อยู่ในระยะไกล
ระหว่างทาง ซูอี้ยังคงสังหารเหล่าหมาป่าไม่หยุดหย่อน ทว่าพวกมันหาได้ขยาดกลัวต่อความตายที่เขาส่งมอบให้พวกมันไม่ พวกมันยังคงดาหน้าเข้ามาไม่ขาดสาย
น่าเสียดายที่แม้พวกมันจะกล้าหาญ แต่มีหรือสัตว์เดรัจฉานเยี่ยงพวกมันจะต่อต้านผู้เลิศล้ำเช่นซูอี้ได้?
หนึ่งคน หนึ่งดาบ ทลายสิ้นอุปสรรคที่ขวางกั้น!
ฉาจิ่นเดินตามหลังซูอี้อย่างใกล้ชิด พร้อมกับมองฉากสังหารเบื้องหน้าด้วยดวงตาเปล่งประกายราวอัญมณีอันดับหนึ่ง
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
ชายในชุดรบสีหน้าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้แต่ปรมาจารย์เช่นเขายังอดตะลึงไม่ได้กับภาพฉากสังหารที่อีกฝ่ายเป็นคนสร้าง
“ผู้อาวุโสเฉียว โอกาสมาถึงแล้ว ปล่อยให้พวกเขารับมือกับเหล่าสัตว์ร้ายไป พวกเรารีบไปกันก่อนเถอะ!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมเอ่ยออกอย่างเร่งร้อน
นางตระหนักดีว่าการกระทำของซูอี้ดึงดูดความสนใจของฝูงหมาป่านี้ไปหมดแล้ว
แม้แต่ราชาหมาป่าเพลิงโลหิตยังเพิกเฉยต่อพวกเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการฝ่าวงล้อม!
“นี่…”
ชายในชุดรบลังเลใจ
เขาผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย ดังนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหากตอนนี้เลือกที่จะฝ่าทะลวงวงล้อม โอกาสสำเร็จย่อมมีมากกว่าครึ่ง?
แต่หากทำเช่นนั้นแล้ว หนุ่มสาวคู่นั้นจะตกเป็นเป้าของฝูงหมาป่าอย่างสมบูรณ์ การผลักความทุกข์ยากให้ผู้อื่นเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำได้ลง
“ผู้อาวุโสเฉียว เราไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาและพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา อีกทั้งเราไม่ได้ขอให้พวกเขาช่วย ดังนั้นแล้วแม้ว่าพวกเขาจะตาย มันก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเรา!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมวิตกกังวลและเร่งเร้าด้วยความโกรธ “ทำไมท่านถึงลังเลอยู่อีก? หรือท่านคิดจะยอมตายไปพร้อมกับพวกเขา? พวกเขาทั้งคู่ไม่อาจฝ่าวงล้อมได้อยู่แล้ว และข้าขอบอกไว้ตรงนี้ ข้าไม่ยอมตายไปพร้อมกับพวกเขาแน่!”
หลังจากพูดจบ นางก็หันหลังและรีบวิ่งไปอีกทางหนึ่งของหุบเขา
ผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่คุ้มครองนางอยู่รีบตามไป เกรงว่าหญิงสาวจะได้รับอันตราย
ชายในชุดรบถอนหายใจ ก่อนสายตาจะแปรเปลี่ยนเป็นมั่นคงเช่นเดิมอีกครา จากนั้นเขาจึงหันกลับทางที่หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมและติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ฝูงหมาป่าเพลิงโลหิตโกลาหลอย่างรุนแรงเนื่องจากพวกมันส่วนใหญ่ถูกดึงความสนใจโดยซูอี้ ดังนั้นกลุ่มของชายในชุดรบจึงหลุดวงล้อมของมันไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่กระนั้น ยามที่พวกเขาหลุดจากวงล้อมและเพิ่งได้พักหายใจ ทันใดนั้น เสียงคำรามซึ่งดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขากลับหยุดอย่างกะทันหัน
พวกเขาหันกลับไปมองในทันที
ภาพที่พวกเขาทั้งหมดแลเห็นนั้นน่าตกตะลึง ขณะนี้ฝูงหมาป่าเพลิงโลหิตในหุบเขาวิ่งหนีแตกกระจายไปทุกทิศอย่างตื่นตระหนก แต่ละตัวพลางส่งเสียงคร่ำครวญราวกับไว้อาลัย
ขณะเดียวกัน มีซากหมาป่ายักษ์โดดเด่นนอนอยู่บนเนินดิน เลือดของมันทะลักไหลเป็นลำธารโลหิต ที่ด้านข้างมีชายหนุ่มในเสื้อคลุมเขียวเหยียบร่างมันอย่างเหยียดหยาม
“เขา…เขาฆ่าราชาหมาป่าเพลิงโลหิตได้จริงหรือ?”
เหล่าผู้คุ้มกันอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“เหลือเชื่อนัก เวลาที่เราใช้บุกฝ่าออกมานั้นยังไม่ถึงสิบลมหายใจ แต่เขากลับสามารถสังหารราชาหมาป่าและทำให้ฝูงหมาป่าสลายตัว…”
ใครบางคนพึมพำ
ชายในชุดนักรบถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายรุดเข้ามาแบ่งเบาสถานการณ์คับขันให้พวกเขา ซึ่งมันช่วยพวกเขาได้อย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลับฉวยโอกาสเลือกที่จะหนี…
เขาจะไม่รู้สึกละอายใจได้อย่างไร?
“ถ้าไม่ใช่เราที่เบี่ยงเบนความสนใจของพวกหมาป่าเหล่านั้นไว้ก่อนหน้า เขาจะฆ่าราชาหมาป่าเพลิงโลหิตอย่างง่ายดายได้อย่างไร??”
ทว่า หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมกลับพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
ชายในชุดรบยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “คุณหนู หากพวกเขามาไม่ทัน ป่านนี้พวกเราทั้งหมดคงกลายเป็นอาหารของฝูงหมาป่าเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร เราต้องสำนึกในบุญคุณของพวกเขา”
“บุญคุณอะไรกันข้าไม่เห็นด้วย!”
หญิงสาวกระโปรงสีทับทิมแย้งกลับ